รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไส้ติ่งอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 407 ครั้ง)

billcudror1122

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 100
    • ดูรายละเอียด


โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
โรคไส้ติ่งอักเสบคืออะไร  ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเสมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงรอบๆท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบและก็ยาว มีขนาดกว้างเพียงแต่ 5-8 มม. รวมทั้งมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในคนแก่) ข้างในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ผนังภายในของไส้ติ่งมีเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจัดกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อมีการอักเสบได้ง่าย โดยเนื้อเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากช่วงวัยรุ่น ก็เลยพบไส้ติ่งอักเสบกำเนิดได้บ่อยในวัย รุ่น ไส้ติ่งนับว่าเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ทำหน้าที่สำหรับเพื่อการย่อยรวมทั้งซับอาหาร เพราะเหตุว่าเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบจึงทำให้เนื้อผนังไส้ติ่งเน่าตายและก็เป็นรูทะลุในเวลาอันรวดเร็วทันใจได้
ไส้ติ่งอักเสบเป็น อาการบวมและก็ติดโรคของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันและก็อันตราย ซึ่งจะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างรีบ ด่วน เพราะเหตุว่าถ้าหากทิ้งเอาไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง รวมทั้งบางทีอาจเป็นสา เหตุร้ายแรงจนถึงติดโรคในกระแสโลหิตจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยการตายจำนวนมากของโรคไส้ติ่งอักเสบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบและก็สภาวะช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการชี้แจงเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พุทธศักราช 2429 เดี๋ยวนี้ได้รับการยินยอมรับว่ายอดเยี่ยมในสิ่งที่ทำให้เกิดลักษณะของการปวดท้องรุนแรงกระทันหันที่พบได้บ่อยที่สุดทั้งโลกและก็ โรคไส้ติ่งอักเสบยังพบเป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของโรคปวดท้อง ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยแนวทางผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยครั้งที่ค้นพบว่าคนป่วยปล่อยให้มีลักษณะอาการเจ็บท้องนานนับเป็นเวลาหลายวันและหลังจากนั้นก็ค่อยมาโรงพยาบาล  ซึ่งชอบพบว่าเป็นถึงกับขนาดไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนกระทั่งคนชรา หรือแม้กระทั่งหญิงมีท้อง แต่ว่าจะพบได้มากในช่วงอายุ 10-30 ปี (เจอได้น้อยในคนชรา เหตุเพราะไส้ติ่งตีบยุบมีเนื้อเยื่อหลงเหลือน้อย รวมทั้งในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 3 ปี เนื่องมาจากโคนไส้ติ่งยังค่อนข้างกว้าง) ในสตรีและก็ผู้ชายได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน รวมทั้งมีการคาดประมาณว่าในชั่วชีวิตของมนุษย์จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ราว 7% ในปีๆหนึ่งจะมีผู้เจ็บป่วยเป็นโรคนี้ราว 1 ใน 1,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ มีต้นเหตุจากมีสภาวะอุดกันของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกันนั้นส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้มูลเหตุกระจ่าง