รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้  (อ่าน 437 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด


ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าน้องสาว (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
สกุล  Menispermaceae
ถิ่นกำเนิด ย่านางมีถิ่นเกิดในใจกลางของเอเซียอาคเนย์ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศ พม่า , ไทย , ลาว , เขมร  เรื่องจริงแล้วพืชวงศ์ย่านางนี้มีราว 70  ตระกูล แต่ว่าส่วนมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนและในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียและก็อเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ว่าในปัจจุบันได้มีการนำมาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคและก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างมากมาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้ เลื้อยพันเนตรมต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน แขนงมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนห่างๆ หรือเกลี้ยง ใบเดี่ยว ดก สีเขียวเข้มวาว เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวประมาณ 6-12 ซม. กว้างโดยประมาณ 4-6 ซม. ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นน้อย ก้านใบยาวราว 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แม้กระนั้นแข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น และก็มีเส้นแขนงใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบของใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะย่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนหมดจด ก้านใบผิวย่นย่อละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกกิ่งก้านสาขาตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวโดยประมาณ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่ารวมทั้งเรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ออกจะหมดจด กลีบดอกไม้มี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร หมดจด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มม. ด้านนอกมีขนเรี่ยราย กลีบมี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มม. ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มม. ยาว 7-10 มม. ผิวเกลี้ยง มีเมล็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อรวมทั้งซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มม. เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มรวมทั้งสีแดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไร้ระเบียบ มีดอกตอนมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่รุ่งเรืองได้ ในดินแทบทุกจำพวก ถูกใจดินร่วนผสมทรายจะเจริญก้าวหน้าได้ดี การปลูกในหน้าฝน จะเจริญวัยได้ดีมากยิ่งกว่า จะงอกงามเร็วกว่าปลูกภายในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย รักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งแล้งก้าวหน้า
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่วิธีที่ได้รับความนิยมในขณะนี้เป็นการเพาะเม็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แม้กระนั้นจะต้องใช้เมล็ดที่แก่เต็มที่ที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเมล็ดต้องระวังอย่าขุดหลุมลึก เพราะเหตุว่าจะก่อให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการดูแลรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมากมาย เพราะว่าย่านางจะเติบโตได้ดิบได้ดี ในดินมีความชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้ถึงแม้จะมีวัชพืชขึ้นครึ้ม เพราะเหตุว่าต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชประเภทอื่น
สำหรับประเด็นการใส่ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าเกิดดินมีสภาพอินทรีย์วัตถุที่เพียงพอ เราสามารถใช้เพียงปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แต่ว่าหากต้องการให้ใบเขียวเข้มมากขึ้น บางทีอาจต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือประมาณ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับจำนวนลดลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกเอาไว้ภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราวๆ 1×1 เมตร รวมทั้งเมื่อต้นเริ่มเลื้อยเลื้อย ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง  จะเริ่มเก็บผลิตผลใบย่านาง ใช้เวลาโดยประมาณ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกในแปลง ใบมีขนาดโตสุดกำลังมีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ รวมทั้งจะเก็บได้ตลอดไปเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนใหญ่จะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เป็นต้นว่า มิเนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) และสารในกรุ๊ปฟลาโวนไกลโคไซด์ อย่างเช่น สารโมโนอีพอกซีเบตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) แล้วก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ยกตัวอย่างเช่น ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และ D-isochondendrine เจอได้ทั้งในราก รวมทั้งใบย่านาง  แล้วก็การศึกษาเล่าเรียนส่วนประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต้านมาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้แนวทางแยกสารด้วย column chromatography  รวมทั้งการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ประเภทหมายถึงtiliacorinine (I) แล้วก็ tiliacorine (II) จำนวน  0.0082% และ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มก.
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มก.
-               ไนอาสิน 1.4 มิลลิกรัม
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งหมดทั้งปวง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคติดอยู่ไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               เดกซ์โทรส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
คุณประโยชน์/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และก็ยังมีวิตามินที่จำเป็นต้องต่อร่างกายอีกเยอะมาก เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็รู้จักกันดี เพราะว่านิยมเอามาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของของกิน ตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นอาหารมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในช่วงฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด ชาวไทยอีสานและชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น ดังเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ แล้วก็เพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็บีตาแคโรทีนให้กับของกินดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
นอกเหนือจากนั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมแล้วก็หมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (เป็นใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เกินไป) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงน้ำกะทิ และก็หั่นซอกซอยกินอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนคนเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นบ้าน เช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านางเป็น หนังสือเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกสายฟ้า (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากแส้ม้าทลาย อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งทีละ 1 กำมือ หรือราว 15 กรัม ต้มกับน้ำก่อนรับประทานอาหารเช้าตรู่ กลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ถอนพิษผิดสำแดง เอามาต้มรับประทานเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับประจำเดือน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษภายในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มรับประทานแก้ไข้ไข้จับสั่น ลำต้น รสจืดขม ทำลายพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน ใบ รสจืดขม กินทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศรีษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึก ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งระบุว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับหิว ทุเลาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส ไข้ทรพิษ ถอนพิษแฮงค์ เมาสุรา ทุเลาอาการท้องผูก ท้องร่วง บำรุงหัวใจ ทำลายพิษ และก็ลดพิษจากพืช สัตว์ และสารเคมีในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นเอามาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม บรรเทาอาการไข้จำพวกต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด รวมทั้งลดสารพิษยาฆ่าแมลงในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำ รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ได้แก่ ทุเลาอาการร้อนใน บรรเทาอาการไม่สบาย ตัวร้อน ทุเลาไข้รากสาด ไข้ฝีดาษลดพิษยาฆ่าแมลงภายในร่างกาย และก็ถอนพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการไข้ ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันเลือด ต้านทานเชื้อจุลชีพ ต้านทานการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต่อต้านการเจริญก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และก็มีฤทธิ์อย่างอ่อนๆในการต้านอนุมูลอิสระ  และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวหน-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านทานจุลชีวัน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli แล้วก็ Salmonellaspp. และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต้านจุลชีวัน Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli และ Salmonella spp. ต้านทานไข้ และก็ต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางไม่มีอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังอย่างเช่น โรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต โรคกระดูกและก็ข้อเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจ
