รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้  (อ่าน 660 ครั้ง)

กาลครั้งหนึ่ง2560

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 120
    • ดูรายละเอียด


ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าน้องสาว (ภาคกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
สกุล  Menispermaceae
บ้านเกิด ย่านางมีถิ่นกำเนิดในตรงกลางของเอเซียอาคเนย์ เป็นต้นว่า ในประเทศ เมียนมาร์ , ไทย , ลาว , เขมร  ข้อเท็จจริงแล้วพืชตระกูลย่านางนี้มีราว 70  เครือญาติ แม้กระนั้นส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนแล้วก็ในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของพวกเรานั้นเจอขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ แล้วก็ป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ในขณะนี้ได้มีการเอามาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภคแล้วก็ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างล้นหลาม
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้ เลื้อยพันเนตรมต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน กิ่งมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนเล็กน้อย หรือหมดจด ใบลำพัง หนา สีเขียวเข้มเป็นเงา เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวประมาณ 6-12 ซม. กว้างราวๆ 4-6 ซม. ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นนิดหน่อย ก้านใบยาวราว 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบเหมือนกระดาษ แต่แข็ง เหนียว มีเส้นใบกึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น รวมทั้งมีเส้นแขนงใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะร่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนหมดจด ก้านใบผิวย่นละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกกิ้งก้านตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.5 ซม. แยกเป็นช่อดอกเพศผู้แล้วก็ช่อดอกเพศภรรยา ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่าและก็เรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ค่อนข้างจะหมดจด กลีบมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มม. หมดจด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปตะบอง ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มิลลิเมตร ข้างนอกมีขนประปราย กลีบมี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มม. เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ติดอยู่บนก้านยกสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลได้ผลกลุ่ม ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มม. ผิวเกลี้ยง มีเมล็ดแข็ง ผลสีเขียว ฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อและซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มิลลิเมตร เมื่อสุกจะกลายเป็นสีส้มแล้วก็สีแดงสด เม็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไม่มีระเบียบ มีดอกช่วงมี.ค.ถึงเมษายน
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่รุ่งเรืองได้ ในดินเกือบทุกประเภท ถูกใจดินร่วนคละเคล้าทรายจะเจริญได้ดิบได้ดี การปลูกเอาไว้ภายในหน้าฝน จะเจริญเติบโตได้ดีมากว่า จะเจริญงอกงามเร็วกว่าปลูกในช่วงอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแล้งก้าวหน้า
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถเพาะพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเม็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แต่ว่าแนวทางที่ได้รับความนิยมในขณะนี้หมายถึงการเพาะเมล็ด เม็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเม็ดสูง แต่ว่าจำต้องใช้เม็ดที่แก่สุดกำลังที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเม็ดต้องระวังอย่าขุดหลุมลึก เนื่องจากจะก่อให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการดูแลรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมาก เพราะว่าย่านางจะเติบโตได้ดิบได้ดี ในดินมีความชุ่มชื้นพอเพียง และสามารถเติบโตได้แม้ว่าจะมีวัชพืชขึ้นหนา เพราะต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชจำพวกอื่น
สำหรับประเด็นการใส่ปุ๋ยย่านางนั้นไม่สำคัญ หากดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่พอเพียง เราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็เพียงพอ แม้กระนั้นหากต้องการจะให้ใบเขียวเข้มมากขึ้น อาจจำต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือราวๆ 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับปริมาณต่ำลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกลงในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราว 1×1 เมตร และเมื่อต้นเริ่มเลื้อยทอดยอด ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลผลิตย่านาง  จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกภายในแปลง ใบมีขนาดโตเต็มที่มีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ แล้วก็จะเก็บได้ตลอดกาลเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนมากจะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) ยกตัวอย่างเช่น มิเนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) แล้วก็สารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ อาทิเช่น สารโมโนอีพอกซีเบตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) และก็อนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) อาทิเช่น ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และ D-isochondendrine พบได้อีกทั้งในราก และก็ใบย่านาง  รวมทั้งการศึกษาเล่าเรียนส่วนประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต่อต้านไข้จับสั่นจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography  และการตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ประเภท คือ tiliacorinine (I) รวมทั้ง tiliacorine (II) จำนวน  0.0082% แล้วก็ 0.0029% ตามลำดับ  ส่วนค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ธาตุฟอสฟอรัส 11.0 มก.
-               เหล็ก 7.0 มก.
