รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้  (อ่าน 511 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร 
โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติร่างกายของเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารแม้กระนั้นคนที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนมากขึ้นหรือย้อนบ่อยมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีจำนวนกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่เกินกว่าปกติ ทำให้มีลักษณะระคายบริเวณคอ และก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ และก็มีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะ ทำให้คนส่วนใหญ่หลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะ แล้วก็ไปซื้อยาลดกรด (antacids)  ที่มีขายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่าในขณะนี้มีคนไข้มาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้น  รวมทั้งถ้าหากปลดปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยการใช้วิธีที่ผิดจะต้อง อาจส่งผลให้เกิดการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดของกินตีบ ซึ่งบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้
นอกเหนือจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทและชนิดของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ประเภท เป็น

  • โรคกรดไหลย้อนปกติ หรือ CLASSIC GERD ซึ่งกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่ด้านในหลอดของกิน ไม่ไหลย้อนเกินกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบน ส่วนมากจะมีอาการของหลอดของกินเท่านั้น
  • โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอแล้วก็กล่องเสียง (Laryngopharyngeal Reflux : LPR) ซึ่งก็คือโรคที่มีอาการทางคอและกล่องเสียง ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไหลย้อนกลับมาของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นมาเหนือกล้ามหูรูดของหลอดของกินส่วนบนอย่างเปลี่ยนไปจากปกติ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดลักษณะของคอและกล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด


ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่เจอได้ราว 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะอาการอาหารไม่ย่อย (Syspepsia) รวมทั้งพบได้มากในสตรีและก็ในเพศชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบอัตรากำเนิดสูงมากขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของประชาชนอย่างยิ่งจริงๆ
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับความไม่ดีเหมือนปกติ ของแนวทางการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงด้านล่างของหลอดของกิน (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนอาหารหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนถึงหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อขัดขวางไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงด้านล่างของหลอด อาหารนี้หย่อนสมรรถนะ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกินมากยิ่งกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปหลังกินข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอาการ) ทำให้เกิดอาการแตกต่างจากปกติ รวมทั้งการอักเสบของเยื่อบุหลอด อาหารได้
ส่วนมูลเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวถึงมาแล้วดำเนินการไม่ปกติยังไม่เคยทราบกระจ่าง แต่ว่าเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนแก่กว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญรุ่งเรืองไม่สุดกำลัง (พบในเด็กแบเบาะ) หรือมีความผิดธรรมดาที่เป็นมาโดยกำเนิด
นอกเหนือจากนี้พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นลักษณะการทำงานของหลอดของกินให้กำเนิดความเปลี่ยนไปจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ดังเช่นว่า เข้านอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที ทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว อยู่ในตอนท้อง พฤติกรรมต่างๆเหมือนอย่างที่ได้กล่าวมาเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ลักษณะของโรคกรดไหลย้อน  ลักษณะของผู้ป่วยนั้นขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด ดังเช่น

  • อาการทางคอหอยและหลอดของกิน
  • อาการปวดแสบร้อนบริเวณอก รวมทั้งลิ้นปี่ (Heartburn) ข้างหลังทานอาหาร 30-60 นาที หรือข้างหลังทานอาหารแล้วล้มตัวลงนอนราบ นั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ รัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่ออาทิตย์รวมทั้งอาการเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมงรวมทั้งบางทีอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่รอบๆคอได้
  • รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในคอ หรือแน่นคอ
  • กลืนตรากตรำ กลืนเจ็บ หรือกลืนติดขัดเหมือนสะดุดสิ่งปลอมปนในคอ
  • เจ็บคอ แสบคอหรือปาก หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่งเช้า
  • รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)
  • มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดเวลา
  • เรอบ่อย อ้วก เหมือนมีอาหาร หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในทรวงอก เหมือนของกินไม่ย่อย (dyspepsia)
  • มีน้ำลายมากไม่ปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
  • อาการทางกล่องเสียง และก็หลอดลม
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนรุ่งเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในกลางคืน
  • กระแอมไอบ่อย
  • อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้าหากมี) ห่วยลง ไหมดีขึ้นจากการใช้ยา
  • เจ็บหน้าอก (non – cardiac chest pain)
  • เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ
  • อาการทางจมูก รวมทั้งหู
  • คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอ
  • หูอื้อเป็นๆหายๆหรือปวดหู
  • บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น มีลักษณะกลืนของกินแข็งทุกข์ยากลำบาก เนื่องมาจากปลดปล่อยให้เกิดภาวะหลอดของกินอักเสบเรื้อรังจนถึงตีบตัน
  • ส่วนในเด็กแรกเกิดอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่แรกเกิดได้ ด้วยเหตุว่าหูรูดข้างล่างของหลอดของกินยังก้าวหน้าไม่สุดกำลัง เด็กแบเบาะก็เลยมักมีลักษณะอาการงอแง ร้องกวน อาเจียนบ่อย ไอหลายครั้งยามค่ำคืน เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กอ่อนบางรายอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งบางทีอาจกำเริบได้บ่อยมาก แม้กระนั้นอาการชอบหายไปเมื่ออายุได้ราว 6-12 เดือน แต่บางรายก็อาจคอยจนกระทั่งไปสู่วัยรุ่นอาการจึงจะดีขึ้น
วิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ความเป็นมาอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ รวมทั้งลำไส้ รวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่เปลี่ยนไปจากปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดของกิน รวมทั้งอาจมีการตรวจแนวทางเฉพาะอื่นๆเพิ่ม ได้แก่ ตรวจวัดภาวการณ์ความเป็นกรดของหลอดอาหารในขณะส่องกล้อง ทั้งนี้สังกัดดุลยพินิจของแพทย์ ดังเช่น การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสงสว่าง, การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์, การตรวจการบีบตัวของหลอดของกิน เป็นต้น
แม้กระนั้นโดยส่วนมากแล้ว หมอชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการตัดสินโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบได้มาก ยกตัวอย่างเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก รวมทั้งเรอเปรี้ยวข้างหลังกินอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติปฏิบัติที่เป็นเหตุกำเริบ แม้กระนั้นในรายที่ไม่ชัดแจ้งบางทีอาจต้องกระทำตรวจพิเศษ (ซึ่งเจอได้นานๆครั้ง)
กรรมวิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน

  • การปรับเปลี่ยนนิสัย แล้วก็การดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) การรักษาวิธีการแบบนี้มีความสำคัญที่สุดสำหรับการทำให้คนป่วยมีลักษณะอาการน้อยลง คุ้มครองป้องกันไม่ให้เกิดอาการ และลดการกลับเป็นซ้ำ โดยลดจำนวนกรดในกระเพาะ และป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอรวมทั้งกล่องเสียงเยอะขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยโรคนี้ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายสนิท (เว้นเสียแต่จะผ่าตัดปรับปรุงแก้ไข) การดูแลรักษาแนวทางลักษณะนี้ควรปฏิบัติไปตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ หากว่าผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้น หรือหายก็ดีแล้วโดยไม่ต้องกินยาและก็ตาม ผู้ป่วยควรปฏิบัติตนดังนี้


             ควรอุตสาหะลดน้ำหนัก
             พยายามเลี่ยงความตึงเครียด
             หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป
             ถ้าหากมีลักษณะอาการท้องผูก ควรจะรักษา รวมทั้งหลบหลีกการเบ่ง
             ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ
             ภายหลังรับประทานอาหารทันที พากเพียรหลบหลีกการนอนราบ
             หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อมืดค่ำ
             รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ
             หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางจำพวก ตัวอย่างเช่น กาแฟ น้ำอัดลม
             ถ้าหากจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรจะรอราว 3 ชั่วโมง

  • การรักษาด้วยยา กรณีที่เปลี่ยนแปลงการกระทำแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นที่จะต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรกินยาตามที่ได้กำหนดอย่างเคร่งครัด และก็ถ้ามีข้อสงสัยควรจะขอคำแนะนำแพทย์หรือเภสัชกร


             ปัจจุบันยาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หมายถึงยาลดกรดในกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) อย่างเช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีคุณภาพสูงมากมายในการคุ้มครองลักษณะโรคกรดไหลย้อน โดยให้กินยาติดต่อกันตรงเวลา 6 - 8อาทิตย์ หรืออาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายเดือนขึ้นอยู่กับผู้เจ็บป่วยแต่ละราย อย่างเช่นกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับการกินยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี  หรือกินอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
             บางครั้งบางคราวอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรกินก่อนที่จะรับประทานอาหารโดยประมาณ 30 นาที

  • การผ่าตัด เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอรวมทั้งกล่องเสียง การรักษาแนวทางแบบนี้จะทำใน


             คนไข้ที่มีลักษณะรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างมากแล้วไม่ดีขึ้น
             ผู้เจ็บป่วยที่ไม่สามารถที่จะกินยาที่ใช้สำหรับการรักษาภาวการณ์นี้ได้
             คนเจ็บที่ดียิ่งขึ้นภายหลังการใช้ยา แต่ไม่ต้องการที่จะรับประทานยาต่อ
             คนเจ็บที่กลับกลายซ้ำบ่อยครั้งหลังหยุดยา
ทั้งนี้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ปริมาณร้อยละ 10 เพียงแค่นั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี อย่างเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy ฯลฯ

