รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไมเกรน - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 505 ครั้ง)

BeerCH0212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคไมเกรน (Migraine)
โรคไมเกรนคืออะไร โรคไมเกรนมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ อาทิเช่น โรคปวดศีรษะไมเกรน , โรคปวดศรีษะฝ่ายเดียว , โรคลมตะกัง เป็นต้น  โรคไมเกรนเป็นโรคที่นำมาซึ่งลักษณะของการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะส่วนตัวที่สำคัญเป็น อาการปวดหัวนั้นชอบปวดด้านเดียว หรือเริ่มปวดฝ่ายเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และก็แต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้  แม้กระนั้นบางครั้งอาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมเพียงกันตั้งแต่ตอนแรก  ลักษณะของการมีอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆเป็นช่วงๆแม้กระนั้นก็มีบางครั้งบางคราวที่ปวดแบบทื่อๆส่วนใหญ่จะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมากมาย  โดยจะค่อยๆปวดมากเพิ่มขึ้นที่ละน้อยจนตราบเท่าปวดร้ายแรงสุดกำลังแล้วจึงค่อยๆทุเลาอาการปวดลงจนถึงหาย  ช่วงเวลาที่ปวดหัวก็ชอบมีลักษณะคลื่นไส้หรือคลื่นไส้ร่วมด้วย   ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่ว่าโดยมากจะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนเอามาก่อนหลายนาที  ได้แก่ สายตาขุ่นมัว หรือ แลเห็นแสงกระพริบๆลักษณะของการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายบางทีก็อาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนไปนอนจนกว่าตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
            อาการปวดหัวไมเกรนไม่เหมือนกับลักษณะของการปวดศีรษะปกติตรงที่ว่า ลักษณะของการปวดศีรษะปกติชอบปวดทั่วทั้งยังหัว จำนวนมากเป็นอาการปวดทื่อๆที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น ดังเช่นว่า อาเจียนร่วมด้วย  โดยมากจะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่ ผู้เจ็บป่วยโรคนี้โดยมากเป็นเพศหญิง โดยเฉลี่ยพบว่า หญิงราว 15% จะเป็นโรคนี้ ใน ในขณะที่ผู้ชายพบเป็นโรคนี้เพียงราวๆ 6% โดยมีอัตราการเป็นโรคไมเกรนสูงสุดทั้งในสตรีรวมทั้งในเพศชายอยู่ที่ช่วงอายุ 30 -40 ปี ทั้งนี้เกือบจะไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว
นอกจากนั้นผู้เจ็บป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน มักมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย แต่ว่าตอนนี้โรคนี้มียาซึ่งสามารถรักษาบรรเทาอาการ แล้วก็ยาที่คุ้มครองป้องกันอาการไม่ดีขึ้นของโรค มีการทำนองว่าใน 24 ชั่วโมง ทั้งโลกจะมีคนไข้ที่มีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรนประมาณ 3,000 คนต่อมวลชน 1 ล้านคน โดยเจออัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาเป็นคนอเมริกากึ่งกลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และก็แอฟริกา                                                                             
สาเหตุของโรคไมเกรน ต้นสายปลายเหตุที่จริงจริงของไมเกรนยังไม่เคยทราบเด่นชัด แต่ว่ามีการสันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงสำหรับเพื่อการทำงานของระบบประสาทรวมทั้งเส้นโลหิตในสมองเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า ซีโรโทนิน หรือ serotonin (ซึ่งพบว่ามีจำนวนลดน้อยลงในเวลาที่มีอาการกำเริบ) และสารเคมีในสมองกลุ่มอื่นๆเป็นต้นว่า โดปามีน  เป็นสาเหตุของการเกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ ๕ ที่ เลี้ยงบริเวณใบหน้าแล้วก็หัว และทำให้เส้นเลือดแดงทั้งในและนอกกะโหลกศีรษะมีการอักเสบ แล้วก็มีการหดรวมทั้งขยายตัวเปลี่ยนไปจากปกติ หลอดเลือดในหัวกะโหลกจะมีการหดตัวทำให้เปลือกสมองมีเลือดไปเลี้ยงลดน้อยลง ส่วนเส้นเลือดนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัว ทั้งปวงนี้ทำให้เกิดอาการแสดงต่างๆของโรคไมเกรน
เดี๋ยวนี้พบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าราวๆร้อยละ ๖๐-๗๐ ของคนที่เป็นไมเกรน   มีประวัติว่าพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้ด้วย ส่วนปัจจัยกำเริบเสิบสานของไมเกรนนั้น คนไข้มักบอกได้ว่า แต่ละครั้งที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะจะมีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นหรือเหตุกำเริบแจ่มชัด ซึ่งแต่ละคนอาจมีเหตุกำเริบที่นาๆประการ แล้วก็มักจะมีได้หลายๆอย่างด้านในการกำเริบครั้งเดียวเหตุกำเริบเสิบสานที่พบได้มากๆตัวอย่างเช่น