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
-               ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               ขี้เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งปวง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ธาตุฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคติดอยู่ไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               เดกซ์โทรส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
ผลดี/คุณประโยชน์ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ แล้วก็ยังมีวิตามินที่ต้องต่อร่างกายอีกเพียบเลย ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในจำนวนค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกหลายคนต่างก็คุ้นเคยกันดี ด้วยเหตุว่านิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร อย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
คุณประโยชน์ย่านางที่ใช้เป็นอาหารมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ทั้งปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับของกินเผ็ด คนประเทศไทยอีสานและก็ชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ และเพิ่มคลอโรฟิลล์รวมทั้งบีตาแคโรทีนให้กับอาหารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ยิ่งกว่านั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเปรอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมรวมทั้งหมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (เป็นใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงกะทิ รวมทั้งหั่นซอยรับประทานกับข้าวยำได้อีก ผลสุกใช้รับประทานเล่น ส่วนคนเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำเอามาใส่แกงพื้นเมือง ยกตัวอย่างเช่น แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของย่านางหมายถึง ตำรายาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้เบญจโลกวิเชียร (มีรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากต้นกระโรกใหญ่ อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งทีละ 1 กำมือ หรือโดยประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำดื่มก่อนรับประทานอาหารเช้า ช่วงกลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ถอนพิษผิดสำแดง นำมาต้มรับประทานเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับระดู บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษด้านในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากสุนัขน้อย ต้มรับประทานแก้ไข้ไข้มาลาเรีย ลำต้น รสจืดขม ทำลายพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้โรคฝีดาษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน ใบ รสจืดขม กินทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศรีษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึกหัด ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้โรคฝีดาษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกตำราหนึ่งกล่าวว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับกระหาย ทุเลาอาการไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส ฝีดาษ ถอนพิษแฮงค์ เมาสุรา บรรเทาท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ทำลายพิษ แล้วก็ลดพิษจากพืช สัตว์ แล้วก็สารเคมีในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นนำมาต้มหรือบดคั้นน้ำ บรรเทาลักษณะของการมีไข้ประเภทต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด และลดพิษยากำจัดศัตรูพืชภายในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำดื่ม รวมถึงใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน อย่างเช่น ทุเลาอาการร้อนใน ทุเลาอาการเจ็บป่วย ตัวร้อน บรรเทาไข้รากสาด ไข้ไข้ทรพิษลดพิษสารกำจัดแมลงภายในร่างกาย และก็ทำลายพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้จับสั่น บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กำหนดการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์บรรเทาลักษณะของการมีไข้ ส่วนทางการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยับยั้งการเติบโตของเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันโลหิต ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ต่อต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของไส้ ต่อต้านการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ของโรคมะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase รวมทั้งมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆในการต่อต้านอนุมูลอิสระ  แล้วก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวหน-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านทานจุลชีวัน Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli แล้วก็ Salmonellaspp. และก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต้านจุลชีพ Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli และ Salmonella spp. ต่อต้านไข้ รวมทั้งต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางปราศจากอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังเช่น โรคหัวใจและเส้นโลหิต โรคกระดูกรวมทั้งข้อโรคเบาหวาน โรคระบบทางเท้าหายใจ
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ราวๆ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนที่จะกินอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (ปวดท้องเพราะเหตุว่ากินอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงแล้วก็รากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แม้กระนั้นไม่ถึงกับข้น ดื่มทีละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือหากให้ดีขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในอาหาร ดังเช่นว่า เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นแล้วก็ใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 จับมือ เพิ่มเติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือรวมทั้งน้ำตาลเล็กน้อยเพียงพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้คลื่นไส้ออกมา จะช่วยทำให้ดียิ่งขึ้น   ดับพิษร้อน ทำลายพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาประจำถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้ไข้จับสั่น   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนบดหมากผสมจนกระทั่งเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาลาเรีย        เรียนฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นองค์ประกอบ 2 ส่วนสกัด เป็นส่วนที่ละลายน้ำ และก็ส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการขัดขวางเชื้อมาลาเรีย จากองค์ประกอบทางเคมีที่แยกได้ พบสาร alkaloid ที่แตกต่างกัน 5 ประเภท ในกลุ่ม bisbenzyl isoquinoline ตัวอย่างเช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, รวมทั้งสาร alkaloid ที่ไม่อาจจะกำหนดโครงสร้างได้ คือ G แล้วก็ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับการกำจัดเชื้อไข้จับสั่นระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อไข้จับสั่นไปสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี รวมทั้งมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 พอๆกับ 344 ng/mL ตามด้วย nor-tiliacorinine A และก็ tiliacorine ตามลำดับ (ID50s พอๆกับ 558 และก็ 675 mg/mL เป็นลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 ประเภท ดังเช่นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine และก็ tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง รวมทั้งอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 ชนิดเป็น13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 จำพวกนี้ ได้เอามาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลการทดลองพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แม้กระนั้นที่ค่า MIC เท่ากับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยับยั้ง  MDR-MTB ได้เยอะมากที่สุด
