รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 636 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


โรคหวัด (Common cold)
โรคหวัด คืออะไร หวัด หรือหวัด ในที่นี้ หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu)   โรคหวัด เป็น โรคที่มีสาเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสรอบๆทางเท้าหายใจส่วนต้น ดังเช่นว่า จมูก คอ ไซนัส และกล่องเสียง โดยเชื้อที่นำไปสู่ไข้หวัดมักเป็นเชื้อไวรัสจำพวกไม่ร้ายแรง และสามารถหายได้ข้างใน 1-2 สัปดาห์ หวัดเป็นโรคติดโรคยอดฮิตมักพบมาก ทั้งในผู้ใหญ่รวมทั้งเด็ก โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กในปฐมวัย ซึ่งมักพบเป็นหวัดได้บ่อยมากถึงปีละ 6-8 ครั้ง ด้วยเหตุว่าเด็กมีภูมิคุ้มกันขัดขวางโรคต่ำลงมากยิ่งกว่าผู้ใหญ่ ก็เลยได้โอกาสเป็นหวัดได้หลายครั้งกว่าคนแก่มาก และโรคไข้หวัดยังเป็นโรคกำเนิดได้ตลอดปี แม้กระนั้นพบบ่อยในหน้าฝนแล้วก็ฤดูหนาว หวัดนับว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่จำเป็นต้องมีเพียงพาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อเป็นไข้สูงหรือปวดศีรษะ
ข้อบกพร่องในขณะนี้เป็น มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างมากเกินไป ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากไม่ได้มีส่วนทำลายเชื้อไวรัสหวัดที่เป็นต้นเหตุยังอาจจะส่งผลให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย รวมทั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้  ดังนั้น จำเป็นจะต้องเรียนรู้แนวทางสำหรับในการดูแลหวัดด้วยตัวเองและไม่มีอันตราย
ต้นเหตุของโรคไข้หวัด ต้นสายปลายเหตุโดยมากของการเป็นโรคหวัดมีเหตุมาจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสภาพการณ์ที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง เป็นต้นว่า เครียด พักผ่อนน้อยเกินไป ส่วนเชื้อที่เป็นต้นเหตุ : มีเหตุมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากกว่า 200 จำพวกจากกรุ๊ปเชื้อไวรัสจำนวน 8 กลุ่มร่วมกัน โดยกรุ๊ปเชื้อไวรัสที่สำคัญ ดังเช่น กรุ๊ปเชื้อไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 จำพวก พบได้ทั่วไปที่สุดราวๆ 30-50% นอกนั้นก็มีกรุ๊ปเชื้อไวรัสวัวโรทุ่งนา (Coronavirus) ที่พบได้ประมาณ 10-15%,และก็กรุ๊ปเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) เป็นต้น
                ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสหวัดจำพวกนั้น ในการไม่สบายหวัดครั้งใหม่ก็จะมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสหวัดประเภทใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้น คนเราจึงเป็นไข้หวัดได้บ่อยครั้ง เด็กเล็กที่ยังไม่ค่อยได้ติดเชื้อหวัดมาก่อน ก็อาจจับไข้หวัดจำเจได้ รวมทั้งอาจจับไข้หวัดได้หลายครั้งถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกอาทิตย์
ลักษณะของโรคหวัด โดยธรรมดามักมีอาการไม่รุนแรง เป็นไข้ไม่สูง ครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นตอนๆปวดหนักหัวเล็กน้อย เมื่อยล้านิดหน่อย อาจมีอาการคอแห้ง แสบคอหรือเจ็บคอนิดหน่อยเอามาก่อน ถัดมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสลดเล็กน้อย ลักษณะใสหรือขาวๆผู้เจ็บป่วยส่วนใหญ่ เดินเหิน ทำงานได้ แล้วก็จะรับประทานอาหารได้ ในเด็กตัวเล็กๆ อาจมีไข้สูงฉับพลัน ตัวร้อนเป็นพักๆเวลาไข้ขึ้นบางทีอาจซึมนิดหน่อย เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือใบหน้าแจ่มใสเหมือนเช่นเคย ถัดมาจะมีน้ำมูกใส ไอน้อย ในคนแก่ อาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่ลักษณะของการเจ็บคอน้อย น้ำมูกใส ไอน้อย ในทารกอาจมีอาการคลื่นไส้ หรือท้องเดิน ร่วมด้วย ลักษณะของการมีไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) และทุเลาไปได้เอง
                อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ อาจไอนานเป็นอาทิตย์ หรือบางรายอาจไอนานเป็นแรมเดือน หลังจากอาการอื่นๆหายก็ดี
ในรายที่การติดเชื้อแบคทีเรียแทรก คนเจ็บจะมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน หรือไอมีเสลดสีเหลืองหรือเขียวทุกหน
ดังนี้อาการไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ จะออกจะคล้ายกัน อาจงงมากได้ แม้กระนั้นคนป่วยและผู้ดูแลสามารถดูความต่างได้ตามตารางนี้




