รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 649 ครั้ง)

แสงจันทร์5555

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 77
    • ดูรายละเอียด


โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella)
โรคอีสุกอีใส เป็นอย่างไร อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้ร่างกายเกิดผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใสๆทั่วร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และก็ยังแพร่กระจายได้อย่างเร็ว เป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก โดยปกติจะพบอัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มวัย 5-9 ปีรองลงมาเป็น 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และก็ 25-34 ปี ตามลำดับ ส่วนในผู้ที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปบางทีอาจเจอได้บ้าง
                 มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2552  มีคนไข้เป็นโรคอีสุกอีใสจำนวน 89,246 รายทั้งประเทศและเสียชีวิต 4 ราย รวมทั้งในรอบ 5 ปีให้หลังมีรายงานผู้เสียชีวิตปีละ 1-3 ราย เมื่อไตร่ตรองตามกลุ่มอายุพบว่ากลุ่มอายุ 5-9 ปี มีอัตราเจ็บป่วยสูงสุดเท่ากับ 578.95 ต่อราษฎร 100,000 คน รองลงมาคือกลุ่มอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 5 ปี, 10-14 ปีและก็กลุ่มอายุมากยิ่งกว่า 15 ปี โดยมีอัตราป่วยเท่ากับ 487.13, 338.45 และก็ 58.81 ตามลำดับจากข้อมูล 10 ปีย้อนไปพบว่าจำนวนคนเจ็บโรคอีสุกอีใสมีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้น แล้วก็ในปี พุทธศักราช 2557-2559 มีอัตราการป่วย 129.57 ต่อแสนสามัญชน 79.82 ต่อแสนพลเมือง แล้วก็ 66.57 ต่อแสนพลเมือง เป็นลำดับ
ต้นเหตุของโรคอีสุกอีใส เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า เชื้อไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) (VZV) หรือ  human herpes virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด ที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสกับแผลของคนเจ็บที่เป็นโรคโดยตรง หรือทางทะเลลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนในอากาศเข้าไป โดยเชื้อนี้จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใสในผู้ที่พึ่งจะติดเชื้อเป็นครั้งแรกและก็โรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิคุ้มกันทั้งชีวิต และก็คนเจ็บส่วนใหญ่จะไม่เป็นซ้ำอีก แต่เชื้อบางทีอาจหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และก็มีโอกาสเป็นงูสวัดได้ในคราวหลัง
อาการโรคอีสุกอีใส เด็กจะเป็นไข้ต่ำๆหมดแรงและไม่อยากอาหารบางส่วน ในผู้ใหญ่มักมีไข้สูง และก็ปวดเมื่อยตามตัวเหมือนไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน คนเจ็บจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมเพียงกันกับวันที่เริ่มเป็นไข้ หรือ ๑ วันหลังจากมีไข้ เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ถัดมาจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆอยู่ด้านใน และก็มีลักษณะอาการคัน ต่อมาจะแปลงเป็นหนอง จากนั้น ๒-๔ วัน ก็จะเป็นสะเก็ด ผื่นและตุ่มจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลุกลามไปตามหน้า ลำตัว แล้วก็แผ่นหลัง จะทยอยขึ้นสุดกำลัง ด้านใน ๔ วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในโพรงปาก ทำให้ปากยุ่ย ลิ้นยุ่ย เจ็บคอ บางรายบางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นและก็ตุ่มขึ้น ทำให้หลงผิดว่าเป็นเริมได้ ด้วยเหตุว่าผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆออกทีละระลอก (ชุด) ขึ้นไม่พร้อมทั่วร่างกาย ด้วยเหตุนั้นจะพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง รวมทั้งบางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ชาวบ้านก็เลยเรียกว่า อีสุกอีใส (มีทั้งตุ่มสุกตุ่มใส) แม้กระนั้นผู้ป่วยบางรายบางทีอาจเป็นเวลายาวนานกว่านั้นเป็น 2-3 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น (นอกเหนือจากที่จะมีการติดโรคแบคทีเรียแทรก กระทั่งแปลงเป็นตุ่มหนองและแปลงเป็นรอยแผล)
                เพราะว่าโรคอีสุกอีใสยังอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกขึ้นได้อีกเช่น การตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือติดโรคแบคทีเรียในกระแสเลือด ปอดอักเสบ แล้วก็ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
คนเจ็บที่มีการเสี่ยงที่จะมีอาการร้ายแรง อาทิเช่น หญิงท้อง ทารกแรกเกิด ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ อาทิเช่น ผู้เจ็บป่วยเอดส์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว คนป่วยเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ รวมทั้งคนรับประทานยากด ภูมิต้านทานต่างๆ
หญิงท้องที่เป็นโรคนี้ในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งท้องบางทีอาจท่าให้เด็กในท้องทุพพลภาพแต่ว่า กำเนิดได้แต่ว่าพบนานๆครั้ง(น้อยกว่าร้อยละ 2) แม้เป็นช่วงๆที่ครรภ์แม่อาจมีอาการรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อน อย่างเช่น ปอดอักเสบ ร่วมด้วย และก็ถ้าเกิดแม่เป็นโรคในตอนใกล้คลอด (5 วันก่อนคลอดจนถึง 2 คราวหลังคลอด) ทารกแรกเกิดอาจรับเชื้ออีสุกอีใสและมีลักษณะอาการรุนแรงถึงกับตายได้
เมื่อคนเจ็บหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไปหลบอยู่ที่ปมประสาท และท่าให้เกิดโรค งูสวัดได้เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
แนวทางการรักษาโรคอีสุกอีใส แพทย์จะวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสจากการดูรูปแบบของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วๆไปและก็อาการที่เกิดสังกัดคนป่วย ได้แก่ เป็นไข้ขึ้น ไม่อยากกินอาหาร ปวดศีรษะ แต่ว่าในบางกรณีที่บอกมิได้แน่ชัดว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือเปล่ารวมทั้งในคนไข้ที่เกิดผลกระทบเข้าแทรก หรือในกรณีจำเป็นจำเป็นต้องวินิจฉัยให้แจ้งชัด หมอจะทำการทดลองน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจค้นเชื้อจากตุ่มน้ำ เพราะเหตุว่าโรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสการดูแลรักษาก็เลยเป็นการรักษาแบบจุนเจือตามอาการ
                ซึ่งโรคนี้สามารถหายเองได้การรักษาด้วยการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสบางทีอาจท่าให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง แม้คนไข้ได้รับ ด้านใน 24 ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น ผู้ป่วยไม่จ่าเป็นจะต้องได้รับยาต้านทานไวรัสทุกราย แพทย์จะตรึกตรองให้ในรายที่มีความเสี่ยง จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเพียงแค่นั้น อาทิเช่น