แม้กระนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งๆเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกันอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งจำนวนน้อยเกิดการเจริญขยายพันธุ์แล้วก็รุกล้ำเข้าไปในผนังไส้ติ่ง จนถึงเกิดการอักเสบตามมา แม้ปล่อยไว้เพียงแค่ไม่กี่วัน ฝาผนังไส้ติ่งก็เกิดการเน่าตายแล้วก็แตกทะลุได้ รวมทั้งต้นสายปลายเหตุที่พบได้รองลงมาคือ มีสาเหตุมาจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ฝาผนังไส้ติ่งที่ครึ้มตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ยิ่งกว่านั้นอาจเป็นเพราะเนื่องจากสิ่งแปลกปลอม (ยกตัวอย่างเช่น เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญคือ พยาธิไส้เดือน พยาธิด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางคราวก็อาจเกิดจากการต่อว่าดเชื้อที่ระบบทางเท้าหายใจส่วนบน ที่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย และต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งเกิดการปฏิกิริยาสนองตอบด้วยการขยายตัวขึ้นกระทั่งไปห้ามไส้ติ่ง แล้วก็ทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่กำเนิดอาการอักเสบสุดท้าย ในผู้เจ็บป่วยบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus)  ซึ่งชอบเจอได้ในคนเจ็บเอดส์ รวมทั้งบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่แพทย์ไม่เคยรู้ปัจจัยเลยก็ได้
อาการโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นเป็น คนไข้จะมีอาการเจ็บท้องที่มีลักษณะสม่ำเสมอรวมทั้งปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป หากไม่ได้รับการดูแลและรักษาก็ชอบปวดอยู่นานหลายวัน จนคนป่วยทนปวดไม่ไหวจะต้องพาส่งโรงหมอ ซึ่งลักษณะของไส้ติ่งอักเสบนั้นอาจแบ่งได้สองชนิด เป็นประเภทขวานผ่าซากและก็จำพวกไม่ไม่อ้อมค้อมดังนี้ จำพวกไม่อ้อมค้อมเดิมบางทีอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่เหมือนโรคกระเพาะ บางคนบางทีอาจปวดบิดเป็นพักๆรอบๆสะดือ คล้ายอาการปวดแบบท้องร่วง อาจเข้าส้วมหลายครั้ง แม้กระนั้นถ่ายไม่ออก (แต่บางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ถัดมาจะมีลักษณะอาการอาเจียน อ้วก ไม่อยากกินอาหารร่วมด้วย อาการปวดท้องมักจะไม่ทุเลา แม้ว่าจะกินยาพาราใดๆก็ตาม ถัดมาอีก 3-4 ชั่วโมง ลักษณะของการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา รวมทั้งจะเจ็บมากเพิ่มขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้ป่วยจะนอนนิ่งๆหากเป็นมากคนเจ็บจะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อรู้สึกสบายขึ้น  เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งชัดแจ้ง มีแนวทางตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้คนป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้หมัดตีเบาๆตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) คนป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนประเภทไม่ไม่อ้อมค้อมนั้นอาจจะเริ่มต้นจากมีอาการปวดเริ่มที่หน้าท้องด้านล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องเสีย และมีการดำเนินโรคที่นานค่อยๆเป็นค่อยๆไปกว่าประเภทไม่อ้อมค้อม แม้ไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจทำให้มีอาการฉี่บ่อยมาก ถ้าไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ด้านหลังลำไส้เล็กช่วงปลายอาจมีอาการอ้วกร้ายแรงได้ บางรายบางทีอาจรู้สึกปวดเบ่ง

ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีท้อง อาจมีอาการบางอย่างที่ต่างจากคนโดยปกติทั่วๆไป ดังนี้

  • ในกลุ่มคนไข้ที่เป็นเด็ก เด็กที่แก่ต่ำว่า 2 ปี ลงไป จะมีอาการที่เห็นได้ชัดคือ อาเจียนมากมาย อาการท้องอืด ถ้าใช้มือกดรอบๆพุงจะรู้สึกเจ็บ ส่วนเด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มแสดงอาการได้ ซึ่งอาการก็จะไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป
  • ในกรุ๊ปคนเจ็บที่เป็นสตรีมีท้อง เนื่องมาจากอวัยวะต่างๆที่ถูกดันให้สูงขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ไส้ติ่งของสตรีท้องจะเคลื่อนไปอยู่ที่รอบๆพุงส่วนบน ซึ่งถ้าเกิดมีลักษณะไส้ติ่งอักเสบจะก่อให้ปวดบริเวณพุงส่วนบนด้านขวาแทน นอกเหนือจากนี้อาจมีลักษณะของการปวดบีบที่ท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร หรืออาการแสบร้อนที่กึ่งกลางอก บางรายบางทีอาจพบอาการท้องเดิน หรือท้องผูกควบคู่กัน


ผู้ป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบถ้าหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาโดยการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมงข้างหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดแปลงเป็นเนื้อเน่าและตาย ในที่สุดผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยจะแตกทะลุ หนองและสิ่งสกปรกภายในลำไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้แปลงเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) และก็ถ้าเชื้อแบคทีเรียแผ่ขยายไปสู่กระแสเลือดก็จะมีการติดเชื้อในกระแสโลหิต ก่อให้เกิดอันตรายจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้
วิธีการรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่มีปัญหาสำหรับในการวินิจฉัยให้ที่ถูกต้องค่อนข้างมากมาย คนเจ็บบางรายได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ แต่เมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ คนเจ็บบางรายแม้ว่าจะไปพบหมอแต่ว่าก็ได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคอื่น กระทั่งไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการรักษาวิเคราะห์ที่ถูก เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายมักจะวินิจฉัยโรคนี้ได้หลังจากการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กตัวเล็กๆและก็คนป่วยสูงอายุพบว่าอาจกำเนิดปัญหาร้ายแรง หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคช้าเหตุเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ
                การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบ การวิเคราะห์โรคในผู้เจ็บป่วยจำนวนมากอาศัยลักษณะทางคลินิก (clinical menifestation) เป็นอาการและก็การตรวจพบเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการและการค้นทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆมีความสำคัญน้อย มีสาระเฉพาะในคนป่วยบางรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่แน่ชัดแค่นั้นโดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังนี้

  • การวินิจฉัยลักษณะของไส้ติ่งอักเสบ เป็น
  • ลักษณะของการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ช่วงแรกชอบปวดบริเวณสะดือ หรือบอก มิได้กระจ่างแจ้งว่าปวดที่รอบๆใดแต่ว่าระยะต่อมาอาการปวดจะกระจ่างที่ท้องน้อยด้านขวา (right lower quadrant-RLQ)
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจพบร่วมด้วยคือ


                          - คลื่นไส้ อาเจียน อาการนี้พบได้ในผู้ป่วยดูเหมือนจะทุกราย
                          - ไข้ ชอบกำเนิดหลังจากเริ่มลักษณะของการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
                          - ไม่อยากอาหาร
                          - ท้องร่วง เจออาการในคนป่วยบางราย มักจะเกิดหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ ชี้แจง ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum

  • ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยอาการของไส้อุดตันได้
  • การตรวจร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค
  • การกดเจ็บเฉพาะที่ (local tenderness) แทบทั้งสิ้นจะมี maximal tenderness ที่ RLQ และก็อาจมี guarding และ rebound tenderness ด้วย ในคนไข้ไส้ติ่งแตกทะลุ tenderness แล้วก็ guarding มักตรวจเจอบริเวณกว้างขึ้นหรือพบทั่วรอบๆท้องน้อยข้างล่างอีกทั้ง 2 ข้าง จากการมี pelvic peritonitis ในรายที่เป็นก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักคลำได้ก้อนที่ RLQ
  • การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) นับว่าเป็นประโยชน์มาก จะพบว่ากดเจ็บที่ทางขวาของ cul-de-sac แต่ไม่นิยมทำในเด็กตัวเล็กๆเพราะว่าแปลผลได้ตรากตรำ ในเด็กผู้หญิงอาจมีผลดีสำหรับการวินิจฉัยแยกโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจาก twisted ovarian cyst เนื่องจากว่าบางทีอาจคลำได้ก่อน ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะ pelvic inflammatory disease นอกเหนือจากที่จะได้เรื่องราวร่วมเพศแล้วการตรวจด้านใน (per vagina examination - PV) จะให้ผลดีมาก
  • การตรวจอื่นๆบางทีอาจให้ผลบวกสำหรับในการตรวจ ดังเช่น


                          - Rovsing sign
                          - Obturator sign
                          - Psoas sign

