รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ยอ มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่สามารถรักษาโรคต่างๆได้ดีอีกด้วย  (อ่าน 567 ครั้ง)

boiopil020156889

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 65
    • ดูรายละเอียด


ยอ
ชื่อสมุนไพร  ยอ
ชื่ออื่น/ขื่อแคว้น  ยอบ้าน (ภาคกึ่งกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ  Indian mulberry
วงศ์  Rubiaceae
ถิ่นกำเนิด   ลูกยอ Morinda citrifolia คือผลไม้เขตร้อนพบได้ทั่วไปบันทึกว่ามีการรับประทานลูกยอเป็นของกินมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นบ้านในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) รวมทั้งได้แพร่ไปไปยังประเทศอื่นๆโดยมีตำนานว่า คนภายในสมัยโบราณ (ที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูและได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นอาหารขึ้นรากฐานที่สร้างเสริมส่วนต่างๆของร่างกายและก็เพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนรุ่นก่อนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยกันบันทึกแล้วก็จดจำถัดมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดลักษณะการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลิเนเซียน ชาวจีน คนประเทศอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่กระจายพันธุ์ของยอนั้นมีต้นเหตุจากถูกนำติดตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ โดยบรรดาผู้หลบภัย และก็มันสามารถเจริญเติบโตเจริญในดินภูเขาไฟที่ไม่มีมลภาวะ และก็มีการแพรกระจัดกระจายประเภทไปยังดินแดนใกล้เคียง
แม้กระนั้นอีกแบบเรียนหนึ่งกล่าวว่าเป็นไม้ประจำถิ่นในเอเซียอาคเนย์ แต่ว่ามีผู้น าไปแพร่พันธุ์จนกระทั่งกระจายไปทั่วประเทศอินเดีย รวมทั้งตามหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วก็หมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ทั้งในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มกำลังเมื่ออายุครบ 18 เดือน แล้วก็จะออกดอกออกผล
ซึ่งในขณะนี้พืชจำพวกนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในทวีปเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของห้วงมหาสมุทรแปซิฟิคเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองกา ราราทองคำกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ”
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตสุดกำลัง 5-10 เซนติเมตร สังกัดอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางชิดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบสากนิดหน่อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้มองดูไม่เป็นทรงพุ่มไม้
ใบ ใบเป็นใบโดดเดี่ยว (simple leaf) แทงออกตรงข้ามกันซ้ายขวา มีรูปทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างโดยประมาณ 10-20 ซม. ยาวโดยประมาณ 15-30 เซนติเมตร ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวราวๆ 1 เซนติเมตร โคนใบ และก็ปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ แล้วก็ผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งสองด้าน ข้างบนใบพบได้มากเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย
ดอก  ดอกออกเป็นช่อกลมคนเดียวๆสีขาว รูปทรงราวกับหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และโคนกลีบดอกไม้เชื่อมชิดกัน กลีบดอกไม้มีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวราวๆ 8-12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ข้างในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร เกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย ยาวโดยประมาณ 15 มิลลิเมตร แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวราวๆ 3 มิลลิเมตร
ผล  ผลเป็นประเภทผลรวม (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า แล้วก็ขนุน เชื่อมชิดกันสำเร็จใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาว 3-10 เซนติเมตร ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และเมื่อสุกจะมีสีเหลือง และกลายเป็นสีขาวกระทั่งเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีเยอะๆ เมล็ดมีลักษณะแบน ข้างในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
                นอกเหนือจากนี้ยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังนี้