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมแพ้




ไข้


ไข้ต่ำๆหรือไม่มี


มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40
องศาเซลเซียส


ไม่มีไข้




ปวดหัว


ไม่ค่อยพบ


พบได้ปกติ


ไม่พบ




ปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย


อาจมีอาการเล็กน้อย


พบได้บ่อยและอาการรุนแรง


ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย)




น้ำมูกไหล คัดจมูก


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




จาม


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




เจ็บคอ


พบได้บ่อย


อาจพบได้บางครั้ง


อาจพบได้บางครั้ง




ไอ


พบได้บ่อย


พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า


อาจพบได้บางครั้ง




เจ็บหน้าอก


อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด)




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมิแพ้




สาเหตุการเกิด


เกิดจากไวรัส
(Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%)


เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B)


เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร




การดูและการรักษา


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้
-มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย)
-หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง


-หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น
-ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก
-หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก




การป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ไม่มีวัคซีนป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่


หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้




และก็ในขณะที่ป่วยเป็นหวัด ผู้เจ็บป่วยหรือผู้ดูแล (ในเด็กตัวเล็กๆ) ควรจะติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีลักษณะอาการดังนี้
คนแก่
           ไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเกิน 5 วันขึ้นไป
           กลับมาเป็นไข้ซ้ำภายหลังจากอาการไข้หายแล้ว
           หายใจหอบอ่อนล้า รวมทั้งหายใจมีเสียงหวีดร้อง
           เจ็บคออย่างรุนแรง ปวดหัว หรือมีอาการปวดบริเวณไซนัส
เด็ก
           มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ในเด็กแรกเกิด-12 สัปดาห์
           มีลักษณะอาการไข้สูงต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 2 วัน
           อาการต่างๆของหวัดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
           มีลักษณะอาการปวดหัว หรือไออย่างรุนแรง
           หายใจมีเสียงกรีดร้อง
           เด็กมีลักษณะอาการงอแงอย่างหนัก
           ง่วงงุนมากเปลี่ยนไปจากปกติ
           ความต้องการอาหารน้อยลง ไม่รับประทานอาหาร
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อเกิดหวัด คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังนี้ มักไม่สบายหวัดได้ง่ายยิ่งกว่าคนปกติ ดังเช่น

  • อายุ เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี มีความเสี่ยงมีอาการป่วยเป็นไข้หวัดสูง โดยเฉพาะเด็กที่จำเป็นต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเนอสเซอปรี่
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการป่วยไข้เรื้อรัง หรือมีภาวการณ์สุขภาพที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมีลัษณะทิศทางที่จะป่วยเป็นหวัดได้ง่ายดายยิ่งกว่าปกติ
  • ระยะเวลา โดยส่วนมากแล้วไม่ว่าจะเด็ก หรือคนแก่ชอบเจ็บป่วยหวัดได้ง่ายในฤดูฝน และหรือฤดูหนาว
  • สูบบุหรี่ คนที่ดูดบุหรี่มีทิศทางจะป่วยด้วยหวัดได้ง่าย รวมทั้งถ้าหากเป็นก็จะอาการรุนแรงกว่าปกติอีกด้วย
  • อยู่ในที่ที่ผู้คนคึกคกยัดเยียด สถานที่ที่มีคนคนเยอะ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดได้ง่าย
  • ผู้ที่จำต้องดูแลคนป่วยโรคไข้หวัด ซึ่งกลุ่มบุคคลพวกนี้จะต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้เจ็บป่วยทั้งยังน้ำลาย น้ำมูก หรือละอองน้ำมูก น้ำลาย จากลมหายใจของผู้ป่วย