  • ถ้าเกิดพบว่าตุ่มมีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียเข้าแทรก (เปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง ฝี แผลพุพอง) หมอจะให้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติมอีก ถ้าหากเป็นเพียงไม่กี่จุดก็อาจให้จำพวกทา แต่ว่าถ้าเกิดเป็นมากก็จะให้ชนิดกิน
  • ถ้ามีอาการสอดแทรกรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก ดังเช่นว่า ปอดอักเสบ (ไข้สูง หอบ) สมองอักเสบ (ไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้มากมาย ซึม ชัก ไม่ค่อยรู้ตัว) ตับอักเสบ (โรคตับเหลือง) หรือมีสภาวะเลือดออกง่ายก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ
  • ในรายที่มีสภาวะภูมิคุ้มกันผิดพลาด (ดังเช่นว่า เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิคุมกันบกพร่อง กินยาสตีรอยด์อยู่นานๆฯลฯ) หรือเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผื่นแพ้ประจำ โรคปอดเรื้อรัง สูดพ่นยาสตีรอยด์ (สำหรับผู้ที่เป็นหืด) หรือรับประทานยาแอสไพรินอยู่ เว้นแต่ให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์บางทีอาจให้ยาต้านทานเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) เพื่อทำลายเชื้ออีสุกอีใส ป้องกันไม่ให้โรคแผ่ขยายรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น ควรให้ยานี้รักษาด้านใน 1 วัน หลังออกอาการจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าให้พักหลังๆของโรค


ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคอีสุกอีใส เนื่องมาจากโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่มีการติดต่อจากเชื้อไวรัสโดยการสัมผัสตุ่มหรือแผลของผู้เจ็บป่วย รวมถึงติดต่อผ่านทางสารคัดเลือกหลั่งของผู้ป่วย ทั้งยังการสัมผัสหรือการหายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป ด้วยเหตุนั้นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสเป็นการคลุกคลีกับคนไข้ การสัมผัสผู้เจ็บป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยโดยไม่ได้มีการป้องกันตนเองที่ดี รวมทั้งการมิได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคอีสุกอีใสกระทั่งครบ ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งที่มีความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคอีสุกอีใสได้ด้วยเหมือนกัน
การติดต่อของโรคอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อได้อย่างรวดเร็วมาก โรคอีสุกอีใสมีระยะฟักตัวประมาณ 10 - 224 ชั่วโมง และก็ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อได้ในตอนโดยประมาณ 5 วันก่อนขึ้นผื่น ไปจนกระทั่งเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าวระยะแพร่ระบาดในโรคอีสุกอีใสก็เลยนานได้ถึง 7 - 10 วันหรือเป็นเวลายาวนานกว่านี้ในผู้ใหญ่ จึงเป็นสาเหตุให้เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว
                ซึ่งเชื้อไวรัสประเภทนี้จะมีอยู่ในตุ่มน้ำของคนที่เป็นอีสุกอีใส ในน้ำลายรวมทั้งเสมหะของคนที่เป็นอีสุกอีใสสำหรับเพื่อการติดต่อสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกข้าวของเครื่องใช้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้วยน้ำ ผ้า เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าที่มีไว้สำหรับห่ม ที่พักผ่อน ที่เลอะ ถูกตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใส หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ หรือฝอยละอองจากฟุตบาทหายใจของผู้เจ็บป่วยเข้าไป
ด้วยเหตุนี้อีสุกอีใสก็เลยเป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป สามารถเจอได้ตลอดทั้งปี แต่ว่าจะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในช่วงม.ค.ถึงม.ย.

การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคอีสุกอีใส

  • ถ้าเกิดมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเสมอๆดื่มน้ำมากๆห้ามอาบน้ำเย็น นอนพักให้มากมายๆและก็ให้ยาพาราเซตามอลทุเลาไข้ ไม่ควรให้ยาแอสไพรินลดไข้ ด้วยเหตุว่ายานี้ อาจทำให้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's syndrome) ซึ่งจะมีสภาวะสมองอักเสบร่วมกับตับอักเสบ จัดว่าเป็นโรคอันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่ง
  • ถ้าหากมีลักษณะคัน ให้ทาด้วยยาแก้ผื่นผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) หากคันมากให้รับประทานยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีนบรรเทา ผู้เจ็บป่วยควรจะตัดเล็บให้สั้น แล้วก็พากเพียรอย่าแกะหรือเกาตุ่มคัน อาจก่อให้มีการติดโรคเปลี่ยนเป็นตุ่มหนองและเป็นแผลเป็นได้
  • ถ้าปากเปื่อยยุ่ย ลิ้นยุ่ย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้ว บากบั่นรับประทานอาหารที่เป็นของเหลวหรือเป็นน้ำแทนของกินแข็ง
  • สำหรับของกิน ไม่มีของแสลงต่อโรคนี้ ให้ทานอาหารได้ตามปกติ โดยยิ่งไปกว่านั้นบำรุงด้วยของกินพวกโปรตีน (ยกตัวอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ) ให้มากเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย
  • ควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน พักอยู่บ้าน เพื่อปกป้องไม่ให้กระจายเชื้อให้ผู้อื่น ระยะแพร่เชื้อติดต่อให้คนอื่นหมายถึงตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมง ก่อนมีตุ่มขึ้นจนกระทั่ง 6 วัน หลังตุ่มขึ้น
  • ควรจะเฝ้าพิจารณาอาการเปลี่ยนต่างๆโดยธรรมดาอาการ จะค่อยดีขึ้นกว่าเดิมได้เองด้านใน 1-3 สัปดาห์ แต่ว่าถ้าเกิดพบว่ามีลักษณะอาการหายใจหอบ ซึม ชัก เดินเซ ตากระเหม็นตุก โรคตับเหลือง (ตาเหลือง) มีเลือดออก ปวดศีรษะมากมาย อ้วกมาก เจ็บทรวงอก หรือตุ่มแปลงเป็นหนอง ฝี หรือพุพอง ควรจะไปพบ หมอโดยด่วน
  • ผู้ป่วยควรพักและกินน้ำมากๆอย่างต่ำวันละ 8 แก้ว
  • ผู้ป่วยควรจะปลีกตัวออกไปอยู่ต่างหากกระทั่งพ้นระยะติดต่อ และแยกสิ่งของส่วนตัวต่างๆอาทิเช่น เสื้อผ้า ถ้วยน้ำ ช้อน จาน จานชาม ฯลฯ เพื่อหลบหลีกการแพร่ขยายของเชื้อโรค
  • สำหรับยาเขียวที่ทำจากสมุนไพร (อย่างเช่น ยาเขียวหอม ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖) ไม่นับว่าเป็นข้อบังคับหรือทำให้เกิดผลเสียต่อการดูแลรักษาโรคนี้ คนเจ็บสามารถใช้ร่วมกับการดูแลและรักษาปกติได้ แถมยาเขียวยังช่วยให้ดื่มน้ำได้มากขึ้นอีกด้วย
  • รักษาสุขลักษณะพื้นฐาน (สุขข้อกำหนดแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและก็ช่วยลดโอกาสสำหรับในการเป็นผลข้างเคียงสอดแทรกจากการตำหนิดเชื้อโรค
การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคอีสุกอีใส

  • ด้วยเหตุว่าโรคเปล่งปลั่งสามารถแพร่ได้ง่ายโดยทางการหายใจ จำเป็นจะต้องแยกคนไข้ออกมาจากเด็กเล็ก หญิงมีครรภ์ รวมทั้งผู้ที่ไม่เคยติดโรคมาก่อน
  • ควรจะให้คนป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้านเพื่อคุ้มครองป้องกันมิให้แพร่เชื้อให้คนอื่นๆ
  • ไม่สัมผัสหรือสนิทสนมกับคนป่วยโรคอีสุกอีใส ถ้าเกิดจำเป็นต้องมีการปกป้องตนเองอย่างยอดเยี่ยม อย่างเช่น สวมถุงมือ ใส่หน้ากากอนามัยและก็ควรรีบล้างมือหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วย เป็นต้น
  • ตอนนี้มีวัคซีนฉีดคุ้มครองป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งราคาค่อนข้างแพง (ราวๆเข็มละ 800-1200 บาท) ควรฉีดในเด็กอายุ 12-18 เดือน ฉีดเพียง 1 เข็ม จะคุ้มครองปกป้องโรคได้ตลอดไป ถ้าฉีดตอนโต แม้อายุต่ำกว่า 13 ปี ก็ฉีดเพียงเข็มเดียว แต่ว่าถ้าเกิดอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ควรฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 อาทิตย์ หลังฉีดวัคซีน ควรหลบหลีกการใช้ยาแอสไพรินนาน 6 อาทิตย์ ดังนี้เพื่อลดช่องทางเสี่ยงต่อโรคเรย์ซินโดรม วัคซีนชนิดนี้ห้ามฉีดในหญิงมีท้อง ผู้ที่มีภาวการณ์ภูมิต้านทานบกพร่อง ใช้ยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงมานาน บางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกร้ายแรงได้ สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) แม้ไม่แน่ใจว่าเคยเป็นโรคนี้หรือยัง ควรจะปรึกษาหมอ ตรวจตราว่ามีภูมิต้านทานต่อโรคนี้หรือยัง ถ้าหากยัง แพทย์บางทีอาจแนะนำให้วัคซีนปกป้องเพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายต่อลูกในท้องขณะมีครรภ์ และก็ข้างหลังฉีดยาจำพวกนี้ ควรคุมกำเนิดนาน 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย
  • ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน ขึ้นไป และฉีดกระตุ้นอีกรอบที่อายุ 4-6 ปีหรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิคุ้มกันจะขึ้นดียิ่งกว่าการฉีด 1 เข็ม
  • จากการเรียนในเด็กอายุ 1-12 ปี หลังได้รับวัคซีนคราวแรก จะมีภูมิคุ้มกันในระดับที่ปกป้องโรคได้ร้อยละ 85รวมทั้งมากขึ้นเป็นร้อยละ 99.6 หลังได้รับวัคซีนครั้งที่ 2
  • สำหรับคนที่สัมผัสสนิทสนมกับคนเจ็บโรคนี้ การฉีดวัคซีนอาจไม่ทันกาล หากจำเป็นจะต้องแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดเซรุ่ม ที่มีชื่อว่า varicella-zoster immune globulin (VZIG) เป็นการฉีดภูมิต้านทานเข้าไปโดยตรง ชอบฉีดให้กับผู้ที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ ผู้ที่มีสภาวะภูมิคุ้มกันผิดพลาด คนเจ็บโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว รวมทั้งเด็กแบเบาะที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสตอน 5 วันก่อนคลอดถึง 2 วันหลังคลอด
  • วัคซีนคุ้มครองโรคอีสุกอีใส ที่ใช้ในปัจจุบันทำจากเชื้ออีสุกอีใสที่มีชีวิตแล้วเอามาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ในประเทศไทยมี 3 ประเภทเป็นVarilrix ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 2,000 PFU, OKAVAX ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำกว่า 1,000 PFU, และ Varicella Vaccine-GCC ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่น้อยกว่า 1,400 PFU ทั้งยังเดี๋ยวนี้ยังมีการผลิตวัคซีนปกป้องโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปวัคซีนรวม เช่น วัคซีนรวมฝึกหัด-โรคเหือด-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) ซึ่งจะรวมอยู่ในเข็มเดียวกันทำให้สบาย และไม่จำต้องเจ็บตัวเพิ่มมากขึ้น
สมุนไพรที่ช่วยรักษา/ทุเลา ลักษณะโรคอีสุกอีใส