  • การตรวจทางห้องปฎิบัติการ ไม่ค่อยมีความจำเป็นมากนักในคนเจ็บส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวินิจฉัยได้อยู่แล้ว แต่จะทำเป็นรากฐานเพื่อการดูแลระหว่างการดูแลรักษาถัดไป ได้แก่
  • complete blood count พบได้มากว่า เม็ดเลือดขาวสูงยิ่งกว่าปกติรวมทั้งมี shift to the left
  • การตรวจปัสสาวะ ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนักในการวินิจฉัยแยกโรค แม้กระนั้นช่วยแยกโรคอื่น อาทิเช่น มีเม็ดเลือดแดงในเยี่ยวบางทีอาจจำเป็นต้องรำลึกถึงนิ่วในท่อไต
  • การตรวจพิเศษ ในรายที่ลักษณะทางคลินิกระบุชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบฉับพลัน การตรวจพิเศษเสริมเติมก็ไม่สำคัญ แต่ว่าในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลคลุมเครือนั้น การตรวจพิเศษอาจมีประโยชน์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรค อย่างเช่น
  • การถ่ายภาพรังสีของท้อง อาจพบเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของท้อง หรือ barium enema ไม่สำคัญในผู้เจ็บป่วยจำนวนมาก แม้กระนั้นอาจช่วยในการวินิจฉัยโรคในคนไข้บางรายที่มีปัญหาสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค


ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเพียงแค่นั้น เพราะว่าจะช่วยรักษาอาการแล้วก็ช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในตอนนี้เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ในทันที เหมาะสมกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่รุนแรงนัก ถ้าเกิดร้ายแรงถึงขั้นไส้ติ่งแตก ก็ต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะว่านอกเหนือจากต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจำเป็นต้องทำความสะอาดภายในท้อง แล้วก็ใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยแพทย์จะพินิจผ่าตัดรักษาดังนี้

  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลชี้ว่าน่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แนะนำให้การรักษาด้วยการ ผ่าตัดโดยเร่งด่วน หลังจากการเตรียมคนไข้ให้พร้อมรวมทั้งเหมาะสมต่อการให้ยาสลบและก็การผ่าตัด
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลคลุมเครือว่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แม้กระนั้นมีสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคนี้ ควรจะรับตัวไว้พินิจอาการในโรงพยาบาล เพื่อติดตามประเมินลักษณะทางคลินิกต่อเป็นระยะๆโดยงดน้ำและของกิน และไม่ให้ยาปฎิชีวนะ เมื่อลักษณะทางคลินิกชี้แจ้งชัดขึ้นว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน จะได้นำผู้ป่วยไปทำผ่าตัดรักษาอย่างทันการ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลบ่งชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบกะทันหัน ไม่แตกทะลุ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ยายาปฏิชีวนะอีกทั้งก่อนรวมทั้งหลังผ่าตัด แม้กระนั้นหมอผู้ดูแลอาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดก็ได้ เมื่อผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาต่อ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่อาจจะแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุแจ้งชัด นิยมให้ยายาปฏิชีวนะ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด หากผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่แตกทะลุ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อข้างหลังผ่าตัด แต่ว่าถ้าพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยาปฏิชีวนะต่อ
  • ในรายที่การตรวจร่างกายระบุว่ามี peritonitis ซึ่งเกิดขึ้นจากการแตกของไส้ติ่งอักเสบ ในเด็กมักมีลักษณะ generalized peritonitis ส่วนผู้ใหญ่จะเป็น pelvic peritonitis ก่อนนำคนเจ็บไปทำผ่าตัดควรที่จะใช้วิธีรักษาแบบเกื้อกูลให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการให้ยาสลบและก็การผ่าตัด ดังเช่นการให้ intravenous fluid ที่เหมาะสมให้พอเพียงซึ่งบางทีอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ดูว่าผู้ป่วยมีฉี่ออกดีแล้ว ให้ยาปฎิชีวนะที่สมควร ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายน้อยลงหากมีไข้สูง ถ้าเกิดท้องอืดมากควรจะใส่ nasogastric tube ต่อ suction บางทีอาจใช้เวลาสำหรับในการจัดแจงคนเจ็บ 3-4 ชั่วโมงก่อนนำคนไข้ไปผ่าตัด
  • กรณีที่ไส้ติ่งแตกทะลุระหว่างการผ่าตัด หรือไส้ติ่งไม่แตกทะลุ แต่รุนแรงถึงกับขนาด gangrenous appendicitis แนะนำให้ยาปฏิชีวนะระหว่างการผ่าตัด และก็ตลอด 1-3 วันแล้วแต่พยาธิภาวะ
  • ในรายที่มีลักษณะอาการมาหลายวันรวมทั้งการตรวจร่างกายพบว่ามีก้อนที่ RLQ ที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็น appendiceal phlegmon หรือ abscess น่าจะรักษาโดยวิธีช่วยเหลือโดยให้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างขวาง ถ้าผู้ป่วยสนองตอบดีต่อการรักษา ดังเช่น อาการปวดท้องดียิ่งขึ้น ก้อนเล็กลง ให้รักษาต่อโดยวิธีเกื้อกูล และก็นำคนป่วยไปทำ elective appendectomy ต่อจากนั้น 6 สัปดาห์ - 3 เดือน แต่ว่าถ้าเกิดการดูแลรักษาด้วยยาปฎิชีวนะดังกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการโต้ตอบที่ดีบางทีอาจจำเป็นจะต้องผ่าตัดเลย ถ้าเกิดพยาธิสภาพรุนแรงมาก บางทีอาจทำเพียงแค่ระบายหนอง แต่ถ้าหากพยาธิภาวะไม่รุนแรง รวมทั้งสามารถตัดไส้ติ่งออกได้เลย ก็เสนอแนะให้ทำ