แนวทางการรักษาโรคหวัด โดยทั่วไปแล้วคนเจ็บ (ผู้ใหญ่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แม้กระนั้นถ้าเกิดผู้ป่วยไปพบแพทย์ แพทย์จะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง เรื่องราวระบาดของโรค ฤดู รวมทั้งจากการตรวจร่างกาย เช่น ลักษณะของการมีไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมและก็แดง คอแดงเล็กน้อย ส่วนในเด็กบางทีอาจพบทอนซิลโต แต่ว่าไม่แดงมากมาย และไม่มีหนอง แต่ในผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการร้ายแรง ดังเช่นว่า ไข้สูง แพทย์อาจมีการตรวจเลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อแบคทีเรีย แล้วก็อาจมีการตรวจค้นหาอื่นๆเพิ่มอีกตามดุลยพินิจของหมอ เป็นต้นว่า การวิเคราะห์เลือดดูค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก ฯลฯ
         เนื่องจากว่าไข้หวัดมีต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัส ก็เลยไม่มียาที่ใช้รักษาโดยยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่ให้การรักษาไปตามอาการแค่นั้น ซึ่งการปรับแก้อาการที่เกิดขึ้นในพื้นฐานหมอจะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อทุเลาอาการก่อน เช่นพาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก และก็จะชี้แนะให้พักผ่อนให้เพียงพอ กินน้ำอุ่นเพื่อละลายเสลด การกินน้ำมากมายๆและก็การเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้
       โดยธรรมดายาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เนื่องด้วยไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง รวมทั้งเมื่ออาการดีขึ้นและจากนั้นก็สามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วๆไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้

  • ยาลดไข้ โดยธรรมดายาที่นิยมสำหรับลดไข้เป็นparacetamol สำหรับผู้ใหญ่ รับประทานยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด สามารถรับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ใช้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรจะใช้ติดต่อกันตรงเวลา 5 วัน เพราะว่าได้โอกาสกำเนิดพิษต่อตับ สำหรับเด็กควรมีการปรับปริมาณยาตามน้ำหนักตัว โดยเหตุนั้นควรจะไต่ถามข้อมูลอื่นๆจากหมอหรือเภสัชกร ยาอีกกรุ๊ปที่ได้รับความนิยมสำหรับในการใช้ลดไข้หมายถึงยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) อาทิเช่นแอสไพริน (aspirin), ibuprofen ซึ่งการใช้ยาในกลุ่มหลังนี้ได้ผลในการลดไข้ได้อย่างรวดเร็ว แต่มีข้อพึงระวังในการใช้สำหรับลดไข้ในกรณีของโรคไข้เลือดออก แม้กระนั้นในเด็กที่มีอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 18 ปี หน่วยงานอนามัยโลก (WHO) เสนอแนะว่าไม่ให้ใช้ยาแอสไพริน
  • ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก


ในกลุ่มของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ป คือยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบเส้นโลหิต ทำให้อาการคัดจมูกลดลง แบ่งเป็น

  • สำหรับกิน ยกตัวอย่างเช่น phenylephrine, pseudoephedrine (pseudoephedrine รับได้จากสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่มีตามร้านค้ายา)
  • สำหรับหยดหรือพ่นรูจมูก เช่น oxymetazoline ซึ่งก่อนใช้ต้องสั่งน้ำมูกออกก่อน


ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการหยุดยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดน้อยลง แต่จะเห็นผลน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กลุ่มเป็น

  • ยาลดน้ำมูกกรุ๊ปที่กระตุ้นให้เกิดอาการง่วงซึม ได้แก่ chlorpheniramine, brompheniramine, hydroxyzine, cyproheptadine ฯลฯ ยากลุ่มนี้จะลดจำนวนสารคัดเลือกหลั่งในระบบทางเท้าหายใจ เป็นต้นว่า น้ำมูก เสลด แต่ว่าจะก่อให้เกิดอาการง่วงซึมได้ เนื่องมาจากมีฤทธิ์กดระบบประสาท แม้กระนั้น ยาในกลุ่มนี้สามารถคุมอาการได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับยาในกรุ๊ปที่ไม่ทำให้ง่วงซึม ถ้าหากคนป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้ควรจะหลีกเลี่ยงการขับรถแล้วก็การทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักร แล้วก็อาจถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับในการพัก
  • ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ไม่นำไปสู่อาการง่วงซึม เช่น cetirizine, loratadine, desloratadine, fexofenadine ฯลฯ ซึ่งจุดเด่นของยาในกลุ่มนี้ก็คือ ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วงซึม หรืออาจมีอาการง่วงซึมได้บ้างบางส่วน โดยเหตุนี้จึงนิยมใช้ยาในกลุ่มนี้ในคนไข้โรคภูมิแพ้ด้วย
  • ยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ในกลุ่มของยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ก็สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่มเหมือนกัน คือ
  • ยาสำหรับอาการไอมีเสมหะ โดยต้นเหตุของอาการไอประเภทนี้ เนื่องจากมีเสมหะเป็นตัวกระตุ้นนำไปสู่การไอ โดยเหตุนี้จำต้องใช้ยารักษาที่สาเหตุซึ่งหมายถึง วิธีการทำให้เสมหะเหลวหรือขับออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยาละลายเสลด ดังเช่น acetylcysteine, carbocysteine, bromhexine, ambroxol เป็นต้น ยาขับเสลด เช่น glyceryl guaiacolate (guaifenesin) เป็นต้น ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้อาจส่งผลให้คนเจ็บมีลักษณะไอเยอะขึ้นเรื่อยๆในช่วงแรก เพื่อนำเสลดออกจากทางเท้าหายใจ แต่หลังจากนั้นอาการไอจะต่ำลงเป็นลำดับ
  • ยาสำหรับอาการไอที่ไม่มีเสลด หรือ ไอแห้ง ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่นำไปสู่การไอ ซึ่งการกดระบบประสาทนั้นอาจก่อให้ตัวผู้เจ็บป่วยง่วงซึมได้ แม้คนป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้จึงควรเลี่ยงการขับรถยนต์แล้วก็การทำงานที่เกี่ยวโยงกับเครื่องจักร ยาที่ออกฤทธิ์กดการไอยกตัวอย่างเช่น dextromethorphan, codeine, brown mixture เป็นต้น


ด้วยเหตุนั้นจึงต้องหาต้นเหตุของการไอ และก็ปรับแก้ให้ตรงจุด ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยใช้ยาแก้ไอผิดกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการไอที่เป็นอยู่ ดังเช่น ใช้ยากดการไอในกรณีที่การไอเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเสมหะ เว้นเสียแต่เสลดจะกีดกั้นทางเดินหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่สามารถที่จะขับเสมหะออกโดยการไอได้อีกด้วย

  • ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้พื้นฐาน (ในกรณีที่พบว่ามีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียแทรกซ้อน ดังเช่น จับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 4 ชั่วโมง
  • ยากลุ่มแพนิสิลิน (penicillins) เป็นต้นว่า amoxicillin ซึ่งโครงสร้างของยาตัวนี้ทนต่อกรดในทางเดินของกิน สามารถรับประทานหลังรับประทานอาหารได้
  • ยากลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) ดังเช่น erythromycin, roxithromycin เพราะว่าโครงสร้างของยาในกลุ่มนี้โดยมากไม่ทนประมือดในทางเดินของกิน ควรต้องกินก่อนรับประทานอาหาร ยกเว้น erythromycin estolate รวมทั้ง erythromycin ethylsuccinate ที่มีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของยาแล้ว ทำให้สามารถกินหลังอาหารได้


