รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ทับทิมเป็นสมุนไพรผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงรักษา  (อ่าน 543 ครั้ง)

xdc3oo7s5q

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 5
    • ดูรายละเอียด


ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างแพร่หลาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่เป็นผลสดสูงที่สุดแล้วก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอย่างเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม ผลิตภัณฑ์ด้านความสวยงาม ทั้งยังยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารพฤกษเคมีหลายแบบที่มีประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกาย ก็เลยมั่นใจว่าอาจเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันโรคหรือบรรเทาอาการ อาทิเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและหลอดเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากรวมทั้งโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และอื่นๆ
ในตอนนี้ยังมีการค้นคว้าที่เรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบต่างกันกับการดูแลและรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่อาจจะเจาะจงความสามารถของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้เด่นชัด ซึ่งแบบอย่างการเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นเลือดแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ตัวอย่างเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต้านทานอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ก็เลยอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนรู้ฤทธิ์การต่อต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดเอ็งลลิค 610 มก.) รวมทั้งประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดสอบ พบว่าค่าดังที่กล่าวถึงมาแล้วลดลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือด
นอกเหนือจากนั้น ยังมีงานค้นคว้าอีกชิ้นให้คนไข้โรคเส้นโลหิตแดงแข็งปริมาณ 15 คน ทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มิได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดลงราวๆ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น จึงแสดงให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงต้องมีการเรียนเพิ่มอีกในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดสอบขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลของทับทิมแล้วก็การรักษาโรคเส้นโลหิตแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกประเภทที่มีคุณลักษณะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกในการรักษาโรคเหงือก เนื่องด้วยการดูแลรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอในการบรรเทาอาการจากโรคมากมายเท่าที่ควรและก็ลดการเสี่ยงด้านของสุขภาพจากการดูแลและรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อดูประสิทธิภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่าง ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะอาการดีขึ้นด้านใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับเพื่อการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงบางทีอาจนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลและรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เล่าเรียนความสามารถของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกแบบอย่างเจลสำหรับการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากแล้วก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบต่ำลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การวิจัยนี้ทำให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงรักษาช่องปาก เป็นต้นว่า ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยปกป้องและก็ทุเลาอาการโรคเหงือกอักเสบ
ปกป้องการเกิดคราบจุลชีพ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับการลดคราบเปื้อนจุลชีวันตามผิวฟัน และบางทีอาจนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลายแบบ ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ธรรมดา แม้กระนั้นสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกรุ๊ป โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลอินทรีย์ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่ได้แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน ก็เลยเพียงพอจะพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดโอกาสในการเกิดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ข้างในโพรงปาก
ขณะเดียวกัน การเรียนรู้อีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดการเกิดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ ซึ่งสำหรับในการทดลองได้เก็บคราบเปื้อนจุลชีวันจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีรวมทั้งกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเทียบผลก่อนแล้วก็ข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เป็นต้นว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน รวมทั้งยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับการลดคราบจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดราว 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% แล้วก็ยาหลอกที่ลดลงเพียงแต่ 11% จึงอาจพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียแล้วก็เป็นตัวเลือกสำหรับในการใช้ขจัดคราบจุลอินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยระยะเวลาสำหรับเพื่อการทดลองออกจะสั้น
ภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนรู้ผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 แล้วก็มีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่รับประทานอาหารด้านใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมถึงของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าคนเจ็บมีระดับไขมันรวม ไขมันประเภทไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดน้อยลง แม้กระนั้นไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์และก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนป่วยเบาหวานลง แม้กระนั้นยังบอกมิได้แจ่มแจ้ง เนื่องจากว่าอาหารประเภทอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดไขมันในเลือดได้เช่นเดียวกัน และกรุ๊ปการทดสอบมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการเรียนในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มเติมอีก ยิ่งไปกว่านี้ การดูแลรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรมีการควบคุมอาหารรวมทั้งการบริหารร่างกายไปพร้อม ซึ่งบางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากยิ่งขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยยิ่งไปกว่านั้นสารโพลีฟีนอลที่พบมากในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องทดลองบอกว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญสำหรับการทุเลาอาการของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังรวมทั้งอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างเร็ว จึงมีการศึกษาเล่าเรียนคุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้คนป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกติดต่อกันทุกวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลอีกทั้งในเลือดและฉี่ของคนเจ็บ อีกทั้งยังไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 2 กรุ๊ป จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและตรวจพบได้ในเลือดหรือฉี่ แต่ผลการศึกษาวิจัยกลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการรับประทาน ซึ่งบางทีอาจเป็นผลมาจากการเสื่อมสลายสารเหล่านี้โดยจุลอินทรีย์ในระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจแนวทางการซับสารอาหารที่ต่างกันก่อนจะกล่าวอ้างถึงผลดีด้านสุขภาพจากการกิน เนื่องจากว่าสารอาหารที่พบในอาหารที่รับประทานอาจมิได้ถูกใช้ประโยชน์ประโยชน์ภายในร่างกายมนุษย์เราทั้งสิ้น
โรคและก็อาการอื่นๆอาทิเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนยานสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการออกกำลังกาย กลุ่มอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และก็อื่นๆยังจำต้องทำการศึกษาเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มก.
สังกะสี 0.35 มก.
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับในการกินทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเป็นผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การรับประทานรากและลำต้นของทับทิมในปริมาณมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างจะไม่มีอันตรายสำหรับเพื่อการรับประทานหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย ยกตัวอย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยในการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น ได้แก่ สารสกัดจากทับทิม จะต้องปรึกษาหมอก่อนที่จะมีการกินทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจส่งผลให้ความดันเลือดลดลดน้อยลงนิดหน่อย ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการกำเริบ
คนที่มีลักษณะแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
ผู้เจ็บป่วยที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดกินทับทิมอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ เหตุเพราะทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางจำพวกอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา อย่างเช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือประเภท P450 3A4 ยาลดความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตติเตียนน ผู้ที่กินยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอคำแนะนำหมอก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
บันทึกการเข้า