โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)โรคกระดูกรุน เป็นอย่างไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว เป็นสภาวะที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดน้อยลง ร่วมกับความเสื่อมโทรมของเยื่อที่ประกอบเป็นส่วนประกอบภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงเปราะบางแตกหักง่าย รอบๆที่เจอการหักของกระดูกได้บ่อยครั้ง อาทิเช่น ข้อมือ สะโพก แล้วก็สันหลัง ส่วนความหมายของภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ลดน้อยลงซึ่งมีผลให้กระดูกเปราะบาง รวมทั้งมีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นกฏเกณฑ์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์สภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเปรียบเทียงค่า BMD ของคนเจ็บกับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นหลักเกณฑ์ คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำยิ่งกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีภาวการณ์กระดูกพรุน เวลาที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 นับว่ามีภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกปกติ
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้มากในคนสูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน (มักไม่ค่อยพบในเด็กแล้วก็คนวัยหนุ่มวัยสาว นอกจากในกรณีที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยสตรีมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงปริมาณร้อยละ 30-40 ในขณะที่เพศชายได้โอกาสร้อยละ 13 โดย หญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดรอบเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก ชี้แจงได้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกเหนือจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังมีเหตุที่เกิดจากความเสื่อมโทรมตามวัยซึ่งเจอได้ในเพศชายและเพศหญิง รวมทั้งเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเหตุเพราะจะไม่แสดงอาการตราบจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรกซ้อน(การหักของกระดูกต่างๆเป็นต้นว่า กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนใหญ่มิได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันการจนกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆตามที่กล่าวมา (โดยยิ่งไปกว่านั้นกระดูกบั้นท้าย)
จากการคาดคะเนราวขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีคนป่วยเนื่องด้วยกระดูกสะโพกหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นจากการกล่าวในปี คริสต์ศักราช 1990 ที่มีจำนวนคนเจ็บเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เพราะว่าภาวการณ์กระดูกพรุนมีความข้องเกี่ยวกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่ได้กล่าวมาแล้วจึงสะท้อนถึงจำนวนผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนที่จะมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในจำนวนประชาชน
กระดูกสะโพกหักทั้งโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะประชากรคนเจ็บกระดูกบั้นท้ายหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของประชากรโลกทั้งปวง
สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีคุณวุฒิถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่ว่าจากสถิติปริมาณประชากรคนสูงอายุของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบภาวะกระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% รอบๆกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในสตรีวัยหมดระดูที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้จำนวน 289 ครั้งต่อราษฎร 1 แสนรายต่อปี
ที่มาของโรคกระดูกพรุน เนื่องด้วยกระดูกประกอบด้วย โปรตีน คอลลาเจน แล้วก็แคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างรวมทั้งสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา กล่าวคือ ช่วงเวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดแล้วก็ถูกขับออกมาทางฉี่รวมทั้งอุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญวัย มวลกระดูกจะค่อยๆมากขึ้นกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราวๆ ๓๐-๓๕ ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีระยะหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการต่ำลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนจำพวกนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมไปสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนประเภทนี้ก็จะก่อให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่นอนยังไม่รู้ แต่ว่าในพื้นฐานพบว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) แล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรจะมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองแบบนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายกรณีเป็น
- อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆจึงเสื่อมลงและก็เซลล์สร้างกระดูก การผลิตกระดูกก็เลยน้อยลง แต่ว่าเซลล์ทำลายกระดูกยังดำเนินการได้ตามเดิมหรือบางทีอาจทำงานมากขึ้น
- ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในผู้หญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนรวมทั้งเปราะบางลง ส่วนในเพศชายจะมีความเสี่ยงกำเนิดโรคกระดูกพรุนเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
