รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย  (อ่าน 808 ครั้ง)

กาลครั้งหนึ่ง2560

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 120
    • ดูรายละเอียด


โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมเป็นอย่างไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งถือได้ว่าโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้ทั่วไปในเด็กวัยเรียนรวมทั้งวัยรุ่น คนเจ็บโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมและก็กดเจ็บบริเวณต่อมน้ำลาย เนื่องด้วยมีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งคือต่อมคู่ มีอีกทั้งข้างซ้ายและก็ข้างขวา ซึ่งโรคอาจกำเนิดกับต่อมน้ำลายเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากนั้นอาจเกิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ ดังเช่นว่า ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักต้องเกิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่รุนแรงรวมทั้งสามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งปวงศหญิงรวมทั้งเพศชายใกล้เคียงกัน  แต่ว่าในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์และก็ผู้ใหญ่มักจะพบความรุนแรงของโรคคางทูมมากกว่าและก็เกิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยเจอในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 3 ปี และก็ในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน รวมทั้งในตอนกรกฎาคมถึงก.ย. รวมทั้งอาจเจอการระบาดได้เป็นบางครั้ง ในอดีตจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบมากในเด็ก แม้กระนั้นในปัจจุบันมีลักษณะท่าทางน้อยลงจากการฉีดยาป้องกันโรคนี้กันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติรวมทั้งความเป็นมาของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้ชี้แจงโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นว่าการเกิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี ค.ศ.1934 Johnson แล้วก็ Goodpasture สามารถทดสอบเอาอย่างการเกิดโรคคางทูมในลิงได้เสร็จ เป็นหลักฐานแสดงการพบเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี คริสต์ศักราช1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders และแผนก อธิบายการทดลองทางผิวหนังรวมทั้งการวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้เสร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่เคยทราบแจ้งชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่แสดงว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์บูด ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังสื่อความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งพบได้ในคนเจ็บโรคคางทูม ในรายงานสมัยเก่าโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
ต้นเหตุของโรคคางทูม สาเหตุของโรคคางทูมมีสาเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่กลางอากาศสามารถแพร่ได้โดยการไอ จาม เช่นเดียวกับหวัด ซึ่งเชื้อไวรัสประเภทนี้เป็น
เชื้อไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยโดยประมาณ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกห่อหุ้มด้วย envelope 3 ชั้น
ลักษณะของโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม เกิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วไปประมาณ 14 - 18 วัน แม้กระนั้นอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ คนเจ็บจะเริ่มมีลักษณะป่วย เหน็ดเหนื่อย ปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามตัว ไม่อยากอาหาร  บางบุคคลอาจมีลักษณะของการปวดในช่องหูหรือหลังหูขณะบดหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่ารอบๆข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีอาการบวมแล้วก็ปวด  ลักษณะของการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ผู้เจ็บป่วยชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากเคี้ยวหรือกลืนของกิน บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (หากมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) ประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะกำเนิดอาการคางบวมทั้ง ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ต่อมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในตอน ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในตอนที่บวมมาก คนไข้จะมีลักษณะพูดและกลืนลำบาก บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆเอามาก่อน หรือมีเพียงแค่ลักษณะของการมีไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้มองเห็นก็ได้ นอกจากนั้น พบว่าราวๆร้อยละ ๓๐ ของผู้ที่ติดโรคคางทูม บางทีอาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม ชอบพบได้สูงมากขึ้นเมื่อเกิดโรคในเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิคุ้มกันต้านโรคต่ำ อาทิเช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เจอได้ประมาณ 10% ของผู้ป่วย และมักมีลักษณะอาการไม่ร้ายแรง
  • โรคสมองอักเสบ พบได้แต่น้อยมาก แม้กระนั้นถ้าหากรุนแรงอาจจะส่งผลให้เสียชีวิต ได้ เจอได้ราว 1% และพบเกิดในผู้ชายมากกว่าหญิง
  • ในเพศชาย อาจเจอการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางเกิดสูงขึ้นถ้าหากคางทูมกำเนิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่พบได้ 20 - 30% ของผู้ป่วย อาการอัณฑะอักเสบมักเกิดราวๆ 1 - 2 สัปดาห์หลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ แล้วก็บางทีอาจกลับมาเป็นไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่ราว 3 - 4 วัน หรืออาจนานได้ถึง 2 - 3 สัปดาห์ อัณฑะจะยุบบวม และขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วไปการอักเสบมักกำเนิดกับอัณฑะด้านเดียว ซ้ายหรือขวาได้โอกาสเกิดใกล้เคียงกัน แม้กระนั้นเจอกำเนิด 2 ข้างได้ 10 - 30% หลังกำเนิดอัณฑะอักเสบราว 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบด้านเดียว และ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางบุคคลบางทีอาจเป็นหมันได้
  • ในหญิง อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้ราวๆ 5% แต่ว่ามักไม่เป็นผลให้มีบุตรยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่อาจเจอได้บ้างแต่น้อยเป็นข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และ หูอักเสบ