กรุ๊ปอาการที่เสี่ยงต่อโรคไส้ติ่งอักเสบ มีอาการปวดท้องที่มีลักษณะไม่เหมือนลักษณะของการปวดโรคกระเพาะ ท้องเสีย หรือปวดเมนส์ ก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรรีบไปพบหมอ ถ้าเกิดมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ปวดร้ายแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • กดหรือเคาะเจ็บตรงบริเวณที่ปวด
  • อาเจียนบ่อยมาก กินอะไรก็ออกหมด
  • มีลักษณะอาการหน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง ใจสั่นหวิว ใจสั่น
  • จับไข้สูง หรือหนาวสั่น
  • เค้าหน้าซีดเซียวเหลือง
  • กินยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือกลับรุนแรงขึ้น
  • คนป่วยที่มีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย ถ้าพบว่ามีลักษณะอาการเจ็บท้องร้ายแรงกว่าปกติ ก็ห้ามรับประทานยาถ่าย หรือกระทำการสวนทวาร


การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งเจือปนต่างๆทำให้ไส้ติ่งมีการอักเสบติดโรคและก็แตกสุดท้าย ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับคนเจ็บแต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนใกล้กันอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ  เพราะโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน จะต้องไปพบหมอทันที ที่ห้องฉุกเฉินของโรงหมอเพื่อกระทำการผ่าตัดและไม่ควรจะรับประทานยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย เนื่องจากอาจจะส่งผลให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น

  • การกระทำตัวก่อนการผ่าตัดไส้ติ่ง คนไข้ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้


o    เมื่อมีลักษณะอาการของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบหมอคนไข้จะต้องงดอาหารและก็น้ำไว้ด้วยเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับในการผ่าตัดรีบด่วน
o   ในเรื่องที่มีลักษณะอาการเจ็บท้องแต่ว่าผู้ป่วยยังไม่ทราบสาเหตุ ห้ามรับประทานยาพารา แต่ว่าควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะว่ายาแก้ปวดจะไปบดบังลักษณะของการปวดทำให้หมอแยกโรคได้ทุกข์ยากลำบาก
o  งดการใช้ครีมและก็เครื่องสำอางทุกประเภท และก็ทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อหมอพิจารณาอาการเปลี่ยนไปจากปกติจากการขาดออกสิเจนได้