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง ต้มให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (ปวดท้องด้วยเหตุว่ากินอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าหากไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือหากให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในของกิน อย่างเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 ถือมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลน้อยเพียงพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อ้วกออกมา จะช่วยทำให้ดีขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาประจำถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนบดหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไข้จับสั่น        ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด คือส่วนที่ละลายน้ำ แล้วก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการหยุดยั้งเชื้อไข้มาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่แตกต่างกัน 5 จำพวก ในกรุ๊ป bisbenzyl isoquinoline อาทิเช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, และสาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะกำหนดองค์ประกอบได้ คือ G และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับเพื่อการกำจัดเชื้อไข้มาลาเรียระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อมาลาเรียไปสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี แล้วก็มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 เท่ากับ 344 ng/mL ตามด้วย nor-tiliacorinine A รวมทั้ง tiliacorine ตามลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 และ 675 mg/mL เป็นลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 จำพวก เป็นต้นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine รวมทั้ง tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง รวมทั้งอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวก คือ 13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้เอามาทดสอบฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ที่ค่า MIC พอๆกับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยับยั้ง  MDR-MTB ได้มากมายที่สุด
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง     การเรียนฤทธิ์ยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ รวมทั้งในสัตว์ทดลอง โดยศึกษาเล่าเรียนผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กลุ่ม alkaloid ที่เจอในย่านาง  สำหรับการทดลอง in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี รวมทั้งสาร tiliacorinine  ผลการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญในการยั้งการเพิ่มปริมาณของเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นขั้นตอนการ apoptosis ซึ่งเป็นขั้นตอนสำหรับในการกำจัดเซลล์แตกต่างจากปกติ รวมทั้งเซลล์ของมะเร็งภายในร่างกาย รวมทั้งการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญของก้อนเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของผักประจำถิ่นไทย ปริมาณ 6 ประเภท อย่างเช่น ผักเราด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง รวมทั้งผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละประเภท ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักอีกทั้ง 6 ชนิดเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี แล้วก็วิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำรวมทั้งส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี แล้วก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์ยับยั้งปวดและก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักประจำถิ่นอีสาน 10 จำพวก การตรวจค้นฤทธิ์หยุดปวดโดยใช้ writhing test และก็ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านทานอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดสอบใช้สารสกัดผักประจำถิ่นด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดลองฤทธิ์ยับยั้งปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์ระงับปวด แล้วหลังจากนั้นเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 ประเภท ตัวอย่างเช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และผักกาดฮีนมาทำการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัด 4 จำพวกไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดสอบ ผู้ทำการวิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางบางครั้งอาจจะออกฤทธิ์ยับยั้งปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองเบื้องต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นแนวทางการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่รู้จักว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือเปล่า การศึกษาค้นพบนี้บางทีอาจเกี่ยวโยงกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่โบราณได้ หากแต่ว่าควรจะมีการเล่าเรียนเพิ่มอีกถัดไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปวิเคราะห์ฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง การศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภทเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) รวมทั้งอัลติดอยู่ลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อพิจารณาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดลองมีเหตุที่เกิดจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์เหมือน curare จากการตรวจหาสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้บางทีอาจอยู่ในจำพวก aporphine alkaloids
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษฉับพลัน รวมทั้งครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เล่าเรียนพิษฉับพลันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ รวมทั้งเพศภรรยา จำพวกละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และ  ไม่มีการแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีเหมือนปกติ รวมถึงไม่มีการถึงแก่กรรม หรือการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อด้านใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู จำนวน 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กิโลกรัม (คิดเป็นจำนวน 6,250 เท่าของจำนวนที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนพิษเรื้องรัง ทดลองโดยป้อนสารสกัดแก่หนูทดลอง เพศผู้ แล้วก็เพศเมีย ชนิดละ 10 ตัว ทุกวี่วัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันนาน 90 วัน   ไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติทางด้านความประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และก็กรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 และก็ 118 โดยตรวจร่างกาย รวมทั้งมีกลุ่มที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าชีวเคมีในเลือด รวมทั้งเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการค้นคว้าชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่ทำให้เกิดพิษกระทันหัน แล้วก็พิษครึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง ทั้งยังในหนูเพศผู้ และก็เพศเมีย
คำแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มโดยทันที ด้วยเหตุว่าหากทิ้งไว้นานเหลือเกินจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แต่ว่าสามารถเอามาแช่ตู้เย็นได้ แล้วก็ควรดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • ในการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนรับประทานอาหารหรือตอนท้องว่างราวครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางบุคคลที่รู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วเอามาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรชนิดอื่นๆก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้กระทั้งน้ำหวานก็ได้เหมือนกัน
  • ควรจะดื่มจำนวนแต่ว่าพอดี แม้ดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,
บันทึกการเข้า