รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 602 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้) , ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะลูบคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
ถิ่นเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในตอนนี้ แล้วมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ในแถบอินเดีย รวมถึงในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียรวมทั้งประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้จะมีหลักฐานว่ามะขามมีบ้านเกิดเริ่มแรกอยู่ในทวีปแอฟริกา แม้กระนั้นสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และก็มีชื่อเสียงดีเลิศว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏใจความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 สมัยบิดาขุนรามคำแหง ที่เอ่ยถึงมะขามอยู่หลายที่ ตัวอย่างเช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนไหนกันสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายจำพวกเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  นอกนั้นมะขามยังเป็นพันธุ์พืชพระราชทางและก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามเป็นต้นไม้แข็งแรงคงทน รวมทั้งฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมาก ในประเทศศรีลังกามีรายงานว่าพบมะขามที่แก่มากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนสามเณรแก้วเรียนวิชากับคุณครูคงจะสมภารวัดแค ว่า
“ทั้งยังพิชัยสงครามล้วนความรู้บางทีอาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไปทั้งยังเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะแยะเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในขณะนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่สามเณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามได้เปรียบแตนในครั้งก่อน
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมากมาย แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.มัธยม มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.มัธยม กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางครั้งบางคราวก็เว้าเข้านิดหน่อย ฐานใบทั้งยัง 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบห่อหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดหล่นไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบมี 5 กลีบ ขนาดแตกต่างกัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ขอบกลีบดอกมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมาก ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 ซ.ม. กว้าง 2 เซลเซียสม. เปลือกสีเทา ด้านในมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบวาว ออกดอกในตอนพ.ค.เป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธ.ค.
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถเพาะพันธุ์จะได้ด้วยเม็ด แต่เดี๋ยวนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายเยอะขึ้น จึงนิยมปลูกจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน รวมทั้งการแทงยอดเป็นหลัก เนื่องจากว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงแค่ไม่ถึงปีหลังการปลูก ทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีการแบบนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดการ และการเก็บผลิตผลซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้

  • การเตรียมแปลง จัดแจงแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อไป ค่อยไถกลบอีกที แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะกระทำการขุดหลุมปลูกไว้ในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นจำพวกที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเมล็ด ควรที่จะทำการเลือกขนาดต้นประเภทที่สูงประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยคอกหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 ซม. ก่อนนำต้นประเภทลงปลูก พร้อมกลบดิน และรดน้ำให้เปียกแฉะ ต่อจากนั้น ให้นำฟางข้าวมาวางปกคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังการปลูกแล้วจะทำให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะต้นเพื่อต้นตั้งตัวได้ โดยควรจะให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง จากนั้น ค่อยให้ลดลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยแม้เป็นช่วงๆหน้าฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในเวลานี้จนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมได้ผล ซึ่งช่วงนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยราว ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรจะใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกหนหลังจากการปลูกแล้วราวเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลตอบแทน
                ยิ่งกว่านั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศในแถบอเมริกากึ่งกลาง เอเซียอาคเนย์ และก็แอฟริกา  จึงนับว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยและก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับมะขามเป็นจำนวนมาก
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเม็ดมะขามมีอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งบางส่วน  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% เช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณามองส่วนประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% รวมทั้งเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% และคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเมล็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) รวมทั้งโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ สิสเทอีนและเมทไธโอนีน อยู่สูงถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกจากนี้เปลือกเมล็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้แยกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นขาเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามเจอกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกจากนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีหัวหน้าไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามพันธุ์แดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามจำพวกอื่นๆมีเม็ดสีชนิดแอนทอลแซนว่ากล่าวน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และอาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณปริมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตินเล็กน้อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น และในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิวโคแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มก.
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มิลลิกรัม Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มก.
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มก.