  • เสลดพังพอนตัวเมีย Clinacanthus nutans (Burm.f) มีอีกชื่อหนึ่งคือ พญายอ ซึ่งเสมหะพังพอนตัวเมียต่างจากเพศผู้เป็นตัวเมียไม่มีหนาม ใบเพศผู้มีสีเข้มกว่า ดอกตัวเมียมีสีแดง ดอกตัวผู้มีสีส้นสด กระบวนการให้เด็ดใบเสมหะพังพอนตัวเมียมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำหรือปั่นอย่างถี่ถ้วนผสมกับน้ำดินสอพอง ทาที่ตุ่มสุกใสเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการคัน และทำให้ตุ่มแผลแห้งเร็ว ลดอาการบวมแดงของตุ่มได้
  • ผักชี Coriandrum sativum การอาบน้ำต้มผักชีจะช่วยให้อีสุกอีใสหายไวขึ้น ซึ่งตามตำรายาแผนโบราณกล่าวว่า สรรพคุณของผักชีคือเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดง
  • สะเดา Azadiracta indica มีการเล่าเรียนพบว่าสารเกดูนิน (Gedunin) และก็ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบแล้วก็เมล็ดสะเดามีประสิทธิภาพสำหรับการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียแล้วก็เชื้อไวรัสสูง ด้วยเหตุดังกล่าว จึงสามารถทุเลาลักษณะโรคที่เกิดขึ้นมาจาก ไวรัส อย่างอีสุกอีใสได้
  • ใบมะยม Phyllanthus acidus ใช้ใบมะยมไม่อ่อนหรือแก่เกินความจำเป็น 2-3 กำมือ ใส่น้ำ 2-3 ลิตร ต้มให้เดือดประมาณ 20 นาที แล้วยกลงผสมน้ำเย็นให้อุ่นพอเพียงอาบได้ อาบวันละ 3 ครั้ง รุ่งเช้า ช่วงกลางวัน เย็น หลังอาบน้ำอาการจะเบาๆทุเลา
  • ย่านาง Tiliacora triandra เอาราก “ย่านาง” แบบสดราวขยุ้มมือต้มกับน้ำหลากยาจนเดือด ดื่มขณะอุ่นวันละครั้ง ทีละ 3 ส่วน 4 แก้ว ต้มดื่มเรื่อยต่อเนื่องกัน 3-5 วัน อาการที่เป็นจะดีขึ้นกว่าเดิม
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อีสุกอีใส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่296.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2546
  • อีสุกอีใส เป็นได้ก็หายได้.เกร็ดความรู้สู่ประชาชน.หน่วยข้อมูลคลังยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella)”. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 404-407.
  • Kuter B, Matthews H, Shinefield H, Black S, Dennehy P, Watson B, et al. Ten year follow-up of healthychildren who received one or two injections of varicellavaccine. Pediatr Infect Dis J. 2004; 23:132-7.
  • อ.พญ.เลลานี ไพฑูรย์พงษ์.สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.โรคอีสุกอีใส.สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย.
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC)..Prevention of Varicella Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP). MMVR 2007; 56:1-40.
  • อีสุกอีใส.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ http://www.disthai.com/
  • Heininger U, Seward JF. Varicella. Lancet. 2006; 368:1365-76.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • อ.พญ.จรัสศรี ฟี้ยาพรรณ,นางรษิกา ฤทธิ์เรืองเดช,พญ.พิชญา มณีประสพโชคและคณะ.โรคสุกใส(Chicken pox).ภาควิชาตจวิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สำนักระบาดวิทยา. โรคอีสุกอีใส. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค 2552. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. 2553; 55-6.
  • Krause PR, Klinman DM. Efficacy,immunogenicity,safety, and use of live attenuated chickenpox vaccine. J Pediatr. 1995; 127:518-25.
  • พญ.อารีย์ โอบอ้อมรัก.หนังสือเลี้ยงลูกด้วยสมุนไพร.หน้า 56.สำนักพิมพ์เอเชียบูรพา.



Tags : โรคอีสุกอีใส
บันทึกการเข้า

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด

โรคอีสุกอีใส วิธีรักษา สมุนไพรรักษา
บันทึกการเข้า