  • M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด เจอได้บริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ ฮาวาย ตาฮิติ ฯลฯ
  • M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่ส่งผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย ดังเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค
  • M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งสีเขียว แล้วก็สีขาว พบทั่วๆไปบริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูก
ยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แต่ว่าสามารถขายประเภทด้วยวิธีอื่นได้เช่นเดียวกัน ดังเช่น การปักชำ การทำหมัน แม้กระนั้นการเพาะเม็ดจะได้ผลที่ดียิ่งกว่าแล้วก็อัตราการรอคอยดจะสูงยิ่งกว่าวิธีอื่น โดยการเพาะเมล็ดจะใช้แนวทางการบีบแยกเมล็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และก็กรองเมล็ดออก ผลที่ใช้จะต้องเป็นผลสุกจัดที่ร่วงจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม  เม็ดที่ได้จะต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน  รวมทั้งเอามาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงโดยประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย และยังเป็นพืชที่คงทนต่อสภาพดินเค็มแล้วก็สภาวะแห้งอีกด้วย ก็เลยทำให้มีการแพร่ระบาดจำพวกอย่างเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ทั้งในส่วนของ  ผล ใบ รวมทั้งราก มีหลายอย่าง ได้แก่ scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกลุ่ม anthraquinones เช่น anthraquinone glycoside , morindone รวมทั้ง rubiadin รวมถึง      flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E                                    นอกจากนี้ยังมี  vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene แล้วก็  linoleic acid ซึ่งสารกลุ่มนี้สารชนิดได้มีการทดลองคุณลักษณะของสารแล้วว่ามีผลที่สามารถนำมาใช้ด้านการแพทย์ได้ นอกนั้นยังเจอสารจำพวกใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside รวมทั้ง iridoid glycoside ในใบยอขึ้นรถทั้งคู่มีผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
ประโยชน์/คุณประโยชน์
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากยอนั้นมีทั้งในด้านการนำไป บริโภคเป็นอาหารและก็การนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านค้าของ        Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น   มีมากมายหลายต้นแบบดังต่อไปนี้ มีการ
 บริโภคผลยอกันมาก ทั้งยังดิบๆหรือแต่ง อาทิเช่น บางหมู่เกาะในห้วงมหาสมุทรแปซิฟิก รับประทานผลยอเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็ชนท้องที่ประเทศออสเตรเลียกินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหยี แล้วก็ใช้เม็ดของยอคั่วกินได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก  นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำตำส้ม ใบอ่อน นำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก แล้วก็ในปัจจุบันมีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีคุณประโยชน์ ทางด้านค่าของของกินที่มี วิตามินซี วิตามินเอ แล้วก็ธาตุโปแตสเซียมสูง นอกเหนือจากนี้จะมีลักษณะเสมือนผักผลไม้จำนวนไม่น้อยด้วยเหตุว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ แล้วก็ต้านโรคมะเร็ง  ได้
                ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกระบุว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ดังนี้  ตำรายาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อยยุ่ย เหงือกบวม ขับระดูเสีย ขับเลือดลม ฟอกเลือด ขับน้ำคาวปลา แก้เสียงแหบแห้ง แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กระษัย แก้คลื่นไส้  โดยเอามาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือนำมาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน หนังสือเรียนสรรพคุณยาไทยบอกว่าผลอ่อนรับประทานเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับประจำเดือนสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือเล็กน้อย อมแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เม็ดเป็นยาระบาย
           แบบเรียนยาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกแบบเรียนหนึ่งบอกว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้
                ราก คุณประโยชน์เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมฝาด สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ดร้อน สรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเลือด ระดูของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกเปื่อย แก้เสียงแหบ แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาขยันน มีกลิ่นแรง สรรพคุณผายลมในไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนผสมของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
แก้อาเจียนที่เกิดขึ้นมาจากธาตุไม่ปกติ           ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆปิ้ง  หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง  ใช้ครั้งละ  2  กำมือ  น้ำหนักประมาณ  10-15  กรัม  ต้มหรือชงน้ำกินจิบแม้กระนั้นน้ำเสมอๆช่วงเวลาที่มีอาการ  ถ้าเกิดดื่มทีละมากๆจะมีผลให้คลื่นไส้
ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลกิน ช่วยแก้กษัย  แก้เมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน คุ้มครองปกป้องโรคในระบบหัวใจ และเส้นโลหิต แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค เบาหวาน คุ้มครองโรคหัวใจ และเส้นเลือด ต้านโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร รวมทั้งไส้ ช่วยขับระดู แก้เมนส์มาไม่ปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ
รากเอามาต้มหรือดองสุรารับประทานเป็นยาระบาย แก้กระษัย ช่วยเจริญอาหาร ปกป้องโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ รวมทั้งหลอดเลือด
ไอระเหยซึ่งระเหยออกมาจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลเป็นสะเก็ดรอบปากหรือข้างในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู อย่างแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือครึ้มจนกระทั่งเกินไป และจากนั้นจึงนำไปปิ้งไฟอ่อนๆโดยปิ้งให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาท่อนหัวใต้ดินที่พวกเราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนถึงเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองแบบลงไปต้มพร้อมกัน ใส่น้ำตาลกรวดพอเพียงหวาน ทิ้งไว้ครู่หนึ่งแล้วยกลงจากเตา คอยจนถึงอุ่นแล้วนำมากิน ส่วนที่เหลือให้กรองมัวแต่น้ำแช่ไว้ในตู้แช่เย็นแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยอุ่นกิน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 อาทิตย์ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกและก็แช่ลงไปในน้ำต้มสุก แล้วรินมัวแต่น้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการอาเจียน   ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)                 นำผลยอดิบที่โตสุดกำลังแล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆแล้วต่อจากนั้นนำมาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟกรุ่นๆให้แห้งไหม้เกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วใช้ผงมาประมาณ 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกที่มีไว้สำหรับใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาราว 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอ้วก คลื่นไส้
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อาเจียน อ้วก การเล่าเรียนการใช้น้ำผลยอสำหรับการยับยั้งอาเจียน โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อ้วก รวมทั้งน้ำชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนไข้ไข้จับสั่น 92 ราย ที่มีอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มิลลิลิตร กินทุก 2 ชั่วโมง กลุ่มที่ 2 กินน้ำชา 30 มล. ทุก 2 ชั่วโมง แล้วก็กรุ๊ปที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มก.) เวลามีลักษณะอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกจำนวนครั้งการอาเจียนก่อนและข้างหลังการให้ยาทุกราย จากการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอาเจียนก่อนให้ยาทั้ง 3 กลุ่ม มีค่าไม่ต่างกัน แต่จำนวนการคลื่นไส้กรุ๊ปที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ และชามีค่าเฉลี่ยเยอะที่สุด หมายความว่ายอลดอาการคลื่นไส้ได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อศึกษากลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต่อต้าน dopamine อย่างอ่อน  สารสกัดน้ำของผลยอสามารถเร่งการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้คลื่นไส้ด้วย  apomorphine แต่ไม่สามารถที่จะต้านทานฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับการลดการบีบตัวของกระเพาะได้
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีแถลงการณ์ว่าสาร acubin L-asperuloside รวมทั้ง alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถปกป้องการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ อย่างเช่น Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella รวมทั้ง Shigella
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการยับยั้งการเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการตำหนิดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ดังเช่น Rifampcin
ฤทธิ์หยุดความเจ็บปวด (Analgesic activity) มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ยับยั้งปวดในสัตว์ทดสอบ และก็ผลจากการวิจัย โดย ผศ.ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดลอง

การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ  สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 เท่ากับ 0.75 กรัม/กิโลกรัม สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กิโลกรัม ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดสอบพิษครึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่เจอความผิดแปลกอะไรก็ตามในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด และก็ค่าตรวจทางเลือดวิทยา ยิ่งไปกว่านี้การทดลองความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผลยอแห้ง ก็ไม่เจอความเป็นพิษแบบกระทันหันแล้วก็แบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์  น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มิลลิกรัม/มล.ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ขณะที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มและก็น้ำจากรากทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่าส่งผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์ เวลาที่สารสกัดเฮกเซนรวมทั้งเมทานอลจากรากไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึง

  • สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ อยากได้น้ำย่อยเปปสิน (Pepsin) และภาวะความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อกลายเป็นซีโรนิน ดังนั้น แม้กินน้ำลูกยอระหว่างที่ท้องอิ่มแล้วจะมีผลให้มีผลทาเภสัชของสารซีโรนินลดลง
  • คุณประโยชน์ แล้วก็คุณประโยชน์น้ำลูกยอจะต่ำลงเมื่อกินร่วมกับแอลกอฮอล์
  • การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่สมควรที่จะกระทำให้เม็ดยอแตก เนื่องจากสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจทำให้ถ่ายหลายครั้งได้
  • ผู้เจ็บป่วยโรคไตไม่สมควรดื่มน้ำลูกยอ เนื่องจากว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายทันควันได้
  • สตรีตั้งท้องไม่สมควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับโลหิต อาจจะก่อให้แท้งลูกได้
เอกสารอ้างอิง

  • มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
  • อัญชลี จูฑะพุทธิ  ปุณฑริกา ณ พัทลุง  อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์  เย็นจิตร เตชะดำรงสิน.  การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
  • ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
  • วิชัย เอกพลากร  สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์  แก้วโกมล และคณะ.  การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน.  รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน  กระทรวงสาธารณสุข.
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
  • ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/
  • ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
  • ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
  • Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia.  Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
  • Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats.  Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
  • Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K.  Induction of normal phenotypes in ras-  transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia.  Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
  • Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al.  Screening of Indian plant for biological activity. VI.  Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
  • Hirazumi A, Furusawa E.  An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity.  Phytother Res 1999;135:380-7.
  • Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
  • Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K.  Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata.  Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.



Tags :
บันทึกการเข้า