รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าราชการ(มีคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว)ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว  (อ่าน 506 ครั้ง)

saibennn9

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 274
    • ดูรายละเอียด
    • ทนายความเชียงใหม่

 ข้าราชการครูถูกร้องเรียนว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงกรณี มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนักเรียนหญิงขณะกาลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๖ ทั้งที่ตนเอง มีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วจนนักเรียนหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตร แต่กลับไม่รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูและไม่ยอมจดทะเบียนรับรองบุตร                    ต่อมา เมื่อหน่วยงานราชการต้นสังกัดได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและมีคำสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงไล่ออกจากราชการครูจึงอุทธรณ์คำสั่ง แต่ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์มีมติยกอุทธรณ์                    จึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการโดยโต้แย้งว่าบันทึกประจำวันที่ผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจ ไม่ได้ระบุว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวในวันเวลา และสถานที่ใด และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ดำเนินคดีเรื่องนี้แต่อย่างใด                    จากคำให้การของผู้เสียหาย(นักเรียนหญิง)และพยานหลักฐานต่าง ๆ ศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ส่วนผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งครูและมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ผู้ฟ้องคดีได้รู้จักกับผู้เสียหายแล้วเกิดความสนิทสนมและได้เสียกันโดยมีพยานซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนของผู้เสียหายให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนฯ ว่า พยานนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปกับผู้เสียหายเพื่อเดินทางไปบ้านพักของผู้ฟ้องคดีในเวลาพลบค่ำหลายครั้งโดยผู้เสียหายเข้าไปบ้านพักของผู้ฟ้องคดีเพียงคนเดียวประมาณ ๓๐ นาที แล้วจึงออกจากบ้านพักและขับรถไปส่งพยานที่บ้านจนผู้เสียหายตั้งครรภ์และระหว่างตั้งครรภ์ผู้ฟ้องคดีได้ดูแลและพาผู้เสียหายไปพักกับหลานสาวเมื่อคลอดบุตรยังพาผู้เสียหายและบุตรไปฝากให้พี่ชายเลี้ยงดูโดยส่งเสียค่าเลี้ยงดู แต่ต่อมาไม่ส่งเสียค่าเลี้ยงดูผู้เสียหายจึงขอให้ไปจดทะเบียนรับรองบุตรและรับผิดชอบเลี้ยงดู แต่ผู้ฟ้องคดีปฏิเสธประกอบกับเอกสารทะเบียนการฝากครรภ์ของโรงพยาบาลซึ่งจัดทาขึ้นก่อนมีการร้องเรียน ผู้เสียหายก็ได้กรอกชื่อผู้ฟ้องคดีว่าเป็นบิดาและผู้ฟ้องคดีไม่ยอมไปตรวจสารพันธุกรรม(DNA) เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือด                    ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผิดปกติวิสัยสำหรับวิญญูชนผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงถึงขั้นไล่ออกจากราชการจะไม่ยินยอมตรวจเพื่อพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตนและ จากคำให้การของผู้เสียหายและพยานหลักฐานที่สนับสนุนเชื่อมโยงสอดคล้องต้องกัน จึงเชื่อได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้เสียหายในขณะกาลังศึกษาและไม่รับผิดชอบ จึงฟังได้ว่ามีมูลความจริงและหาจำเป็นที่จะต้องถึงขนาดระบุว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวในวันเวลา และสถานที่ใดบ้างที่มา ศาลปกครองโดย ทนายความเชียงใหม่
บันทึกการเข้า