  • มีแสงสว่างแรงเข้าตา เป็นต้นว่า ออกกลางแจ้งจ้าๆแสงสว่างจ้า แสงกะพริบ แสงสีระยิบระยับในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์
  • การใช้สายตาเพ่งมองอะไรนานๆยกตัวอย่างเช่น หนังสือ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บผ้า
  • การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ ยกตัวอย่างเช่น ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก
  • การสูดดมกลิ่นฉุนๆได้แก่ กลิ่นสี กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสารเคมี ควันของบุหรี่
  • การดื่มกาแฟมากๆก็บางทีอาจกระตุ้นให้ปวดได้
  • ยานอนหลับ สุรา เบียร์สด เหล้าไวน์ ถั่วต่างๆกล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล ของกินทอดน้ำมัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม สารกันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
  • การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเหลือเกิน อย่างเช่น อากาศร้อน หรือหนาวจัด
  • การเลิกนอน (นอนน้อยเกินไป) หรือนอนมากเกินความจำเป็น การนอนตื่นสาย
  • การงดเว้นข้าว กินข้าวไม่ถูกเวลา หรือกินอิ่มจัด เชื่อว่าเกี่ยวกับสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้ปวดหัวได้ บางครั้งพบว่า คนไข้ไมเกรนเมื่อเป็นโรคโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) ลักษณะของการปวดจะหายไป
  • การนั่งรถยนต์ นั่งเรือ หรือนั่งเรือบิน
  • การเป็นไข้ เช่น ตัวร้อนจากหวัด ไข้หวัดใหญ่
  • การบริหารร่างกายจนกระทั่งเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
  • ร่างกายเหนื่อยล้า
  • การเช็ดกกระแทกแรงๆที่หัว (อาทิเช่น การใช้ศีรษะโหม่งฟุตบอลหรือตะกร้อ) ก็อาจส่งผลให้ปวดศีรษะโดยทันที
  • อิทธิพลของฮอร์โมนเพศสำหรับคนป่วยหญิง ส่งผลต่อการเกิดอาการไมเกรนอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น บางรายมีลักษณะอาการปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือมีประจำเดือน รวมทั้งมีไม่น้อยที่หายปวดไมเกรนขณะตั้งท้อง ๙ เดือน (มีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนสูง) บางรายรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโตรเจน) ทำให้ปวดบ่อยขึ้น เพียงพอหยุดกินยาก็ดีขึ้น
  • ความเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์ขุ่นมัว ตื่นเต้น ตกใจ
ซึ่งในสมัยก่อนมีการค้นพบทฤษฏีที่เกี่ยวกับการเกิดลักษณะของไมเกรนเป็น

  • แนวความคิดเกี่ยวกับหลอดเลือด (Vascular theory) ทฤษฎีนี้ถูกคิดขึ้นมาในช่วงปี พ.ศ. 2483 โดย Wolff (แพทย์ชาวอเมริกัน) ซึ่งชี้แจงว่า อาการนำก่อนปวดหัวประเภทออรา (มีอาการนำ) มีต้นเหตุจากเส้นเลือดในสมองมีการหดตัว แล้วก็เมื่อเส้นโลหิตที่หดตัวขยายตัวออก จะมีผลให้มีลักษณะปวดหัวตามมา โดยหลักฐานเกื้อหนุนเป็น พบหลอดเลือดนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัวและก็เต้นตุ้บๆแล้วก็การให้ยาช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ลักษณะของการปวดหัว ส่วนการให้ยาที่ขยายหลอดเลือด ทำให้อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น


