รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 484 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้เกิดผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่พบได้ทั่วไปในเด็กเล็ก แต่ว่าก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคหัดนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อระบบฟุตบาทหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกหัดนี้มีประวัติที่ไปที่มาดังนี้
         โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่คนไข้จะมีลักษณะอาการไข้และผื่น นอกนั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคฝึกฝน อาทิเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี เจอหลักฐานการร่ายงานครั้งแรกโดยแพทย์และก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed และใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์รวมทั้งให้ผลสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราวๆ 2 อาทิตย์ แล้วก็หลังติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิต้านทานตลอดชีพ
โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความหมายมากโรคหนึ่ง เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกส่งผลให้เสียชีวิตได้ และแต่ในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนปกป้องที่มีคุณภาพสูงเกือบ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527) โรคฝึกเป็นโรคที่พบเกิดได้ตลอดทั้งปี แต่ว่ามีอุบัติการณ์สูงในช่วงมกราคมถึงเดือน และช่องทางสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคในสตรีแล้วก็เพศชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้เสียชีวิตด้วยโรคฝึกฝนจากทั่วโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคฝึกหัดรวมทั้งสิ้น 5,207 คน รวมทั้ง 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นช่วงอายุที่พบคนป่วยโรคนี้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 รวมทั้ง 25.85 ของแต่ละปี
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคฝึกฝน โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อหุ้มล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 จำพวก ตัวอย่างเช่น H protein ปฏิบัติหน้าที่ให้ฝาผนังไวรัสติดตามกับฝาผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความหมายสำหรับเพื่อการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความสำคัญเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงไฟ สภาพการณ์ที่เป็นกรดและก็สารที่ละลายไขมันเช่นอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแต่ระยะเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และก็เชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคฝึก  ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มเป็นไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายบางทีอาจเจอตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากอาหารแล้วก็ท้องเดินร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นแล้วก็เจอ Koplik spots เป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญ มองเห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ โดยมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามด้านล่างซี่แรก (first molar) พบได้ทั่วไป 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นแล้วก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้หมายถึงไข้จะเบาๆสูงขึ้นจนสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้ารวมทั้งไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นรอบๆตอนล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้าถึงร้อยละ 25-50 รวมทั้งอาจสโมสรกับความร้ายแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดลง อาการอื่นๆจะ ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและก็แปลงเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆโดยมากมักพินิจไม่พบเพราะหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่เจ็บป่วยแบบ biphasicเป็นไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกถัดมาอุณหภูมิกลับกลายธรรมดาไม่มีไข้ประมาณ 1 วันแล้วจึงเริ่มจับไข้สูงอีกรอบและก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะดำรงอยู่อีกโดยประมาณ 2-3 วันหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับกลายซ้ำใหม่ควรจะตรวจค้นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะเนื่องจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบบ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด เจอได้ร้อยละ 30 ของผู้เจ็บป่วยโรคฝึก มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีและคนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีและก็ผู้ใหญ่ที่แก่กว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย มูลเหตุส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายรวมทั้งผลของการกดภูมิต้านทานจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้

  • หูส่วนกลางอักเสบ (otitis media) เจอราวๆปริมาณร้อยละ 10
  • ปอดบวม (pneumonia) ซึ่งกำเนิดได้ 2 ระยะ ช่วงแรกที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในพักหลัง ซึ่งเกิดจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียสอดแทรก จะเป็น bronchopneumonia
  • อุจจาระหล่น (diarrhea) มักเกิดในระยะแรกที่จับไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
  • สมองอักเสบ (encephalitis) เจอได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งกำเนิดในตอน 2-5 วัน ภายหลังจากผื่นออก มีลักษณะอาการไข้ คลื่นไส้ ปวดหัว ซึม ซึ่งหากกรวดน้ำไขสันหลัง จะเจอเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
  • Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) เจอได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป มีความประพฤติปฏิบัติผิดไป เชาวน์เสื่อมลง มีลักษณะชัก อาการทางประสาทจะเหลวแหลกลงบ่อยถึงโคมา และสิ้นใจสุดท้าย ถ้ากรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG เจอ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
ขั้นตอนการรักษาโรคฝึก
การวินิจฉัย โรคฝึกฝนใช้การวินิจฉัยจากแนวทางในการซักความเป็นมาและก็ตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนเจ็บจะจับไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และเจอผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การพบ  Koplik spots (จุดด้านในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นข้อสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ ในกรณีที่อาการรวมทั้งอาการแสดงไม่กระจ่างบางทีอาจพินิจส่งไปทำการตรวจทางห้องทดลองดังต่อไปนี้เพิ่มอีกเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์

  • การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของดินแดนติบอดีต่อเชื้อไวรัสฝึกหัด วิธีที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เพราะว่าทำง่าย ราคาไม่แพง มีความไวแล้วก็ความจำเพาะสูง โดยตรวจค้นแอนติบอดีจำพวก IgM ใน acute phase serum หรือตรวจค้นแดนว่ากล่าวบอดีประเภท IgG 2 ครั้งใน acute และ convalescent phase serum ห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อดูการเพิ่มขึ้นของระดับดินแดนตำหนิบอดี  (fourfold rising of  antibody)  เพื่อรับรองการวินิจฉัย โดยวิธีนี้จะสามารถตรวจพบภายหลังมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดประมาณ 14 คราวหน้าผื่นแล้วก็จะหายไปใน 1 เดือน ระยะเวลาที่แนะนำให้ตรวจเป็น 7 คราวหลังผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้


แนวทาง ELISA IgM ใช้แบบอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแค่ครั้งเดียวช่วง 4-30 วันหลังพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง คอยจนกระทั่งเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีวัสดุพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วนำไปวิเคราะห์ต่อไป

  • การตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสฝึกหัด โดยแนวทาง polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังนี้


ปิดฉลาก ชื่อ-สกุล แล้วก็วัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บตอน 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป
                การดูแลรักษา เพราะการตำหนิดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ เป็นต้นว่า เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในเรื่องที่มีภาวการณ์ขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชื้นแล้วก็ออกซิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย อาทิเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบตรึกตรองรักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่เหมาะสมฯลฯ
                นอกจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกได้และยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคหัดได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นแพทย์ก็เลยมักพิจารณาจะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

  • ผู้ป่วยอาการรุนแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศล้าหลัง หรือในรอบๆที่ยากไร้ของประเทศที่กำลังปรับปรุง
  • ผู้ป่วยเด็กอายุ 6-24 เดือน แล้วก็จะต้องนอนอยู่ในโรงหมอด้วยโรคฝึกฝนที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • คนไข้ที่มีสภาวะภูมิต้านทานต่อต้านโรคขาดตกบกพร่อง
  • คนเจ็บขาดสารอาหาร
  • ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
  • คนป่วยที่มีปัญหาเรื่องลำไส้ดูดซับไม่ดี (จึงมักขาดวิตามิน เอ)
  • ผู้ป่วยที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคฝึกสูง

ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคฝึกหัด

  • เด็กหรือคนแก่ที่มิได้รับการฉีดซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกฝนมีการเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคฝึกได้
  • สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนคึกคกเป็นจำนวนมากมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคฝึกฝน ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียน สถานที่รับเลี้ยงเด็กฯลฯ
  • คนที่มีภาวการณ์ขาดวิตามินเอ ชอบมีการเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากกว่าคนปกติ
  • ผู้ที่มีสภาวะความผิดแปลกของระบบภูมิต้านทาน
  • คนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบระเบียบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)


การติดต่อของโรคฝึกหัด โรคฝึกหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและก็เสลดของคนเจ็บ ติดต่อไปยังคนอื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อคนป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่จำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดเชื้อฝึกหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดหลังของคนป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอาทิเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หนังสือ ของเล่น เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่มัวหมองเชื้อ เชื้อก็จะติดมาพร้อมกับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณเชื้อไวรัสถูกขับออกมามากที่สุด ซึ่งภายในเวลา 7-14 คราวหลังสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกฝนจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายทำให้เกิดลักษณะของระบบทางเดินหายใจ ไข้และก็ผื่นในผู้เจ็บป่วยรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มิได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดได้โอกาสป่วยด้วยโรคฝึกหัดถ้าเกิดอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกหัด

  • กินน้ำสะอาดให้มากมายๆอย่างต่ำวันละ 6-8 แก้ว โดยอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
  • พักให้มากๆไม่ทำงานหนักหรือบริหารร่างกายมากจนเกินความจำเป็น
  • อาหารที่กินควรเป็นอาหารอ่อนๆตัวอย่างเช่น ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆยกตัวอย่างเช่น ชาร้อน น้ำขิง
  • พยายามทานอาหารให้ได้ตามธรรมดา โดยควรเป็นของกินที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญคือคนไข้ไม่จำเป็นที่ต้องงดเว้นของแสลง เนื่องจากว่าโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรเน้นการทานอาหารชนิดโปรตีนให้มากๆได้แก่ เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมถึงของกินที่มีวิตามินเอ มากๆเป็นต้นว่า ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับโค ฟักทอง อื่นๆอีกมากมาย
  • อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น และก็ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
  • งดเว้นการสูบยาสูบ หลบหลีกควันที่เกิดจากบุหรี่ แล้วก็งดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการไปในที่สาห้วยณที่มีคนจอแจ
  • กินยาและทำตามคำเสนอแนะของแพทย์อย่างเคร่งครัว
  • ไปพบหมอตามนัด
การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคฝึกหัด

  • ในช่วงที่มีการระบาดของโรคฝึกฝน ควรจะหลบหลีกการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนยัดเยียด แต่ว่าถ้าเกิดหลบหลีกไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือทามือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่บางทีอาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของผู้ป่วย และก็อย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าเกิดยังมิได้ล้างมือให้สะอาด
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับคนป่วย แล้วก็ควรหลบหลีกการสัมผัสมือกับผู้เจ็บป่วยโดยตรง ถ้าหากมิได้สวมถุงมือคุ้มครอง
  • อย่าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แต่ว่าจำเป็นต้องดูแลคนป่วยอย่างใกล้ชิด ควรจะสวมหน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เป็นประจำภายหลังสัมผัสกับคนป่วยหรือสิ่งของของผู้เจ็บป่วย


แต่ทั้งนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองโรคฝึกฝนได้หมายถึงฉีดยาป้องกัน ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคหัด 2 ครั้ง คราวแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน แล้วก็ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าชั้นเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองปกป้องได้สามโรคเป็นโรคฝึกฝน โรคคางทูม และก็โรคเหือด เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/หัด และก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จนตราบเท่ามีการลงทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯรเมื่อปี คริสต์ศักราช1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) หลังจากเริ่มใช้วัคซีน 2 ประเภทได้เพียงแต่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝนประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเพราะว่าพบว่านำมาซึ่งการก่อให้เกิด  atypical measles โดยเหตุนี้ในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นมาจากเชื้อสายประเภท Edmonston จำพวก B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แม้กระนั้นเจอปัญหาใกล้กันที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น จึงมีการปรับปรุงวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston ประเภทอื่นๆด้วยขั้นตอนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงลดลง ต่อมาในปี คริสต์ศักราช1971 มีการจดทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) แล้วก็ใช้อย่างแพร่หลายจนถึงเดี๋ยวนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดเช้าไปแนวทางสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งในปี พุทธศักราช 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จวบจนกระทั่งปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมคุ้มครองโรคฝึก-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนและเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนรู้ปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) เช่นกัน
สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึกหัด ตามตำรายาไทยนั้นบอกว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการของโรคฝึกหัดมีดังนี้

  • สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มจนถึงเหลือน้ำ 5 ลิตร ยกลงทิ้งไว้คอยให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย และต้องระมัดระวังอย่าอาบช่วงที่เม็ดฝึกหัดผุดขึ้นมาใหม่ๆแต่ให้อาบในตอนที่เม็ดหัดออกสุดกำลังแล้ว
  • ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้ฝึกหัดหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น และก็ต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารตอนเช้าและก็เย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
  • ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นเอามาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึก


 ยิ่งกว่านั้นในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พ.ศ.2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาและก็บาเทาลักษณะโรคฝึกหัดได้ โดยในโบราณกาล ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้ออกผื่นในแผนไทย มิได้มีวัตถุประสงค์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส แต่ว่าต้องการกระทุ้งพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน คือไม่เกิดผื่นด้านใน ด้วยเหตุนั้นจึงมีคนไม่ใช่น้อยที่รับประทานยาเขียวแล้วจะคิดว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม หมอแผนไทยจึงชี้แนะให้ใช้แนวทางกินและก็ทา โดยการกินจะช่วยกระแทกพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง หากจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านทานขบวนการออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่เป็นไข้เป็นผื่น ดังเช่น ฝึก อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น แล้วก็หายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีออกจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว แล้วก็ใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนใหญ่ มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนมากมีคุณประโยชน์ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น ซึ่งก็คือการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากกระทั่งต้องระบายทางผิวหนัง เป็นผลให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ดังเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น หัด อีสุกอีใส ฯลฯ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
  • ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
  • รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
  • ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
  • Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
  • Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
  • Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
  • Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
  • Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
  • แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
  • Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
  • Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
  • Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
  • American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
  • Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
  • Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
  • Krugman S. Further-attenuated measles vaccine: Characteristics and use. Rev Infectious Dis. 1983;5:477-81.
  • Bellini WJ, Helfand RF. The challenges and strategies for laboratory diagnosis of measles in an international setting. J Infect Dis. 2003;187:S283.
  • Perry RT, Halsey NA. The clinical significance of measles: a r
บันทึกการเข้า