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

  • อายุ ยิ่งสูงขึ้น จังหวะเกิดโรคนี้ยิ่งสูงมากขึ้น
  • การกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับประทานมื้อเย็นก่อนนอน ด้วยเหตุว่าจำนวนอาหารยังค้างอยู่ในกระเพาะ และการนอนราบยังเพิ่มแรงกดดันในกระเพาะอาหาร อาหารและก็กรดจึงไหลถอยกลับเข้าหลอดของกินได้ง่าย
  • การกินอิ่มมากไป (รับประทานอาหารมื้อใหญ่หรือจำนวนมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะอาหารทำให้หูรูดคลายตัวมากยิ่งขึ้น
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน (ได้แก่ กาแฟ ยาชูกำลัง) เว้นแต่กระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะมากเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย
  • การกินอาหารที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดแล้วก็อาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะอาหารขยับเขยื้อนช้าลง ทำให้ได้โอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
  • โรคหืด เชื่อว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไอและก็หอบ ทำให้เพิ่มแรงดันในท้อง ทำให้กรดไหลย้อน
  • การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินอาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (ได้แก่ น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางประเภท (เป็นต้นว่า ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดระดับความดันกรุ๊ปกีดกันเบตารวมทั้งกรุ๊ปต่อต้านแคลเซียม ยาใช้ภายนอกงจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน เป็นต้น) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • แผลเพ็ปติก รวมทั้งการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้อาหารขับเคลื่อนลงสู่ไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้
  • โรคอ้วน เพราะจะมีผลให้มีความดันในช่องท้องสูงขึ้น ความดันในกระเพาะก็เลยสูงมากขึ้นตามไปด้วย
  • การตั้งครรภ์ เพราะจะเป็นการเพิ่มระดับความดันในกระเพาะอาหารจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
  • โรคเบาหวาน เมื่อเป็นโรคนี้นานๆจะมีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะเคลื่อนช้า ก็เลยส่งผลให้เกิดกรดไหลย้อนได้
  • ความเครียด เพราะว่าความตึงเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น
  • การมีโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal hernia, Diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ ทำให้หูรูดอ่อนแอเยอะขึ้น


การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีเหตุมาจากความผิดแปลกของกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดของกิน ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารรวมทั้งมีการอักเสบและอาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน

  • กินยาให้ครบบริบรูณ์รวมทั้งต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการเกิดขึ้นอีก แล้วบากบั่นหลบหลีก ดังเช่นว่า ของกินมัน (รวมทั้งข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) ของกินเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ บุหรี่ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน น้ำอัดลม     น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางประเภท
  • หลบหลีกการกินอาหารจำนวนมาก (หรืออิ่มจัด) และก็หลบหลีกการดื่มน้ำมากมายๆระหว่างรับประทานอาหาร ควรทานอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย รวมทั้งขาดช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง
  • หลังรับประทานอาหารควรปลดเข็มขัดและก็ตะขอกางเกงให้หลวม ไม่ควรนอนราบหรือนั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งหลังตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง หลบหลีกการชูของหนักรวมทั้งการออกกำลังกายหลังอาหารใหม่ๆ
  • หมั่นบริหารร่างกายแล้วก็ความเครียดลดลง เนื่องเพราะความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดเยอะขึ้น ทำให้อาการแย่ลงได้
  • ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรหาทางลดความอ้วน
  • ถ้าเกิดมีอาการกำเริบเสิบสานตอนนอน หรือตื่นเช้าตรู่ มีอาการเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรหนุนศีรษะสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านหัวให้สูง หรือใช้วัสดุอุปกรณ์พิเศษ (bed wedge pillow) สอดใต้ที่นอนให้เอียงลาดจากหัวลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่ชี้แนะให้ใช้แนวทางหนุนหมอนหลายใบให้สูง เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้
  • งดเว้น/เลิก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ/สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง
  • เจอแพทย์ตามนัดหมายเสมอ แล้วก็รีบเจอหมอก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆชั่วโคตรลงหรือไม่ถูกไปจากเดิม


การปกป้องตนเองจากโรคกรดไหลย้อน การคุ้มครองโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการปรับเปลี่ยนความประพฤติการดำเนินชีวิตของพวกเรา ดังเช่น

  • เลือกทานอาหารรวมทั้งเสี่ยงทานอาหารโดยของกินที่พึงหลีกเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่น


             ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกชนิด
             อาหารทอด อาหารไขมันสูง
             ของกินรสจัด รสเผ็ด
             ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
             หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
             ช็อกโกแลต