แต่ แนวคิดนี้ไม่สามารถอธิบายอาการนำก่อนปวดศีรษะประเภทไม่มีออรา (ไม่มีอาการนำ) แล้วก็อาการร่วมที่เกิดระหว่างไมเกรนว่ากำเนิดได้ยังไง ยิ่งกว่านั้น ยาบางตัวซึ่งไม่เป็นผลสำหรับเพื่อการหดตัวของหลอดเลือด แต่ก็สามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ แล้วก็การตรวจภาพเส้นเลือดสมองก่อนกำเนิดอาการและระหว่างเกิดอาการ ก็ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้ ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันทฤษฎีนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่ยอบรับ

  • แนวความคิดเกี่ยวกับเซลล์ประสาท เส้นโลหิต และสารสื่อประสาทร่วมกัน (Neurovascu lar theory) Leao (หมอชาวบราซิล) เป็นผู้เสนอทฤษฎีนี้ในปี พุทธศักราช 2487 ซึ่งชี้แจงว่า เซลล์ประ สาทในสมองบางตัวมีการตื่นตัว และปล่อยสารสื่อประสาท (สารเคมีที่มีหน้าที่ส่งต่อสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท) กระตุ้นเซลล์ประสาทใกล้เคียงให้ตื่นตัว รวมทั้งส่งต่อสัญญาณไปเรื่อยการที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้นนี้ นำมาอธิบายการเกิดอาการนำก่อนจะมีการปวดศีรษะของคนป่วยได้ ส่วนลักษณะของการปวดหัวของคนไข้ชี้แจงได้จาก เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นไปเรื่อยจนกระทั่งไปกระ ตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทเฉพาะ เรียกว่า Trigerminal nucleus ซึ่งจะปลดปล่อยสารเคมีหลายชนิดที่ส่งผลนำไปสู่ลักษณะของการปวดเข้าสู่หลอดเลือด เว้นเสียแต่สารเคมีกลุ่มนี้ก่อเกิดอาการปวดแล้ว ยังมีผลทำให้ เส้นโลหิตขยายตัวอีกด้วย จากทฤษฎีเหล่านี้ มีผู้ค้นพบเพิ่มเติมอีกถัดไปอีกเพียบเลยในตอนนี้


อาการโรคไมเกรน เมื่อเกิดอาการปวดหัวด้านเดียว หลายๆท่านรู้เรื่องว่าเป็นโรคปวดไมเกรน ด้วยเหตุว่าพวกเราเคยเรียกโรคปวดไมเกรนกันว่า โรคปวดหัวข้างเดียว จึงทำให้หลงผิดคิดว่าถ้าหากมีอาการปวดศีรษะข้างเดียวหมายความว่าเป็นไมเกรน   ตามที่เป็นจริงลักษณะของการปวดไมเกรนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องปวดศีรษะเพียงฝ่ายเดียว บางทีอาจปวดสองข้างก็ได้ ในทางกลับกัน ลักษณะของการปวดหัวด้านเดียวบางทีอาจไม่ใช่ไมเกรนก็ได้   โดยอาการของโรคไมเกรนเป็นผลจากการขยายแล้วก็หดของหลอดเลือดที่กะโหลกศีรษะ โดยมักมีอาการนำ (aura) ก่อนลักษณะของการปวด แม้กระนั้นปัจจุบันนี้พบว่าบางทีอาจไม่มีอาการนำก็ได้  ซึ่งสามารถแบ่งอาการโรคไมเกรนเป็น 4 ขั้น อาทิเช่น ระยะอาการนำ (Premonitory Symptom และก็ Singn) ระยะอาการเตือน (Aura phase) ระยะปวดหัว (Headache) แล้วก็ระยะหายปวด    (Postdrome) ซึ่งผู้เจ็บป่วยบางทีอาจไม่แสดงอาการในทุกขั้นก็ได้

