รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณประโยนช์ที่น่าอัศจรรย์  (อ่าน 500 ครั้ง)

uoid01s5x8c7

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด


บุก
บุก มีสรรพคุณ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีเมนส์มาไม่ดีเหมือนปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาและก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้บวมช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับเมนส์ของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก เป็นต้นว่า บุกปะทุงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว แพทย์ยื่อ เป็นต้น
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก นับว่าเป็น ไม้ล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะของลำต้นอวบรวมทั้งมีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบเดี่ยว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดแล้วก็ใบแผ่ขึ้นราวกับร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในช่วงค่ำ มีกลิ่นฉุน ลักษณะราวกับดอกหน้าโค
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งกิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราวๆ 15-20 เซนติเมตร
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกคนเดียว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
คุณประโยชน์ของบุก
สำหรับคุณประโยชน์ของบุก เรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากแล้วก็เนื้อของลำต้น รายละเอียด ดังต่อไปนี้
หัวบุก มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีรอบเดือนมาไม่ปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาและน้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำดำเขียว
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อควรพิจารณาในการบริโภคบุก
สำหรับสิ่งที่ห้ามในการรับประทานบุกเป็นหัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร ด้วยเหตุนั้น ในฝูงคนที่ ม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรจะหลีกเลี่ยงกิน และไม่รับประทานมากเกินความจำเป็น ซึงข้อพึงระวังสำหรับเพื่อการบริโภคบุก มีเนื้อหาดังนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) จำนวนไม่ใช่น้อย ที่ส่งผลให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบถ้าเกิดปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองและคันปากได้
ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด
ขั้นตอนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นหนแรก แล้วนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับตัวกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วสำหรับการทำกับข้าวหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก ก็เลยไม่ควรบริโภควุ้นบกตอนหลังการกิน แต่ให้รับประทานก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่สร้างขึ้นมาจากวุ้น เช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังอาหารได้ เนื่องจากวุ้นดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านขั้นตอนการและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องด้วยไม่มีการสลายตัวเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็แล้วแต่ที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพร่างกายเลยกลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดโทษและส่งผลเสียรวมทั้งไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจทำให้มีลักษณะท้องเสียหรืออาการท้องอืด มีลักษณะหิวน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากว่าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลงได้http://www.disthai.com/
บันทึกการเข้า