รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 531 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ ถ้ามีอายุมากขึ้นเรื่อยๆก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (แม้มีเครือญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคนี้ 3 เท่า แล้วก็แม้มี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นผู้ที่สัมผัสกับยากำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช กินน้ำจากบ่อรวมทั้งอาศัยอยู่ในเขตกันดาร เพราะมีแถลงการณ์ว่าพบโรคนี้ได้มากในเกษตรกรที่ดื่มน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ อาทิเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่และมดลูก เพศหญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่ถ้าเกิดได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนชดเชยก็บางครั้งอาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนทางสมอง
  • ยิ่งไปกว่านี้ยังมีแถลงการณ์ว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันด้วยเหมือนกัน


  • กรรมวิธีรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปหากคนไข้ปรากฏอาการแจ่มชัด สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะของการมีอาการและก็การตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างระมัดระวัง ระยะต้นเริ่ม อาจวินิจฉัยยาก จำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์แยกโรคก่อนเสมอผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคพาร์คินสัน ควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้ชำนาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทหมอ


การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เพราะว่าการดูแลและรักษาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย และก็ความไม่ปกติที่หมอตรวจพบเป็นหลัก รวมทั้งลักษณะของการมีอาการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และก็ความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วกล่าวได้ว่าคนป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีอาการของโรคพาร์กินสันและมีลักษณะอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ต่างกันออกไปเท่านั้น ดังเช่นว่า การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตกาลแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แต่ว่าในตอนนี้เป็นที่รู้กันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้กำเนิดที่รอบๆตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งแล้วก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนั้นในขณะนี้การดูแลและรักษาโรคนี้ก็เลยหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง เป็น

  • รักษาโดยใช้ยา ซึ่งหากว่ายาจะไม่อาจจะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกหน่อชดเชยเซลล์เดิมได้ แม้กระนั้นก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับสิ่งที่มีความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในขณะนี้ คือ ยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากหมอ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดหมายของการรักษาก็คือ ให้คนป่วยกลับคืนสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสุขทั้งกายใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติกล้วยๆคือ


ก) ฝึกฝนการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า และแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยในการทรงตัวดี นอกเหนือจากนี้ควรหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินไป เวลาจะขึ้นเตียงต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนตะแคงข้างโดยใช้ศอกยันก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยเครือญาติต้องให้ความเข้าอกเข้าใจเบาๆฝึกหัดคนไข้ และควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด โดยมากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีในผู้เจ็บป่วยที่แก่น้อย แล้วก็มีลักษณะไม่มากเท่าไรนัก หรือในคนที่มีอาการแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานๆดังเช่นว่า อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนไหวแขน ขา มากผิดปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังเอาไว้ภายในร่างกาย พบว่าเกิดผลดี แต่ว่ารายจ่ายสูงมาก คนป่วยโรคพาร์กินสัน ต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคประเภทนี้ จำเป็นจะต้องรีบนำมาเจอแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคอันจะทำให้เกิดการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากเซลล์สมองมีการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติภารกิจควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีปริมาณน้อยลง จึงนำมาซึ่งอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่อาจจะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางจำพวกกรรมไปสู่บุตรหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน คนเจ็บและญาติสามารถดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอและก็ต่อเนื่อง ดังนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ
  • รับประทานยาควบคุมอาการตามที่หมอเสนอแนะให้ใช้
  • กินอาหารพวกที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆแล้วก็แนวทางการทำกิจวัตรที่ทำทุกๆวัน ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและก็ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งและก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งแขน เหมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวผ่านเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตัวเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกบอกโดยให้คนเจ็บเป็นฝ่ายกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้
  • รอบๆทางเท้าหรือในห้องสุขาจะต้องมีราวเกาะและไม่วางของเกะกะฟุตบาท
  • การแต่งตัว ควรจะใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย ดังเช่นว่า กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • วงศ์วาน ควรที่จะเอาใจใส่ดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ ดังเช่น การเดินหกล้ม ฯลฯ


สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของผู้ป่วยรวมทั้งญาติ ควรจะทำความเข้าใจและก็ทำความเข้าใจคนป่วยพาร์กินสัน  แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่เสนอแนะ เพราะมีโทษส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆที่น่ากลัวมีอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องตนเองจากโรคพาร์กินสัน เหตุเพราะต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่ทราบเด่นชัด ด้วยเหตุดังกล่าวการปกป้องคุ้มครองเต็มร้อยจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าบางการศึกษาเล่าเรียนพบว่า การกินของกินมีประโยชน์ 5 กลุ่มในจำนวนที่เหมาะสม โดยจำกัดของกินกลุ่มไขมันแล้วก็เนื้อแดง (เนื้อของสัตว์กินนม) จำกัดอาหารในกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม กินผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากๆเนื่องมาจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง บางทีอาจช่วยลดช่องทางเกิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากลักษณะโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าแห่งคณะแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรนาได้คิดแนวทางทดลองแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ แล้วก็ทำเสร็จภายในช่วงระยะเวลาเพียง ๑ นาที

แนวทางทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ

  • ให้ผู้เจ็บป่วยยิ้มให้ดู
  • ให้ชูแขนขึ้นทั้ง 2 ข้างและให้ค้างเอาไว้
  • สุดท้ายให้ผู้ป่วยบอกประโยคง่ายๆให้ฟังสักประโยค


นักค้นคว้าทดสอบ ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน ต่อจากนั้นให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาพบเรื่องราวที่มีผู้เจ็บป่วยกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดลองด้วยคำบัญชาข้างต้นกับตัวละคร ๓ ข้อ ขณะเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดสอบให้นักวิจัยทราบ โดยผู้ทำการวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนป่วยออกจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าเมื่อยล้า (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนล้าได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกึ่งกลางสถานที่สำหรับทำงานเปลี่ยนไปจากปกติทางคำพูดได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นถูกต้องมากด้านในเหตุการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีการค้นคว้าพบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการหยุดยั้งเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการเป็นยารักษาคนเจ็บโรคสมองเสื่อม (Senile dementia), คนป่วยสูญเสียความทรงจำ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีสภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเสียการร่วมมือ (Ataxia) และโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (myasthenia gravis)


               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนเจ็บพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานค้นคว้า โดยเห็นผลในการรักษากระจ่างแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดีขึ้นในสภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในผู้ป่วยพาร์กินสัน เพราะเหตุว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา นำมาซึ่งความไม่ดีเหมือนปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อย่างเช่น การนอน ความไม่ปกติทางด้านอารมณ์และก็จิตใจ สภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าใจ ไม่สบายใจ เป็นต้น
                แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการเรียนรู้ในผู้เจ็บป่วยกรุ๊ปโรคดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างเป็นระบบ เสนอแนะหากพึงพอใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรมีตอนที่หยุดยาม้าง อย่างเช่น เสนอแนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนั้นข้อควรปฏิบัติตามเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับผิดพลาด หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง คนที่มีแนวโน้มความดันโลหิตต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลการศึกษาวิจัยพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% แล้วก็บางทีอาจพบมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa คนเดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าราวกับ Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะก่อให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดน้อยลง นอกจากนี้ยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาวิจัยทางสถานพยาบาลแล้วก็การเรียนรู้ในผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรต้องรอคอยให้มีการทำการค้นคว้าเพิ่ม รวมทั้งมีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยรับรองว่าไม่มีอันตรายก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ .โรคพาร์กินสัน.นิ
บันทึกการเข้า