อาการและอาการแสดงของ ไมเกรน แบ่งได้ระยะต่างๆดังนี้

  • ระยะอาการนำ (Premonitory symptom รวมทั้ง singn) มีลักษณะอาการและอาการแสดงทางสมอง ซึ่งแสดงออกในรูปของความแตกต่างจากปกติของการทำงานของสมองแบบปกติ ความแตกต่างจากปกติของระบบทางเดินอาหาร เท่าเทียมของน้ำภายในร่างกาย และก็อาการทางกล้ามเนื้อ ซึ่งปรากฎการณ์นี้ พบราวๆ 40% ของคนเจ็บไมเกรน อาการกลุ่มนี้มักเอามาก่อนประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนกำเนิดอาการปวดหัวและก็อาจกำเนิดเร็วใน 1 ชั่วโมง หรือเกิดก่อนนานถึง 2 วัน อาการพวกนี้มีอีกทั้งอาการแสดงทางด้านจิตใจ อาการทางระบบประสาทและก็ความเคลื่อนไหวในระบบอื่นๆของร่างกาย อาทิเช่น สมาชิเสีย อารมณ์หงุดหงิด เก็บตัว ทำอะไรคล่องแคล่ว ทำอะไรซ้ำจากจำเจ คิดช้าทำช้า หรือทำอะไรงุ่มงาม บางครั้งบางคราวอารมณ์ร้าย ผู้เจ็บป่วยอาจมีหาวบ่อย ง่วงนอนมากมายทนต่อแสงสว่างเสียงไม่ค่อยได้ ผิวหนังอาจไวต่อความรู้สึกทนต่อการสัมผัสไม่ได้ นอนมาก เหน็ดเหนื่อยง่าย กล่าวไม่ชัด คิดคำบอกเล่าไม่ออก กล่าวน้องลง กล้ามเนื้อคออาจตึง มีลักษณะอาการอ่อนล้าทั่วๆไป รู้สึกหนาวจำเป็นต้องห่มผ้าที่มีไว้เพื่อห่ม หน้าซีด ขอบตาคล้ำ หนังตาหนักๆหรือตาลึก อาการทางเดินอาหารก็มีได้ทั้งยังอยากอาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นของที่มีรสหวาน เบื่อข้าว อุจจาระบ่อย ท้องผูก อาการท้องอืด เจ็บท้อง อาการอื่นๆยกตัวอย่างเช่น เยี่ยวบ่อยครั้ง กระหายน้ำ บวมก็เลยทำให้มั่นใจว่าไมเกรน น่าจะเป็นปรากฎการณ์ของการเปลื่ยนแปลงทางวิชาชีวเคมีในเซลล์ประสาทแล้วก็การเปลี่ยนแปลงทางเส้นเลือดในระยะปวดศีรษะเป็นปรากฎการณ์ที่ตามมาคราวหลัง
  • ระยะอาการเตือน (Aura phase) เป็นอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่ซึ่งเกิดก่อนลักษณะของการปวดหัวโดยประมาณ 30 นาที และโดยมากจะมีลักษณะอาการอยู่นาน 20-30 นาที โดยปกติจะหายเมื่อกำเนิดอาการปวดศีรษะขึ้นมาแล้ว ซึ่งอาการที่พบบ่อยเป็น อาการเปลี่ยนไปจากปกติทางทางแลเห็น เช่น การเห็นแสงสี เห็นแสงสว่างระยิบ มองเห็นแสงสว่างดาวกระพริบ แล้วก็อาจมีอาการชาบริเวณนิ้วมือ แขนและบริเวณใบหน้า และก็บางทีอาจพบภาวะบอกทุกข์ยากลำบากร่วมด้วย