ผลดี/คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของมะขามสิ่งแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยคือใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับปรุงอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมาก ใช้เตรียมอาหารไทยที่ต้องการรสเปรี้ยว อย่างเช่น แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง แล้วก็ต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกจากนั้นยังคงใช้ในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ เช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก และน้ำพริกคั่วแห้ง ฯลฯ
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนและก็ใบมะขามอ่อน ก็นำมาทำครัวได้เช่นกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำผลิตภัณฑ์ดัดแปลงได้อีกหลายชนิด ตัวอย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , รวมทั้งเหล้าองุ่นมะขาม ผงมะขาม , สบู่ , และก็ยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนผลดีด้านอื่นๆก็มีอีกตัวอย่างเช่น แก่นไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าปริมาณร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เนื่องจากมีคุณลักษณะเหมาะสมกว่าไม้อื่นๆดังเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะเจือปนไปกับของกิน ยิ่งกว่านั้นยังหาง่ายอละแข็งแรงอีกด้วย นอกเหนือจากใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะสำหรับทำครก สาก เพลา แล้วก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือสลัก ถ้าหากนำมาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เม็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นอาหารได้หลายอย่าง อาทิเช่น คั่วให้สุกแล้วกินโดยตรง นำมาเพาะให้งอกก่อน (เสมือนถั่วงอก) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปทำกับข้าว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกจากนั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวก้าวหน้า
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยบอกว่า ดอก ใบและฝักอ่อน ปรุงเป็นของกินรับประทานแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการไม่อยากอาหารรวมทั้งอาหารไม่ย่อยในช่วงฤดูร้อนลดความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยและก็เยี่ยวทุกข์ยากลำบาก น้ำต้มจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ และเป็นประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคตับเหลือง ใบสด ใช้พอกรอบๆหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกเลือด นำมาต้มผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆใช้อาบข้างหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องเสีย , รักษาแผล เนื้อหุ้มเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แต่ว่าถ้าหากเอาไปต้มจนถึงสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อย ขับลม ขับเสมหะ , ละลายเสลด  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากดื่มน้ำ ทำให้สดชื่น ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  และก็เป็นยาฆ่าเชื้อ แล้วก็ให้กินในรายที่ท้องผูกเป็นประจำ แก้พิษเหล้า ของกินไม่ย่อย อาเจียน จับไข้แล้วก็ท้องเสีย เนื้อในเม็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยในการรักษาแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
แบบอย่าง/ขนาดการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่ออาหาร แพ้ท้อง อ้วกอาเจียน ท้องผูก เด็กเป็นต้นตานขโมย ใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษเหล้า ขับเสมหะ ใช้เนื้อหุ้มเม็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายกิน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเม็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย กินเนื้อหุ้มห่อเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดแล้วก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้ชื่นบาน หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสลด แก้ท้องเฟ้อแน่น อาหารไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินกระทั่งเป็นเถ้าขาว รับประทานทีละ 60-120 มิลลิกรัม และยังคงใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากกลั้วคอ แก้คอเจ็บแล้วก็ปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มเมล็ดรับประทานทีละ 15 กรัม ช่วยในการย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 แนวทาง คือใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือเล็กน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ใช้เปลือกเม็ดสีน้ำตาลปนแดงเป็นมัน 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการเปลี่ยนไปจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ด รับประทานครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียรวมทั้งอ้วกและก็ใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนกระทั่งนุ่ม แล้วรับประทานทีละ 20 เม็ด เครื่องดื่มประเภทหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานแล้วก็การบูรน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้แล้วก็อาการอักเสบต่างๆได้แก่ เป็นไข้ อาหารไม่ย่อย อาการไม่ดีเหมือนปกติเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ท้องเดิน และก็ใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการเบื่อข้าว (คุณภาพของยาชง จะมากขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานแล้วก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อหุ้มห่อเม็ดกับนม เนื้อหุ้มห่อเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อหุ้มเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาติเตียนสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากบ้วนปากแก้เจ็บคอ กระเพาะอาหารอักเสบ  นำมะขามแฉะไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยตลอดทั้งวัน มะขามแฉะแล้วก็ดินสอพองผสมจนกระทั่งเหมาะ เอามาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับผ่องใสและก็สะอาดยิ่งขึ้น  มะขามแฉะผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวสดใส

การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่ระบุขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. และก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน ตอนที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มิลลิลิตร ให้ผลยับยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% รวมทั้งสารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนรวมทั้งสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. แล้วก็สารสกัดน้ำ ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มิลลิลิตร ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง เช่น  Bacillus subtilis, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonella typhi แม้กระนั้นสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และก็สารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังกล่าวข้างต้นอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบกินพบว่าเปลือกเม็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรสำหรับการบริโภคในไก่ คือ 100 มิลลิกรัมต่อโล โดยซึ่งสามารถลดความเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดสภาวะออกสิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็แล้วแต่การศึกษาอีกฉบับกล่าวว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่กินเมล็ดมะขามดังกล่าวข้างต้นพบผลร้ายเป็น ดื่มน้ำมากขึ้นเรื่อยๆและมีขนาดของตับอ่อนและก็ความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้นักวิจัยชี้แนะว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากโพลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ไม่สามารถย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้และก็เพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่พบพิษ แต่ว่าหนูถีบจักรเพศเมียที่รับประทานอาหารผสมดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นขนาด 1.2 แล้วก็ 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) รับประทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% แล้วก็ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักต่ำลง (weight gain) แล้วก็ feed conversion ratios ลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนทางพยาธิสภาพ คือ มีการเปลี่ยนของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ไก่กรุ๊ปที่กินอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein น้อยกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และ total protein จะไม่กลับสู่สภาวะธรรมดาในตอน 2 อาทิตย์หลังจากขาดอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางเลือดวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศเมียแล้วก็เพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 แล้วก็ 12% นาน 2 ปี ไม่พบความเคลื่อนไหวของการกระทำ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินของกิน ผลทางวิชาชีวเคมีในเยี่ยวและเลือด ผลของการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 กรัม/กก. นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF ทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่พบความผิดปกติใดๆก็ตามความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กก./วัน และในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มก./กิโลกรัม/วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่สารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงไปในกระเพาะของกินหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง แล้วก็สารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงไปยังกระเพราะอาหารหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มก./กิโลกรัม ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ กระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 รวมทั้ง TA98
ข้อแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • สำหรับในการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยยิ่งไปกว่านั้นมะขามสุก)นั้นควรที่จะทำการเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อโรครา เพราะว่าบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินความจำเป็นอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้ตัวอย่างเช่น ท้องเดิน ท้องเดิน
  • การบริโภคมะขามไม่ควรหวังผลสำหรับเพื่อการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรบริโภคแม้กระนั้นพอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการศึกษาที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดน้ำหนักได้ ด้วยเหตุดังกล่าวก็เลยไม่ควรใช้มะขามมาลดน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone.
บันทึกการเข้า