แต่การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สม่ำเสมอ และไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด นอกเหนือจากคนไข้จะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการสนับสนุนให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา และก็อาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาอาการของผู้ป่วยในอนาคต
การติดต่อของโรคไข้หวัด โรคหวัดเป็นโรคติดต่อในระบบฟุตบาทหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสลดของคนป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด ด้านในระยะไม่เกิน 1 เมตร
นอกเหนือจากนั้น เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส พูดอีกนัยหนึ่ง เชื้อหวัดบางทีอาจติดที่มือของผู้เจ็บป่วย ข้าวของ เครื่องใช้ อาทิเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าสำหรับเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่นเด็ก หนังสือ โทรศัพท์ หรือสิ่งแวดล้อม ดังเช่นว่า ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้เจ็บป่วย สิ่งของเครื่องใช้หรือสิ่งแวดล้อมที่มัวหมองเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น และก็เมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น จนกระทั่งกลายเป็นไข้หวัดได้  ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนถึงออกอาการ) : โดยประมาณ 1-3 วัน โดยเฉลี่ย รวมทั้งมักมีลักษณะอาการร้ายแรงที่สุดในตอน 2-3 วันหลังเริ่มมีอาการ

การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยหวัด ข้อเสนอแนะการกระทำตัวของคนป่วยมีดังนี้


  • พักมากมายๆห้ามตรากตรำงานหนักหรือบริหารร่างกายมากจนเกินความจำเป็น
  • ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด และก็อย่าอาบน้ำเย็น
  • ดื่มน้ำมากๆเพื่อช่วยลดไข้ แล้วก็ทดแทนน้ำที่เสียไปเพราะเหตุว่าไข้สูง
  • ควรจะทานอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
  • ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรจะใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลาเป็นไข้สูง
  • ถ้าจับไข้สูง ให้พาราเซตามอล (คนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรหลบหลีกการใช้แอสไพริน เพราะว่าบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงได้) ควรจะให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาเป็นไข้สูง ถ้าหากมีไข้ต่ำๆ หรือไข้เพียงพอทนได้ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องกิน
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการน้ำมูกไหลมากจนกระทั่งสร้างความหงุดหงิด ให้ยาแก้แพ้ เป็นต้นว่า คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อทุเลาแล้วควรหยุดยา หรือในกรณีที่มีลักษณะไม่มาก ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ยานี้
  • ถ้าหากมีลักษณะไอ จิบน้ำอุ่นมากๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) หากไอมากมายลักษณะไอแห้งๆไม่มีเสมหะควร ให้ยาแก้ไอ
  • ถ้าหากมีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากยิ่งกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ขวบหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ขวบหายใจมากยิ่งกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 7 วัน ควรส่งโรงหมออย่างเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบหรือสภาวะร้ายแรงอื่นๆได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสลด เป็นต้น
  • ถ้าเกิดมีอาการเจ็บคอมาก ไข้สูงตลอดเวลา ซึม เบื่อข้าวมากมาย เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก ปวดหู หูอื้อ หรือสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือหวัดนก (มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของหวัดนกภายใน 14 วัน) หรือมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน ควรจะไปพบแพทย์อย่างเร็ว