  • ระยะปวดหัว (Headache) มักจะเริ่มเป็นช้าๆในเวลา 30-60 นาที ก่อนที่จะปวดศีรษะมากสุด แม้กระนั้นบางรายบางทีอาจสังเกตว่าปวดศีรษะหลังตื่นนอน ซึ่งทำให้ไม่รู้จักว่าตามที่เป็นจริงอาการปวดหัวเริ่มเป็นเมื่อใดรวมทั้งรวดเร็วเท่าใด บางรายความรุนแรงของลักษณะของการปวดศีรษะก็ดำเนินไปอย่างช้าๆกินเวลาครึ่งวันหรือทั้งวัน แล้วก็ชอบค่อยๆหายไป แม้กระนั้นในเด็กอาการพวกนี้จะหายอย่างเร็ว คราวหลังอ้วก ลักษณะปวดศีรษะนี้มีไม่ถึง 50% ที่ปวดแบบตุ๊บๆส่วนที่เหลือมักปวดทื่อๆหรือปวดเหมือนมีอะไรมารัด ลักษณะปวดที่สำคัญในไมเกรน คือ อาการปวดในตำแหน่งต่างๆจะย้ายที่ได้และย้ายข้างได้ ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นในการเป็นแต่ละครั้งหรือสำหรับในการปวดครั้งเดียวกัน และก็อาการปวดกลุ่มนี้จะเป็นมากเมื่อมีการเคลื่อนหัว อาการร่วมขณะปวดศีรษะมักเป็นอาการทางระบบประสาทและก็อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งในบางรายอาการเหล่านี้จะเกิดในระยะอาการนำซึ่งในแต่ละคนอาการจะแตกต่างกันและก็อาการในคนๆเดียวกันการปวดศีรษะแต่ละครั้งก็อาจต่างกันได้ด้วย อาการพวกนี้ดังเช่นว่า เบื่อข้าว อาเจียน คลื่นไส้ ท้องผูก ท้องเสีย รู้สึกเย็นปลายมือ ปลายตีน กลัวแสงสว่างกลัวเสียง ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัว ไม่สามารถทนต่อการเขย่ากระเทือน บางบุคคลไวต่อกลิ่น รำคาญ ปวดก้านคอ อ่อนแรง คัดจมูก เดินโซเซ หรือเหมือนจะเป็นลม ลักษณะของการปวดศีรษะจะหายไปวันหลังได้นอน 45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หรือตอนหลังดื่มเครื่องดื่มร้อนๆหรือ วันหลังอ้วกหรือได้ยาพารา
  • ระยะหายปวด (Postdromes) อาการที่สำคัญ คือ อ่อนเพลีย ซึ่งบางรายจะมีลักษณะอาการเหน็ดเหนื่อยของกล้ามเนื้อแล้วก็ปวดกล้าม มีลักษณะเคลิ้ม หรือมีอารมณ์ไม่แจ่มใส ขาดสมาธิ หงุดหงิด หาวมากมายเปลี่ยนไปจากปกติกินอาหารได้น้อย ฉี่มากมายหรืออยากกินน้ำ อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่นาน 1 ชั่วโมง ถึง 4 วัน โดยเฉลี่ยราว 2 วัน