ขั้นตอนการรักษาโรคคางทูม หมอสามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติความเป็นมาอาการและก็การตรวจร่างกายของคนป่วยดังนี้

  • ตรวจเช็คประวัติการป่วยของคนไข้
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู และก็ต่อมทอนซิลในปาก
  • วัดอุณหภูมิของคนไข้ว่าอยู่ในระดับที่สูงผิดปกติไหม
  • ตรวจสารก่อภูมิต้านทาน (Antigen) ในเลือด
  • แม้กระนั้นเมื่อกระทำการสอบประวัติแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับคนไข้โรคคางทูมด้านใน 2-3 สัปดาห์ ด้วยกันมีลักษณะอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ทันที


ส่วนการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวินิจฉัยในกรณีที่ผู้เจ็บป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายที หรือเพื่อยืนยันการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคคางทูม โดยการตรวจทางภูเขามิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายวิธี เป็นต้นว่า

  • ตรวจเลือดหาแทนติบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจค้นเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง เลือด รวมทั้งสมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays แล้วก็
  • กรรมวิธีการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง


เพราะเหตุว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลรักษาโรคคางทูมจึงยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่สามารถทำได้โดยบรรเทาอาการและก็ทำให้ระบบภูมิต้านทานของสุขภาพแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีลักษณะปวดก็จะให้รับประทานพาราเซตามอลเพื่อทุเลาปวด นอกจากนั้นก็จะชี้แนะขั้นตอนการทำตัวรวมทั้งให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ทั้งนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ รวมทั้งลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแค่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) แล้วก็อาการโดยรวมจะหายสนิทข้างใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนมากก็ชอบหายได้ปกติส่วนน้อยมากที่อาจมีภาวการณ์เป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบและอัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดเลือกหลั่งของทางเดินหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก ยกตัวอย่างเช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนไข้ไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของผู้เจ็บป่วย หรือโดยการสัมผัสถูกมือ ข้าวของ
เครื่องใช้สอย ได้แก่ ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ถ้วยชาม ฯลฯ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจะต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับการแพร่ระบาดไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อหัด หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่เชื้อได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนถึง 5 วันหน้าจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แต่มีรายงานว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนเจ็บตั้งแต่ 7 วันก่อนมีอาการจนกระทั่ง 9 วันหน้าจากเริ่มมีลักษณะต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมส่วนใหญ่ 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจเกิดจากโรคและก็ต้นเหตุอื่น ได้อีกอย่างเช่น

  • การบาดเจ็บ ยกตัวอย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้เจ็บป่วยจะเป็นไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง แล้วก็อาจพบมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ ผู้ป่วยจะมีลักษณะปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  และอาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนเจ็บจะมีลักษณะอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและก็ปวด แล้วก็อาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายอุดตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งชอบเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมีอาการคล้ายคางทูม แต่ว่าผิวหนังบริเวณคางทูมจะมีลักษณะแดงและเจ็บมาก
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (บางทีอาจเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือแผ่ขยายจากกล่องเสียงหรือโพรงข้างหลังจมูก) คนป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า ๑ ซม. และไม่มีลักษณะเจ็บ อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าเป็นมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าเกิดเป็นมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคคางทูม เมื่อป่วยด้วยโรคคางทูมแพทย์มักจะให้คำแนะนำสำหรับเพื่อการทำตัวเพื่อบรรเทาอาการของโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์ชอบเสนอแนะดังต่อไปนี้

  • เช็ดตัวเวลาจับไข้รวมทั้งให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลามีไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุน้อยกว่า 18 ปี เพราะเหตุว่าบางทีอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและก็ตับอย่างรุนแรง               เกิดอันตรายได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงรอบๆที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ว่าถ้าหากปวด ให้ใช้ความเย็น (ได้แก่ น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบบรรเทาปวด
  • เลี่ยงการกินของกินที่บดยาก ในช่วงแรกๆควรจะรับประทานอาหารอ่อน ตัวอย่างเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • เลี่ยงการกินของกินรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้ปวดมากยิ่งขึ้น
  • ควรจะหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหาย เพื่อคุ้มครองปกป้องการแพร่ระบาดให้คนอื่น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • กินน้ำมากๆเมื่อมิได้เป็นโรคที่จำเป็นต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ
  • ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้


o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และก็ไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 คราวหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก แล้วก็ลักษณะของการปวดไม่ดีขึ้นข้างหลังกินยาบรรเทาอาการ
o             รับประทานอาหาร แล้วก็/หรือดื่มน้ำได้น้อยหรือรับประทานไม่ได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดศีรษะมากมาย คอแข็ง หรือปวดท้องมาก ด้วยเหตุว่าเป็นอาการเกิดจาผลข้างเคียง สอดแทรกดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.

บันทึกการเข้า