รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำลายที่พักอาศัยผู้บุกรุกป่าไม้โดยไม่แจ้งให้ทราบก่อน เป็นมาตรการที่เกินสมควรแก่เ  (อ่าน 498 ครั้ง)

saibennn9

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 274
    • ดูรายละเอียด
    • ทนายความเชียงใหม่

                ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการล่วงล้ำพื้นที่ป่าของชนเผ่าต่างๆในประเทศไทย นั้นมีมายาวนาน ไม่ว่าจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ดินสำหรับทำกินในเขตป่าสงวน ซึ่งมักจะมีปัญหาและก็ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีหน้าที่รักษาป่า (ทนายความเชียงใหม่)
                แม้กระนั้นความประพฤติปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ปกป้องรักษา ดูแลป่านั้นก็จำต้องทำภายใต้กฎหมาย โดยจำต้องเลือกมาตรการหรือกรรมวิธีที่จะทำให้บรรลุจุดประสงค์ตามกฎหมายที่ให้อำนาจ แม้กระนั้นในขณะเดียวกันกรรมวิธีการที่เลือกใช้ควรจะมีสิ่งที่จำเป็นแล้วก็กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้น้อยที่สุด(ทนายเชียงใหม่)
                 ทนายจังหวัดเชียงใหม่ จะได้นำเสนอ แนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อส.4/2561     
                 เจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ปฏิบัติการตามโครงการอพยพ ผลักดัน จับกุม ชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2553 โดยได้เข้าพื้นที่เพื่อเจรจาและแจ้งให้ทราบถึงเหตุผลที่ต้องอพยพ รวมทั้งทำความเข้าใจถึงเหตุที่ไม่อาจให้บุกรุกถางป่าได้อีก โดยขอให้อพยพไปอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการจัดไว้ให้ แต่ชาวบ้านกลุ่มนี้บางส่วนได้ย้อนกลับเข้าไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่เดิม
 
                 กระทั่งในการปฏิบัติการ เมื่อปี 2554 เจ้าหน้าที่ได้ทาการบินสำรวจและพบพื้นที่ป่าถูกบุกรุกจึงได้เดินเท้าเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งพบกระท่อมหรือเพิงพักที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย ไม่พบร่องรอยหุงหาอาหารมาเป็นเวลานานสามารถจับกุมผู้กระทาความผิดได้ 1 คน พบปืนยาว พืชกัญชาปลูกกระจายทั่วแปลงที่ดิน ซากสัตว์ป่าและต้นไม้ที่ถูกโค่นล้ม คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเผาทำลายพืชเสพติด รวมทั้งรื้อถอนและเผาทำลายเพิงพัก-ยุ้งฉาง ในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากไม่สามารถรื้อถอนแล้วนำกลับมายังหน่วยงานเพื่อให้เจ้าของมาขอรับคืนได้ เพราะเป็นระยะทางที่ไกลต้องใช้เวลาเดินเท้า 3-4 วัน ซึ่งเกินกว่ากำลังของเจ้าหน้าที่ที่จะทำได้
              ประเด็นการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่มีอำนาจตามกฎหมายมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ที่จะใช้ดุลพินิจดำเนินการรื้อถอนหรือทำลายสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในเขตอุทยานได้ แต่การใช้ดุลพินิจดังกล่าวต้องดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจใช้อำนาจโดยกำหนดมาตรการบังคับตามอำเภอใจ การเลือกใช้มาตรการบังคับต้องมีความได้สัดส่วนเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์สาธารณะที่ต้องการจะปกป้องรักษากับความเดือดร้อนเสียหายหรือสิทธิที่ชาวบ้านคือผู้ฟ้องคดีจะได้รับผลกระทบ กล่าวคือต้องเลือกมาตรการหรือวิธีการที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามกฎหมายที่ให้อำนาจ แต่ในขณะเดียวกันวิธีการที่เลือกใช้ต้องมีความจำเป็นและกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้น้อยที่สุด
                ทนายความจังหวัดเชียงใหม่ เห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่เลือกใช้กระบวนการเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นที่พักที่อาศัย อันกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินแล้วก็สิทธิพื้นฐานอย่างหนัก ส่งผลให้เกิดความทรุดโทรมแก่ผู้ฟ้องร้องเกินสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลและรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ ซึ่งได้แก่การใช้อำนาจเกินไป ไม่ควรแก่เหตุ
ความประพฤติของข้าราชการของผู้ถูกฟ้องคดีก็เลยไม่เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อข้าราชการกระทำโดยมีจิตสำนึกถึงความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้น จึงถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนที่จะต้องใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องร้อง
 
 

Tags : ทนายเชียงใหม่,ทนายความเชียงใหม่
บันทึกการเข้า