เว้นเสียแต่โรคไมเกรนแล้ว โรคปวดศีรษะยังมีอีกหลายประเภท ตัวอย่างเช่น โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความเครียด (tension headache) โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (cluster headache) แล้วก็ โรคปวดหัวเนื่องจากมีแรงดันในสมองสูง(increase intracranial pressure) เป็นต้น ซึ่งโรคกลุ่มนี้นำไปสู่การปวดศีรษะเพียงแค่ข้างเดียวได้
ซึ่งโรคปวดหัวที่อาจส่งผลให้หลงผิดคิดว่าเป็นไมเกรนหมายถึงโรคปวดหัวที่เกิดจากความเครียด ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปโดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจและเครียดตลอดเวลา ต้องดำเนินการกับเครื่องคอมพิวเตอร์ติดต่อกันวันละหลายๆชั่วโมง ทำให้กล้ามรอบๆบ่าและก็แขนเกิดการเกร็งตึง ส่งผลให้เกิดลักษณะของการปวดตึงรอบๆท้ายทอย ร้าวขึ้นไปที่ขมับข้างที่มีการตึงของกล้ามเนื้อ หรือเกิดลักษณะของการปวดรอบหัวคล้ายถูกรัด ซึ่งถ้าเกิดมีลักษณะอาการไม่มากมาย เมื่อพัก นวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งและตึง อาการจะหายไปเอง แต่ในรายที่มีลักษณะอาการหนักบางทีอาจปวดตลอด อย่างไรก็ดี โรคปวดศีรษะที่เกิดจากความเครียดจะไม่กำเนิดร่วมกับอาการอาเจียน อาเจียน ตาฟาง หรือมองเห็นแสงสี
โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์ก็มีอาการปวดหัวข้างเดียวได้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าจะปวดร้ายแรง ปวดหลายครั้ง มักปวดรอบตาและก็ขมับ มีตาแดง น้ำตาไหล และคัดจมูกในด้านเดียวกัน จะไม่มีคลื่นใส้อ้วก ส่วนโรคปวดหัวที่เกิดเพราะเหตุว่ามีแรงดันในสมองสูงนั้น มีสาเหตุมาจากมีสิ่งผิดปกติในสมอง ตัวอย่างเช่น มีเนื้อสับสนอกในสมอง เลือดออกในสมอง น้ำคั่งในสมอง ฯลฯ ซึ่งต้องแก้ไขที่สาเหตุ
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะสรุปว่าเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน ควรจะไปพบหมอเพื่อวิเคราะห์ให้กระจ่างก่อน ไม่สมควรคิดเอาเองว่ามีลักษณะอาการปวดศีรษะข้างเดียว แสดงว่าเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนแน่นอนแล้วไปหาซื้อยาแก้ไมเกรนมารับประทาน เพราะว่า การกินยาไมเกรนไม่ถูกต้องมีอันตรายมาก
กรรมวิธีรักษาโรคไมเกรน กระบวนการวิเคราะห์ไมเกรนใช้หลักเกณฑ์ของ International Headche Society (IHS) ซึ่งแบ่งประเภทและชนิดออกเป็น 2 กรุ๊ป เป็นต้นว่า
ซึ่งปัจจุบันแพทย์ชอบวิเคราะห์จากอาการบอกของคนไข้ ตัวอย่างเช่น อาการปวดตุบๆที่ขมับ รวมทั้งลูบคลำได้เส้น (เส้นเลือด) ที่ขมับ เป็นๆหายๆเป็นบางครั้ง และมีเหตุกำเริบกระจ่าง โดยที่ตรวจร่างกายด้านอื่นๆ อย่างละเอียดแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดลักษณะของการปวดหัว
ด้วยเหตุนี้  การที่จะทราบดีว่าอาการปวดหัวนั้นมีเหตุมาจากโรคไมเกรนแพทย์จำต้องกระทำวินิจฉัยจากลักษณะจำเพาะของลักษณะของการปวดศีรษะ  อาการที่เกิดร่วมด้วย แล้วก็ผลการตรวจร่างกายระบบต่างๆรวมถึงแนวทางการทำงานของสมองที่เป็นปกติ  แม้กระนั้นอย่างไรก็ตาม โรคไมเกรนบางจำพวกก็อาจก่อให้สมองดำเนินงานไม่ปกติไปชั่วคราวในระหว่างที่กำเนิดอาการปวดขึ้นได้ แพทย์จึงควรกระทำวิเคราะห์แยกโรคให้ได้ โดยมีหลักสำหรับการวินิจฉัย จากลักษณะเจาะจงคือ