- กรรมพันธุ์ - ผู้ที่มีเครือญาติใกล้ชิดทางเชื้อสายที่มีประวัติมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่กำลังจะได้รับพันธุกรรมโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วไปด้วย
- ความแตกต่างจากปกติสำหรับการทำงานของต่อมแล้วก็อวัยวะต่างๆ- ยกตัวอย่างเช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตและก็ตับดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติ
- โรครวมทั้งการเจ็บป่วย - คนป่วยที่มีสภาวะกระดูกพรุนอาจเป็นเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆดังเช่น โรคที่เกี่ยวโยงกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความผิดปกติทางการกิน โรคภูมิแพ้ตนเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
- การบริโภค - ทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่พอต่อสิ่งที่ต้องการของร่างกายในการสร้างกระดูกและก็การเจริญเติบโต ทานอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างของกินพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ แล้วก็สูบบุหรี่
- การใช้ยา - คนที่ป่วยและก็จำต้องรักษาด้วยยาบางชนิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน อาทิเช่น กรุ๊ปยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน เนื่องจากว่าตัวยาบางประเภทจะออกฤทธิ์ไปรบกวนขั้นตอนสร้างกระดูก ยกตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
- การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในท่าทางท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน หรือการขาดการออกกำลังกายอย่างพอเพียง
อาการของโรคกระดูกพรุน จำนวนมากชอบไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งกำเนิดไม่ปกติของส่วนประกอบกระดูก ดังเช่นว่า ปวดข้อมือ บั้นท้าย หรือข้างหลัง (เนื่องจากกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงลดน้อยลงจากเดิม (เพราะเหตุว่าการหักและยุบของกระดูกสันหลัง ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น) ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนประเภททุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ
ทั้งยังคนที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มากชองสภาวะกระดูกพรุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกข้อมือ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อการ
สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศชาติและก็คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และก็โดยส่วนใหญ่จะมีต้นเหตุที่เกิดจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ตัวอย่างเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงแค่ไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือยันตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นกระแทกกับพื้น ฯลฯ
กรรมวิธีการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องด้วยสภาวะกระดูกพรุนส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติจนกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตัวอย่างเช่น ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจรวมทั้งวินิจฉัยการสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะเกิดการหักของกระดูกจึงเป็นหัวข้อสำคัญ โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากประวัติความเป็นมาอาการ ความเป็นมาเจ็บป่วยต่างๆเรื่องราวออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย และจะกระทำวิเคราะห์ด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศรวมทั้งอายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งได้เป็น 4 จำพวก ดังต่อไปนี้
- กระดูกปกติ (Normal bone) คือ กระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในตอน 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าถัวเฉลี่ย (-1 SD)
- กระดูกบาง (Osteopenia)หมายถึงกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
- กระดูกพรุน (Osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงมากยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำกว่า -2.5 SD)
- กระดูกพรุนอย่างรุนแรง (Severe or Established osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงมากยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยมากยิ่งกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก
การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นกรรมวิธีตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแม่นยำที่สุดสำหรับการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้จะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงจำนวนร้อยละ 1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มหลักการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและหยุดหรือลดการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยหมอจะมีแนวทางการรักษาคนที่มีสภาวะกระดุพรุน ดังต่อไปนี้- สำหรับคนเจ็บที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้รับประทานแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต ครั้งละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มก. วันละ ๒ ครั้ง และอาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มิลลิกรัม ร่วมด้วยในรายที่อยู่แต่ว่าในร่ม (ไม่ได้รับแสงแดด) ตลอดเวลา