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง     การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดลอง แล้วก็ในสัตว์ทดสอบ โดยเรียนผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กรุ๊ป alkaloid ที่เจอในย่านาง  สำหรับในการทดลอง in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดี รวมทั้งสาร tiliacorinine  ผลการทดสอบพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญสำหรับการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง โดยมีค่า IC50 พอๆกับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นวิธีการ apoptosis ซึ่งเป็นขั้นตอนสำหรับเพื่อการกำจัดเซลล์เปลี่ยนไปจากปกติ รวมทั้งเซลล์มะเร็งในร่างกาย รวมทั้งการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการก้าวหน้าของก้อนเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของผักพื้นบ้านไทย จำนวน 6 ประเภท อย่างเช่น ผักกูด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละประเภท ทดสอบฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักทั้งยัง 6 ประเภทเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี รวมทั้งวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี แล้วก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยตรวจดูฤทธิ์ระงับปวดและฤทธิ์ต้านทานการอักเสบของพืชผักประจำถิ่นอีสาน 10 จำพวก การตรวจหาฤทธิ์หยุดปวดโดยใช้ writhing test รวมทั้ง tail flick test สำหรับในการตรวจฤทธิ์ต้านทานอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลการทดสอบใช้สารสกัดพืชผักพื้นเมืองด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 โล พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และผักชีลาว มีผลลดการเกิด writhing ในหนูปริมาณร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและก็ใบย่านางมีฤทธิ์หยุดปวด ต่อจากนั้นเลือกเฟ้นสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 ประเภท เช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง รวมทั้งผักกาดฮีนมากระทำการทดสอบฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัดทั้งยัง 4 ชนิดไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดสอบ ผู้ศึกษาวิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใบย่านางบางทีอาจจะออกฤทธิ์ยับยั้งปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นหลักการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่เคยรู้ว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายไหม การค้นพบนี้บางทีอาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแม้กระนั้นโบราณได้ ถ้าหากแต่ว่าควรจะมีการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมอีกถัดไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปตรวจดูฤทธิ์สำหรับเพื่อการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะในการลดไข้แต่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง การศึกษาเรียนรู้วิจัยทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองประเภทเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) และอัลคาลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อวิเคราะห์ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดสอบเกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจค้นสูตรโครงสร้างสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้บางทีอาจอยู่ในพวก aporphine alkaloids
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษทันควัน แล้วก็ครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เล่าเรียนพิษเฉียบพลันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ และเพศภรรยา ประเภทละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของสภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น และก็  ไม่มีการแสดงความประพฤติที่เปลี่ยนไปจากปกติ รวมถึงไม่มีการเสียชีวิต หรือการเปลี่ยนแปลงของเยื่อภายใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู จำนวน 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กิโล (คิดเป็นจำนวน 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนรู้พิษเรื้องรัง ทดสอบโดยป้อนสารสกัดแก่ตัวทดลอง เพศผู้ และก็เพศภรรยา จำพวกละ 10 ตัว ทุกวัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และ 1,200 mg/kg ติดต่อกันเป็นเวลานาน 90 วัน   ไม่เจอความไม่ปกติทางด้านพฤติกรรม รวมทั้งสุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และกรุ๊ปควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 รวมทั้ง 118 โดยตรวจร่างกาย และมีกลุ่มที่ติดตามผลต่อไปอีก 118 วัน ผลการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าชีวเคมีในเลือด และเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการค้นคว้าชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษรุนแรง แล้วก็พิษครึ่งเรื้อรังในตัวทดลอง ทั้งยังในหนูเพศผู้ และเพศเมีย
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรปฏิบัติตาม

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรจะดื่มทันที เพราะถ้าเกิดทิ้งเอาไว้นานเกินไปจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แต่สามารถนำมาแช่ตู้แช่เย็นได้ แล้วก็ควรจะดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • สำหรับในการดื่มน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนรับประทานอาหารหรือตอนท้องว่างโดยประมาณครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางคนที่รู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว รับประทานยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วนำมาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรประเภทอื่นๆก็ได้ อาทิเช่น ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้แต่น้ำหวานก็ได้ด้วยเหมือนกัน
  • ควรดื่มปริมาณแต่พอดี ถ้าดื่มแล้วรู้สึกแพ้ พะอืดพะอม ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้ลดน้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดช
บันทึกการเข้า