  • ลักษณะต่างๆของลักษณะของการปวด : ตำแหน่ง ความรุนแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
  • อาการที่เกิดร่วมด้วย เป็นต้นว่า อ้วก วิงเวียน
  • ความแตกต่างจากปกติของหลักการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่างๆที่อาจจะส่งผลให้กำเนิดลักษณะของการปวด ตัวอย่างเช่น ความคิดความอ่านช้า มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ต้นเหตุกระตุ้นอาการปวด อย่างเช่น ความตึงเครียด แสงสว่างจ้าๆอาหารบางจำพวก
  • สาเหตุทุเลาอาการปวด ได้แก่ การนอน การนวดหนังหัว ยา


ในบางรายแพทย์อาจชี้แนะการตรวจอื่นๆเพื่อจำกัดวงของปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดลักษณะของการปวด โดยเฉพาะกับคนเจ็บที่มีลักษณะอาการมากมายแตกต่างจากปกติ อาการซับซ้อน หรือมีลักษณะที่ร้ายแรงฉับพลัน เช่น

  • การวิเคราะห์เลือด แพทย์บางทีอาจให้มีการตรวจเลือดเนื่องจากอาจมีการติดเชื้อที่เส้นประสาทไขสันหลัง หรือสมอง และก็กำเนิดพิษในระบบร่างกายของคนป่วย
  • การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) หมอจะให้มีการตรวจวิธีนี้ถ้าเกิดสงสัยว่าคนเจ็บมีการติดโรค มีเลือดออกในสมอง
  • การใช้งานเครื่อง CT scan (Computerized Tomography) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา เป็นการใส่ความเปลี่ยนไปจากปกติต่างๆภายในร่างกาย โดยทำให้เห็นภาพของสมอง ให้หมอสามารถวินิจฉัยความไม่ปกติต่างๆได้มากขึ้น
  • การใช้งานเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเสมือนจริงของอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย โดยอาศัยวิธีการของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้หมอสามารถวินิจฉัยเนื้องอก การอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง มองอาการการเลือดออกในสมอง การติดเชื้อ และภาวการณ์อื่นๆในสมองและระบบประสาท


การดูแลรักษาคนไข้เป็นโรคไมเกรน    กรรมวิธีรักษาคนไข้ที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญยกตัวอย่างเช่น การบรรเทาอาการปวดศีรษะ   และการปกป้องไม่ให้กำเนิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดหัว  เมื่อตรวจพบว่าเป็นไมเกรน แพทย์จะเสนอแนะข้อพึงกระทำตัวต่างๆโดยเฉพาะ การหลีกเลี่ยงเหตุกำเริบ และจะให้ยารักษาดังต่อไปนี้

  • การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ดังเช่นว่า การหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้าต่างๆยกตัวอย่างเช่น การนอนน้อยเกินไป หรือการนอนมากเกินความจำเป็น ความเครียดการเช็ดกแดดมากจนเกินไป การได้รับประทานของกิน หรือเครื่องดื่มอะไรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น กาแฟ ชอคโกแลต ฯลฯ อาจส่งผลให้กำเนิดลักษณะของการปวดหัวได้ ส่วนใหญ่ต้นเหตุกระตุ้นกลุ่มนี้มักกำเนิดร่วมกันหลายๆอย่าง รวมทั้งบางครั้งเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอเป็นทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับคนที่ไม่สามารถเลี่ยงสาเหตุต่างๆเหล่านี้ได้
  • การใช้ยารักษา การใช้ยารักษาควรจะใช้กรณีที่มีความจำเป็นยาที่รักษาเพียงพอสรุปได้ดังนี้
ยาในการรักษาลักษณะของการปวดไมเกรนแบบกระทันหัน  ดังเช่น

