รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 419 ครั้ง)

billcudror1122

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 100
    • ดูรายละเอียด


โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคพาร์กินสัน
  • อายุ ถ้าเกิดแก่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเยอะขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม โดยพบว่าผู้ป่วยโดยประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (หากมีเครือญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคนี้ 3 เท่า และก็ถ้ามี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นผู้ที่สัมผัสกับยากำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช กินน้ำจากบ่อรวมทั้งอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะมีรายงานว่าเจอโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่ดื่มน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่หรูหราฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เป็นต้นว่า ในหญิงที่ตัดรังไข่และก็มดลูก หญิงวัยทองก่อน ซึ่งคนพวกนี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่หากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางครั้งอาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่กระเทือนทางสมอง
  • นอกนั้นยังมีกล่าวว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเช่นกัน
  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปหากคนเจ็บปรากฏอาการชัดเจน สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะของการเกิดอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดลออ ระยะต้นเริ่ม อาจวินิจฉัยยาก จำเป็นจะต้องวิเคราะห์แยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์


การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เหตุเพราะการรักษาจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย และก็ความแตกต่างจากปกติที่หมอตรวจเจอเป็นหลัก แล้วก็ลักษณะอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำต้องได้รับการรักษาที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเพียงแค่นั้น ตัวอย่างเช่น การตรวจหาระดับพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แต่ว่าในขณะนี้เป็นที่รู้กันแน่ๆแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีจำนวนเซลล์ลดลง หรือผิดพลาดในหน้าที่สำหรับเพื่อการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงทำให้มีการเกิดอาการขยับเขยื้อนช้า เกร็งแล้วก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในขณะนี้การดูแลรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง เป็น

  • รักษาด้วยยา ซึ่งหากว่ายาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมาแตกออกตอบแทนเซลล์เดิมได้ แม้กระนั้นก็จะก่อให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับความจำเป็นของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในตอนนี้หมายถึงยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์จากหมอ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการรักษาก็คือ ให้คนเจ็บคืนกลับสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างดี มีความสุขทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ ซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่ายๆเป็น


ก) ฝึกฝนการเดินให้เบาๆก้าวขาแต่ว่าพอดี โดยการเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าตีน รวมทั้งแกว่งไกวแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรจะหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นจะต้องไม่ทำจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินความจำเป็น เวลาจะขึ้นเตียงจะต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกหัดการพูด โดยญาติจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องค่อยๆฝึกฝนคนป่วย แล้วก็ควรทำในสถานที่ที่สงบเงียบ

  • การผ่าตัด โดยมากจะได้ผลดีในคนป่วยที่แก่น้อย และมีลักษณะอาการไม่มากนัก หรือในผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นเวลานานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการขยับเขยื้อนแขน ขา มากไม่ปกติจากยา เดี๋ยวนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ภายในร่างกาย พบว่ามีผลดี แต่ค่าครองชีพสูงมากมาย คนป่วยโรคพาร์กินสัน จึงควรได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าเกิดท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคชนิดนี้ จำเป็นที่จะต้องรีบนำมาเจอแพทย์เพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะส่งผลให้เกิดการรักษาที่ถูกต้องและสมควรถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองเกิดการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนต่ำลง จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่ว่าสามารถถ่ายทอดทางประเภทบาปไปสู่ลูกหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน คนป่วยและก็เครือญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ต่อเนื่อง ดังนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เสมอๆ
  • กินยาควบคุมอาการดังที่หมอแนะนำให้ใช้
  • รับประทานอาหารประเภทที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกบริหารร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆแล้วก็แนวทางการทำงานประจำวัน ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งแล้วก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ เช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้เก๊ก หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวผ่านเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกกล่าวโดยให้คนเจ็บเป็นฝ่ายบอกก่อน หายใจลึกๆแล้วเปล่งเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งจิตใจไว้
  • รอบๆทางเท้าหรือในห้องน้ำควรจะมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเดิน
  • การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • วงศ์ญาติ ควรที่จะเอาใจใส่ดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด รอบคอบการเกิดอุบัติเหตุ อาทิเช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น


สิ่งสำคัญก็คือ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยและก็พี่น้อง ควรศึกษารวมทั้งทำความเข้าใจคนไข้พาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในเพศหญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากมีโทษนำมาซึ่งโรคอื่นๆที่น่าสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องตนเองจากโรคพาร์กินสัน เนื่องมาจากมูลเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยทราบแจ้งชัด ด้วยเหตุดังกล่าวการปกป้องคุ้มครองเต็มที่ก็เลยเป็นไปไม่ได้ แต่บางการศึกษาเล่าเรียนพบว่า การกินอาหารเป็นประโยชน์ 5 กลุ่มในจำนวนที่เหมาะสม โดยจำกัดอาหารกรุ๊ปไขมันและก็เนื้อแดง (เนื้อของสัตว์กินนม) จำกัดอาหารในกรุ๊ปสินค้าจากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเพราะเหตุว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง บางทีอาจช่วยลดจังหวะเกิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากลักษณะของโรคนี้ลงได้บ้าง นักวิจัยแห่งภาควิชาแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรทุ่งนาได้คิดแนวทางทดลองแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ และก็ทำเสร็จภายในช่วงเวลาเพียงแต่ ๑ นาที

วิธีทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ

  • ให้คนเจ็บยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้นทั้งยัง 2 ข้างแล้วก็ให้ค้างเอาไว้
  • ในที่สุดให้ผู้ป่วยบอกประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค


นักวิจัยทดสอบ ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน หลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องที่มีคนเจ็บกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดสอบด้วยคำบัญชาข้างต้นกับผู้แสดงทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้วิจัยทราบ โดยนักวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนป่วยออกจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามใบหน้าเมื่อยล้า (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และแยก  ประสาทกลางที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำกล่าวได้จำนวนร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าแม่นยำมากภายในเหตุการณ์ที่พยาบาลไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมาก ซึ่งการหยุดยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี acetyl cholinesterase เป็นเป้าหมายสำคัญของการเป็นยารักษาผู้เจ็บป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), ผู้ป่วยสูญเสียความจำ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ สภาวะกล้ามเสียการร่วมมือ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามเมื่อยล้า (myasthenia gravis)


               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาวิจัย โดยเห็นผลสำหรับในการรักษาแจ่มกระจ่างในด้านภาวการณ์รู้คิด     ความประพฤติโดยรวมแล้วก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวการณ์โรคสมองเสื่อมที่เจอในคนป่วยพาร์กินสัน เนื่องจากว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ก่อให้เกิดความไม่ดีเหมือนปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อาทิเช่น การนอน ความผิดปกติทางด้านอารมณ์แล้วก็จิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเซา วิตกกังวล เป็นต้น
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการเล่าเรียนในคนเจ็บกรุ๊ปโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอย่างเป็นระบบ แนะนำแม้พึงพอใจใช้บอระเพ็ด ควรใช้ในด้านเสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก แล้วก็ต้องมีช่วงที่หยุดยาบ้าง ดังเช่นว่า แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนี้ข้อควรไตร่ตรอง คือ ห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีสภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีแนวโน้มความดันโลหิตต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% รวมทั้งอาจเจอมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงในการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa ผู้เดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเหมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่จะต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะมีผลให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa น้อยลง นอกจากนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แต่ยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ทางสถานพยาบาลแล้วก็การเล่าเรียนในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ฉะนั้นจึงควรรอให้มีการทำการวิจัยเสริมเติม และก็มีผลการศึกษาเรียนรู้รับรองว่าไม่มีอันตรายก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.นพ.สุรเ
บันทึกการเข้า