  • การปฏิบัติตัวข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง ข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง 24 ชั่วโมง คนเจ็บต้องทำลุกจากเตียง เพื่อลำไส้มีการขยับเขยื้อนเร็วขึ้น งดเว้นของกินและน้ำหลังผ่าตัดวันแรก ส่วนการดูแลแผลผ่าตัด ห้ามให้ผ้าปิดแผลเปียกน้ำ ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามเกา รวมทั้งเวลาไอหรือจามให้ใช้มือพยุงแผลไว้ด้วยเพื่อคุ้มครองแผลที่เย็บแยกออก หากถ้าเกิดแผลยังไม่แห้งดีอย่าเพิ่งจะอาบน้ำ แต่ให้ใช้วิธีการเช็ดตัวแทน นอกนั้นเป็นการรับประทานยาดังที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เน้นการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะจะช่วยให้แผลติดเร็วมากขึ้น นอกจากนั้นคือ การขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้พอเพียง


การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบ ในขณะนี้ยังไม่คราวการศึกษาค้นพบแนวทางปกป้องอาการไส้ติ่งอักเสบ เพราะไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการกะทันหันที่ไม่สามารถที่จะหามูลเหตุที่แจ่มชัดได้ แม้กระนั้นมีข้อสังเกตว่า พลเมืองที่นิยมรับประทานอาหารพวกผักผลไม้มากมาย (อาทิเช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากรุ๊ปที่กินผักและก็กินผลไม้น้อย (เช่น ชาวต่างประเทศ) จึงมีการชี้แนะให้อุตสาหะกินผักและผลไม้ให้มากๆทุกวี่วัน ซึ่งมีผลดีต่อการปกป้องคุ้มครองโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และก็ยังมั่นใจว่าอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นมีการศึกษาเล่าเรียนที่พบว่า ภาวะท้องผูกมีส่วนสมาคมกับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยไส้ติ่งอักเสบจะมีปริมาณครั้งสำหรับเพื่อการถ่ายอุจจาระต่ออาทิตย์น้อยกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และยังพบว่า คนไข้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่รวมทั้งโรคมะเร็งลำไส้ตรงชอบเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบนำมาก่อน ทั้งยังยังมีผลการศึกษาหลายงานที่พบว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนสำหรับในการนำไปสู่โรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/ทุเลาโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องแต่การรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องรักษาโดยใช้การผ่าตัดเท่านั้นแล้วก็ในขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าสมุนไพรประเภทไหนที่จะช่วยคุ้มครองปกป้องหรือ ทุเลา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมทั้งยังไม่มีรายงานการวิจัยชิ้นไหนที่รายงานว่าสมุนไพรจำพวกไหนสามารถช่วยคุ้มครองหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้
เอกสารอ้างอิง

  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป     หน้า 525-527.
  • Fitz RH (1886). "Perforating inflammation of the vermiform appendix with special reference to its early diagnosis and treatment". Am J Med Sci(92): 321–46.(อังกฤษ)
  • ไส้ติ่งอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • Adamis D, Roma-Giannikou E, Karamolegou K (2000). "Fiber intake and childhood appendicitis". Int J Food Sci Nutr51: 153–7. (อังกฤษ)
  • รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ไส้ติ่งอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่301.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2547
  • SCHWARTZ, Principle of Surgery , McGRAW HILL
  • Wangensteen OH, Bowers WF (1937). "Significance of the obstructive factor in the genesis of acute appendicitis". Arch Surg34: 496–526. (อังกฤษ)
  • โรคไส้ติ่งอักเสบ(APPENDICITIS).แนวทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางศัลยกรรม.ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.

บันทึกการเข้า