การป้องกันตัวเองจากโรคหวัด รักษาสุขลักษณะฐานราก เพื่อให้มีสุขภาพทางร่างกายแข็งแรง ทานอาหารมีคุณประโยชน์ห้ากลุ่มทุกวี่วัน เพื่อให้มีสุขภาพกายแข็งแรง ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างต่ำ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำเป็นต้องจำกัดน้ำกิน พักผ่อนให้พอเพียงเสมอๆ ไม่ไปในที่แออัดคับแคบ อาทิเช่น ศูนย์การค้า ในตอนที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อจะต้องไปในบริเวณที่มีคนดอกไม้เพลิงลนลานหรือไปโรงพยาบาล  รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่มีอากาศเปลี่ยนไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มีอากาศเย็น  อย่าใกล้หรือนอนรวมกับคนเจ็บ ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรใส่หน้ากากอนามัยและก็หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่  อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (ยกตัวอย่างเช่น ผ้าสำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัว ถ้วยน้ำ โทรศัพท์ ของเล่นเด็ก ฯลฯ) ร่วมกับคนป่วย แล้วก็ควรจะเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคหวัด

  • ฟ้าทะลายโจร สารสำคัญสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์หมายถึงAndrographolide มีฤทธิ์รักษาอาการไอ เจ็บคอ คุ้มครองป้องกันและบรรเทาหวัด จากการศึกษาการใช้ฟ้าทะลายขโมยเพื่อรักษาลักษณะของการมีไข้แล้วก็เจ็บคอเปรียบเทียบกับยาลดไข้พาราเซตามอล พบว่ากรุ๊ปที่ได้รับฟ้าทะลายมิจฉาชีพขนาด 6 กรัมต่อวัน จะมีลักษณะไข้แล้วก็การเจ็บคอลดลงในวันที่ 3 ซึ่งดีมากกว่ากลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจร 3 กรัม/วัน หรือได้รับพาราเซตามอล  ในการศึกษาเรียนรู้เปรียบเทียบการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อคุ้มครองปกป้องหวัด ซึ่งทำในช่วงฤดูหนาว โดยให้เด็กนักเรียนกินยาเม็ดฟ้าทะลายขโมยแห้ง ขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน ภายหลังจาก 3 เดือนของการทดสอบพบว่าอุบัติการณ์การเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายขโมยต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยอัตราการเป็นหวัดในกรุ๊ปที่ได้รับฟ้าทะลายโจรพอๆกับจำนวนร้อยละ 20 ในขณะกลุ่มควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับจำนวนร้อยละ 62  บางทีอาจสรุปได้ว่าฟ้าทะลายขโมยได้ผลคุ้มครองปกป้องของยา เท่ากับร้อยละ 33


ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง 250 มิลลิกรัม รวมทั้ง 500 มก.
o             บรรเทาลักษณะการเจ็บคอ กินวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารรวมทั้งก่อนนอน
o             ทุเลาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารแล้วก็ก่อนนอน

  • กระเทียม มีฤทธิ์สำหรับในการทำลายเชื้อเชื้อไวรัส เชื้อรา ลดอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์เสมือนแอสไพริน จึงทำให้ไข้ลด และก็ยังคุ้มครองปกป้องการป่วยหวัดได้
  • ใบกระเพรา ใบกระเพราช่วยขับเสมหะ ทำให้จมูกเตียนโล่ง ทำลายเชื้อในทางเดินหายใจ
  • ชา ใบชามีสารโพลีฟีนนอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการตำหนิดเชื้อ ทำใหเยื้อบุโพรงจมูกเปียกชื้น หายใจสะดวก
  • ขิง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นเฉพาะบุคคล สามารถช่วยลดอาการหวัด แก้ไอ ทำให้หายใจเตียนโล่งขึ้น ขับเหงื่อ
  • กระเจี๊ยบ อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง เจอสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ลดการติเชื้อ
เอกสารอ้างอิง

  • รับมือโรคหวัดอย่างไรให้เหมาะสม.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาสรีรวิทยา.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 389-392.
  • ฟ้าทะลายโจร.(ฉบับประชาชน).หน่วยปริการฐานข้อมูลสมุนไพร.สำนักงานสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
  • ผศ.ภก.ธีรวิชญ์ อัชฌาศัย.ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือแพ้อากาศ เป็นอะไรกันแน่? .บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • ไข้หวัด-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้หวัด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่389.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน.2554
  • Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information Handbook, 20th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.;

บันทึกการเข้า