- สำหรับหญิงข้างหลังวัยหมดระดู หมอบางทีอาจตรึกตรองให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนชดเชย ยกตัวอย่างเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อทางด้านการค้า อย่างเช่น Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มิลลิกรัม หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มิลลิกรัม วันละครั้ง ในรายที่มีข้อกำหนดใช้หรือมีผลใกล้กันมากมาย บางทีอาจให้ราล็อกสิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มก. ยานี้ออกฤทธิ์คล้ายเอสโทรเจน แต่ว่าส่งผลข้างๆน้อยกว่า
- สำหรับเพศชายสูงอายุที่มีสภาวะฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย อาจจะต้องให้ฮอร์โมนประเภทนี้เสริม
ยิ่งไปกว่านี้ บางทีอาจตรึกตรองให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเสริมเติมแก่ผู้เจ็บป่วยบางราย ยกตัวอย่างเช่น- ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มก. ให้กินวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มก. สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก รวมทั้งเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ป้องกันการแตกหักของกระดูกสันหลังแล้วก็สะโพก เหมาะกับผู้ป่วยชาย คนป่วยหญิงที่มิได้รับฮอร์โมนตอบแทน และก็ใช้ปกป้องภาวะกระดูกพรุนในคนที่จำต้องกินยาสตีรอยด์นานๆ
- แคลซิโทนิน (calcitonin) มีประเภทพ่นจมูกแล้วก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก แล้วก็มีคุณประโยชน์สำหรับการใช้ลดลักษณะของการปวด เพราะเหตุว่าการแตกหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลังอีกด้วย
คนไข้ควรต้องใช้ยาเป็นประจำ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจต้องทำตรวจกรองมะเร็งเต้านมและปากมดลูก (สำหรับคนที่กินเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก เป็นต้น
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา เป็นต้นว่า การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 จำพวกหมายถึงปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ และ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายต้นเหตุก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็น
โรคกระดูกพรุน และก็จะได้โอกาสสูงที่จะกำเนิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดสภาวะกระดูกพรุนปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ ต้นเหตุที่ปรับปรุงแก้ไขได้
- อายุ(คนชรา 65 ปีขึ้นไป)
- เพศ (หญิง)
- เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
- กรรมพันธุ์ (เรื่องราวคนในครอบคัวโดยยิ่งไปกว่านั้นมารดา)
- รูปร่างเล็ก ซูบผอม บาง
- หมดประจำเดือน ก่อนอายุ 45
- มีพยาธิภาวะที่ต้องผ่าตัดเอารับไข 2 ข้างออกก่อนหมดรอบเดือน
- เคยกระดูกหักจากภาวการณ์กระดูกเปราะบาง • ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
- หมดประจำเดือน
- กินแคลเซียมน้อย บริโภคเกลือทะเลแล้วก็เนื้อสัตว์สูง
- สูบบุหรี่ กินเหล้า ดื่มกาแฟ
- ขาดการออกกำลังกาย
- ได้รับยาบางจำพวก ยกตัวอย่างเช่น glucocorticosteroids แล้วก็ thyroid hormone เป็นต้น
- เป็นโรคบางจำพวก ตัวอย่างเช่น chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , และ Cushing’s syndrome ฯลฯ
- มี BMI (ดัชนีมวลกาย)ต่ำกว่า 19 กก./ตารางเมตร
การติดต่อของโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากกลไกการสลายตัวของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกและก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากหลายสาเหตุ แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน- รับประทานวิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร หรือยาต่างๆตามหมอแนะนำ
- การกินของกินมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มครบบริบรูณ์ทุกวันในจำนวนพอดีที่
- บริหารร่างกายบ่อยพอควรกับสุขภาพ
- เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เลี่ยงได้
- ไปพบหมอจากที่แพทย์นัดหมายเสมอๆ
- หมั่นดูแลความเป็นระเบียบในบ้าน รวมถึงไม่วางของเกะกะตามทางเดินที่อาจจะก่อให้ลื่นล้มหรือมีการชนจนกระทั่งทำให้กระดูกหักได้
การปกป้องตัวเองจากโรคกระดูกพรุน- ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนจากที่กล่าวมา ควรขอความเห็นแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน ได้แก่ หญิงวัยหมดระดู, ผู้สูงวัย, ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานานๆ, ผู้ที่มีโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน ฯลฯ
- กินแคลเซียมให้พอเพียงแต่ละวันให้พอเพียงต่อความจำเป็นของร่างกาย(ดังตารางดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว)
อายุปริมาณแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
ทารก – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
ผู้ชาย
25 ปี – 65 ปี
มากกว่า 65 ปี
ผู้หญิง
25 ปี – 50 ปี
มากกว่า 50 ปี (ข้างหลังวัยหมดประจำเดือน)
อายุ 400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500
1000
ปริมาณแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
-ได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen
- ไม่ได้รับการรักษาด้วย estrogen
อายุมากกว่า 65 ปี
ระหว่าท้อง หรือให้นมลูก 1000
1500
1500
1200-1500
โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (ดังเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (ยกตัวอย่างเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรจะดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่แล้วก็คนแก่ดื่มนมวันละ 1-2 แก้วบ่อยๆ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมจำนวนร้อยละ 50 ของปริมาณที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากของกินแหล่งอื่นๆประกอบ
คนแก่บางคนที่มีความจำกัดสำหรับในการดื่มนม (ตัวอย่างเช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากยิ่งขึ้น
- ออกกำลังกายเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านน้ำหนัก (weight bearing) เช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ ฯลฯ ร่วมกับการยกน้ำหนัก จะช่วยทำให้มีมวลกระดูกมากยิ่งขึ้น และก็กระดูกมีความแข็งแรง ทั้งยังแขน ขา และกระดูกสันหลัง
- รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้ต่ำกว่ามาตรฐาน (ผอมบางเกินไป) เพราะคนผอมบางจะมีมวลกระดูกน้อย มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
- รับแดด ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็ความนิ่งกระตุ้นการสร้างกระดูก ในบ้านเราคนโดยมากจะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว เว้นแต่ในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดระยะเวลา ก็ควรออกไปรับแดดอ่อนๆรุ่งเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าเกิดอยู่แต่ว่าในที่ร่ม ไม่ถูกแสงอาทิตย์ บางทีอาจจะต้องกินวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มก.
- หลบหลีกพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะกระดูกพรุน ได้แก่
- อดอาหารจำพวกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินความจำเป็น เพราะว่าอาหารเหล่านี้จะทำการกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากเกินปกติ
- อดอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะเหตุว่าเกลือโซเดียมจะก่อให้ไส้ซึมซับแคลเซียมได้ลดลง แล้วก็เพิ่มการขับแคลเซียมทางไตเพิ่มมากขึ้น
- ไม่ดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก เนื่องจากกรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพิ่มมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในปริมาณมาก ด้วยเหตุว่าแอลกอฮอล์รวมทั้งคาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้จะขวางการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่สมควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเสมอกันแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
- งดการสูบยาสูบ เนื่องจากว่ายาสูบทำให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกเยอะขึ้น (เพราะลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
- ระวังการใช้ยาบางจำพวก ดังเช่นว่า ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกมาจากร่างกาย
- รักษาโรคหรือภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน ดังเช่นว่า ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน / รักษาโรคกระดูกพรุนเพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคู่มือสรรพลักษณะ เอ๋ยถึงคุณประโยชน์ของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งหมดแล" ในตำราเรียนแพทย์แผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข พูดว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์พื้นบ้านนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
ตอนนี้ได้มีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมาก แล้วก็สารอทุ่งนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารมิวโคโพลีแซกติดอยู่ไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกรรมวิธีสมานกระดูก ยิ่งกว่านั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเอง
ผลของการทดสอบการใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกแล้วก็รักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. ตระกูล Convlvulaceae ในประเทศจีนและบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองคำสำหรับในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin รวมทั้ง kaempferol เมื่อเอามาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol และก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวชี้สำหรับเพื่อการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ตั้งต้น แล้วก็สาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol แล้วก็ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในทางของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงสำหรับการยับยั้งตัวรับ estrogen ประเภท ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วคาดว่าจะเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจแล้วก็เส้นเลือด แต่ว่าออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมและมดลูก
นอกเหนือจากนี้สาร quercetin และ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก เช่นเดียวกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองคำมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาโรคกระดูกพรุน แล้วก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการสร้างเซลล์กระดูกเป็น kaempferol แล้วก็ hyperoside
เอกสารอ้างอิง- สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
- Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Gaisworthy TD & Wilson PL. Osteoporo