  • ยาแก้อักเสบประเภทไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) อย่างเช่น ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen sodium, Paracetamol, Aspirin ฯลฯ
  • กลไกการออกฤทธิ์ : ยั้งเอมไซม์ cyclooxygenase (COX) นำมาซึ่งการทำให้ไม่สามารถสร้างสาร prostaglandins จึงลดอาการอักเสบได้
  • ข้อบ่งใช้: ทุเลาลักษณะของการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง
  • ขนาดยาที่ใช้
  • Ibuprofen รับประทานครั้งละ 200-600 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 3.2 กรัมต่อวัน
  • Naproxen sodium กินทีละ 275-550 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 1.65 กรัมต่อวัน
  • Paracetamol กินทีละ 500-1000 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน
  • Aspirin กินทีละ 650-1300 มก. ทุก 4 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน
  • อาการข้างๆ: แผลในกระเพาะอาหาร
  • Ergot alkaloid เป็นต้นว่า ergotamine+caffeine tablet (Cafergot?)
  • กลไกการออกฤทธิ์: nonselective 5-HT receptor agonists โดยผลที่อยากได้ คือ ทำให้หลอดเลือดที่สมองหดตัว
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาลักษณะของการปวดร้ายแรง โดยเป็นยา first line สำหรับรักษาลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรนกระทันหัน
  • ขนาดยาที่ใช้: Cafergot? (ergotamine 1 มก. แล้วก็ caffeine 100 มก.) รับประทานหนแรก 2 มก. ซ้ำได้ทุก 30 นาที ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 6 เม็ดต่อวันหรือ 10 เม็ดต่ออาทิตย์
  • อาการข้างๆ: อ้วก คลื่นไส้
  • Triptans อาทิเช่น Sumatriptan, Naratriptan
  • กลไกการออกฤทธิ์: selective 5-HT receptor agonists โดยการทำให้เส้นโลหิตที่สมองหดตัวแม้กระนั้นเนื่องด้วยเป็น selective ก็เลยมิได้ไปกระตุ้น receptor อื่นที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการอาเจียน อาเจียน เสมือนใน ergot alkaloid นำมาซึ่งการทำให้ไม่เกิดอาการอ้วก คลื่นไส้
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาลักษณะของการปวดรุนแรงและก็ฉับพลันรวมทั้งอาการที่ซนต่อยาแก้ปวดขนานอื่นๆโดยจัดเป็นยา first line สำหรับรักษาลักษณะของการปวดศีรษะ ไมเกรนรุนแรง
  • ปริมาณยาที่ใช้:
  • Sumatriptan รับประทานทีละ 25-100 มก. รวมทั้งสามารถกินซ้ำในชั่วโมงที่ 2 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน
  • Naratriptan กินทีละ 2.5 มก.และก็สามารถกินซ้ำในชั่วโมงที่ 4 ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 5 มก.ต่อวัน
  • อาการใกล้กัน: อาการแน่นหน้าอก, บริเวณใบหน้าร้อนแดง, อ้วกอาเจียน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไมเกรน  เป็น

  • กรรมพันธุ์ ประมาณ 70% ของคนเจ็บจะมีประวัติพี่น้องสายตรงเป็นโรคปวดหัวไมเกรน และถ้าหากมีเครือญาติที่เป็นโรคนี้โดยยิ่งไปกว่านั้นเป็นแบบมีลักษณะอาการนำประเภทออรา (Auraหมายถึงอาการที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก อย่างเช่น เห็นแสงวาบ มองเห็นจุดดำๆหรือรู้สึกซ่าในใบหน้าและมือ) โอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีประมาณ 4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วๆไป โดยส่วนมากยังไม่เคยรู้ว่ามีการถ่ายทอดผ่านยีน ตัวไหนชัดเจน แต่พบว่าบางทีอาจสามารถถ่าย ทอดผ่านทางจีนจากแม่สู่ลูกได้


อย่างไรก็ดี บางจำพวกของโรคปวดหัวไมเกรน ทราบตำแหน่งยีนที่แตกต่างจากปกติแจ่มกระจ่างเป็นโรคไมเกรนชนิดมีอัมพาตครึ่งด้านร่วมด้วย (Familial hemiplegic migraine) มีเหตุที่เกิดจากมีความผิด ปกติที่บางตำแหน่งบนหน่วยพันธุกรรม (โครโมโซม/chromosome) คู่ที่ 1 หรือ 19 ซึ่งถ่าย ทอดทางพันธุกรรมได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะปวดศีรษะแบบมีลักษณะอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งด้านเลว คราวร่วมด้วย

  • การเป็นโรคบางประเภท บุคคลที่มีโรคบางสิ่งบางอย่างจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนร่วมด้วย ดังเช่นว่า โรคลมชักบางชนิด โรคไขมันในเลือดสูงแบบที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคหืด คนที่มีผนังกัน ห้องหัวใจห้องบนรั่ว โรคเศร้าหมอง วิตก และก็โรคพันธุกรรมอีกหลายชนิด


การติดต่อของโรคไมเกรน  โรคไมเกรนเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากความเปลี่ยนไปจากปกติของระดับสารเคมีในสมอง รวมทั้งการสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานไม่ดีเหมือนปกติของหลอดเลือ
บันทึกการเข้า