  • กินอาหารมื้อเล็กๆพออิ่ม การกินอิ่มเกินความจำเป็นจะทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายดายมากยิ่งขึ้นและก็กระตุ้นให้เกิดการย้อนของกรดง่ายมากยิ่งขึ้น
  • ไม่ควรเข้านอนหรือเอนกายหลังอาหารในทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จควรจะรอคอยขั้นต่ำ 3 ชั่วโมงจึงเอนตัวนอน เพื่อของกินเคลื่อนตัวออกจากกระเพาะซะก่อน
  • งดบุหรี่รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะรวมทั้งทำให้หูรูดอ่อนแด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้เช่นกัน
  • ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร เสื้อผ้าและสายรัดเอวที่รัดแน่นบริเวณฝาผนังพุง การก้มตัวไปด้านหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นสาเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหารรวมทั้งทำให้กรดไหลถอยกลับ
  • ความเครียดลดลง ความตึงเครียดที่มากเกินไปจะทำให้อาการไม่ดีขึ้น จำเป็นจะต้องหาเวลาพักผ่อนและก็บริหารร่างกายให้สมดุลกับตารางชีวิต
  • รักษาโรคประจำตัวที่เป็นเหตุที่จะนำไปสู่โรคกรดไหลย้อน เป็นต้นว่า โรคเบาหวาน โรคหืด โรคอ้วน แผลเท็ปติเตียนก ฯลฯ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง / รักษาโรคกรดไหลย้อน
ยอ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia สกุล Rubiaceae มีรายงานการวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญเป็นสโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ประสิทธิภาพที่ดี เท่ากับยามาตรฐานที่ใช้สำหรับในการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) รวมทั้งแลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านการหลั่งของกรด ต่อต้านการเกิดแผล และก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง รวมทั้งยังมีรายงานว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” ก็เลยเหมาะสมสำหรับเพื่อการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง จากการค้นคว้าข้างต้น และก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยย่อยอาหาร ทำให้อาหารไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะ ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยให้กระเพาะบีบเคลื่อนก้าวหน้าขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
ดังนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ด้วยกัน คือ ขมิ้นชัน เหตุเพราะขมิ้นชันมีคุณประโยชน์ในการรักษาอาการท้องอืด รวมทั้งช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือในกระเพาะ และลำไส้เล็กนานเหลือเกิน อีกทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้รับประทานขมิ้นชันก่อนกินอาหาร 1-2 ชั่วโมง ตอนเช้า ช่วงกลางวัน เย็น รวมทั้งก่อนนอน ขนาดกินเป็น ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มิลลิกรัม
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์     Curcuma longa L. วงศ์     Zingiberaceae ชื่อพ้อง  C. domestica Valeton  ชื่ออื่นๆ   ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์                curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากบาดแผลเจริญ การทดลองในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดลองเปรียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มก./กก. พบว่าได้ผลดี แต่ถ้าเกิดสูงขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบจะลดลง และก็ sodium curcuminate ยังสามารถยับยั้งการบีบตัวของไส้หนูในหลอดทดลองที่รั้งนำจากนิโคติน อะซีตำหนิลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนรวมทั้งแบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนี้ sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้
ขมิ้นสามารถต้านทานการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระตุ้นการหลั่งมิวซินมาเคลือบแล้วก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับการออกฤทธิ์คือ curcumin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม สามารถกระตุ้นการหลั่งมิวสินออกมาเคลือบกระเพาะ แต่ว่าถ้าหากใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมากมาย พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำย่อยรวมทั้งกรดในกระเพาะอาหาร แม้กระนั้นเพิ่มส่วนประกอบของไม่วซิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีสาระแล้วก็ถูกนำมาใช้สำหรับเพื่อการรักษาโรคมากที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น แล้วก็มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกเหนือจากนี้ถูกจัดไว้ในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ไส้อักเสบ   -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้          -ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน
รักษารวมทั้งป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง  -ช่วยคุ้มครองแล้วก็บำบัดการเกิดโรคหัวใจ  -ช่วยคุ้มครองป้องกันรวมทั้งลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้  -ช่วยรักษาลักษณะของโรคโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง
ระบบผิวหนัง  -ช่วยสำหรับในการรักษาโรคเริม งูสวัด   -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบสืบพันธุ์และก็ฟุตบาทเยี่ยว  -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี   -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเท้าปัสสาวะ
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงระบบการทำงานด้านการย่อยอาหารภายในร่างกายและช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง

  • Rao TS, Basu N, Siddiqui HH.  Anti-inflammatory activity of curcumin analogs.  Indian J Med Res 1982;75:574-8.
  • รศ.ดร.สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ.เกิร์ด (GERD)-โรคกรดไหลย้อน.ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคกรดไหลย้อน/เกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease/GERD)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 533-536.
  • โรคกรดไหลย้อน.ความรู้สู่ประชาชน.สมาคมประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว(ไทย)
  •   Nutakul W.  NMR analysi
บันทึกการเข้า