โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) คืออะไร โรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกรวมทั้งภาษาละติน หมายความว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า ประเภทหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ประเภทเรื้อรัง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับเพื่อการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามข้างนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้ในการเคลื่อนไหวต่างๆได้แก่ กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง แล้วก็กล้ามเนื้อกระดูกซี่โครงที่ใช้สำหรับการหายใจ เกิดการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนไม่อาจจะดำเนินการหดตัวได้ตามธรรมดา หรืออีกแง่หนึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายปฏิบัติงานไม่ดีเหมือนปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามของตนเองก่อให้เกิดอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ด้วยเหตุว่าไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามหดตัวได้ โดยคนป่วยจะมีลักษณะหนังตาตก ยิ้มได้น้อยลง หายใจติดขัด มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้าเกิดขึ้นได้ในคนเจ็บทุกเพศทุกวัย ปัจจุบันนี้ ทั้งยังการดูแลและรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อบรรเทาอาการแค่นั้น
ทั้งนี้ โรคกล้ามอ่อนกำลัง MG ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนป่วย มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน และโรคกล้ามอ่อนกำลัง MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก โดยประมาณ 10 ราย ต่อมวลชน 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ทารกจนถึงผู้สูงวัย โดยเจอในสตรีมากยิ่งกว่าในเพศชายราว 3:2 เท่า ทั้งนี้พบโรคนี้ในเด็กได้ประมาณ 10%ของผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยซึ่งเกิดจากการเป็นโรคประเภทนี้ทั้งหมด ในคนแก่ผู้หญิง พบได้ทั่วไปโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แม้กระนั้นในผู้ใหญ่เพศชาย พบมากโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- ที่มาของโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) สำหรับในการเคลื่อนกล้ามเนื้อแต่ละมัด สมองจะต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท รวมทั้งจะมีการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทและก็กล้ามสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณรอบๆกล้ามแต่ละผูกเพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว คนป่วยโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่อาจจะส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามได้ เนื่องด้วยร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดกั้นและทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อไป ซึ่งเมื่อการถูกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงเซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้เกิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้ออย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานด้วยเหตุว่าถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามอ่อนกำลังนั้น มักมีต้นเหตุที่เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับการแพ้ภูเขามิตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาต้นเหตุของอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้ สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) แล้วก็การส่งสัญญาณประสาท ธรรมดาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แม้กระนั้นในผู้เจ็บป่วยกล้ามอ่อนแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกัดกันแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิว่ากล่าวลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามเนื้อแต่ละผูก ทำให้กล้ามไม่อาจจะหดตัวได้ ดังนี้ อวัยวะที่แพทย์มั่นใจว่าเป็นตัวก่อเกิดการสร้างสารภูมิคุ้มกันผิดปกติตัวนี้ คือ ต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวโยงกับการผลิตภูมิต้านทานต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) เป็นต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกัดกันการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติเตียนลโคลีน (Acetylcholine) จึงทำให้มีการเกิดอาการกล้ามอ่อนเพลียดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และก็จะเบาๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าผู้ป่วยกล้ามเนื้อเมื่อยล้าจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ดีเหมือนปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีภาวการณ์กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่มีเหตุที่เกิดจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอประมาณร้อยละ 10 ในคนไข้เฒ่า
- ลักษณะของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามอ่อนล้า (MG) คือจะมีลักษณะเหนื่อย เพลีย กล้ามเนื้ออ่อนล้า และก็จะอ่อนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อออกแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าอาการจะดียิ่งขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อพักการออกแรง
นอกจาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะสังกัดว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ โดยประมาณ 85% ของผู้ป่วยจะมีลักษณะกล้ามเหน็ดเหนื่อยในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG)เป็นอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่ช่วยชูเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา ก่อให้เกิดหนังตาตกแล้วก็เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ แล้วก็มักพบอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่น
บริเวณใบหน้า ถ้าหากกล้ามที่เกี่ยวโยงกับการแสดงออกบนบริเวณใบหน้าได้รับผลพวง จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ตัวอย่างเช่น ยิ้มได้ลดลง หรือแปลงเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะว่าไม่สามารถควบคุมกล้ามบนใบหน้าได้
การหายใจ ผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนล้าจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจติดขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือหลังจากการออกกำลังกาย
การพูด การบดแล้วก็การกลืน มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นเมื่อยล้า นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการไม่ดีเหมือนปกติ ดังเช่นว่า พูดเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดมิได้ กลืนลำบาก ไอ สำลักอาหาร บางครั้งบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การติดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนเพลียของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากกว่าที่ขา มีผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ได้แก่ เดินเตาะแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคอเมื่อยล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชูคอทุกข์ยากลำบาก เป็นสาเหตุของการเกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ
- สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) ในขณะนี้ยังไม่อาจจะอธิบายสาเหตุของความแตกต่างจากปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG) มักมีความเกี่ยวพันกับโรคของต่อมไทมัส โดย ราว 85%เจอกำเนิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสรุ่งโรจน์เกินปกติ (Thymus hyperplasia) รวมทั้งโดยประมาณ 10-15% กำเนิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)
นอกเหนือจากนี้ มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเมื่อยล้า (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดประเภทเซลล์ตัวเล็ก และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน อีกทั้งผู้ป่วยบางทีอาจพบความแปลกรวมทั้งโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากภูมิคุ้มกันตัวเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ อย่างเช่น โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (MG)จะสามารถได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิคุ้มกันตนเองประเภทอื่นๆ
- กระบวนการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG)
การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue แล้วก็fluctuation ของกล้ามรอบๆตาแขนขาและการพูดและก็กลืนอาหาร คนเจ็บจะมีลักษณะอาการเยอะขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง รวมทั้งอาการรุนแรงในช่วงเวลาที่ต่างกันโดยมีลักษณะอาการมากมายตอนเวลาบ่ายๆครั้งคราวคนไข้มาเจอแพทย์ตอนที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่พบความไม่ปกติ จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ รวมทั้งบางทีอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็น anxiety แต่ว่าการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้ง่ายๆในผู้เจ็บป่วยโดยมากเพราะมีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่กล่าวมาแล้ว การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่ๆรวมทั้งในรายที่อาการไม่ชัดแจ้งยกตัวอย่างเช่น
- การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นการให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ ให้ผู้ป่วยมีลักษณะอาการ
เมื่อยล้าได้เป็นต้นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนป่วยมีสภาวะหนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาทั้งยัง 2 ข้างการให้ผู้เจ็บป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนป่วยจะมีลักษณะอ่อนแรงขึ้นอย่างชัดเจนแล้วก็อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้คนไข้บอกหรืออ่านออกเสียงดังๆคนไข้จะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้ว
- Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของคนไข้นาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าหรือไม่คนไข้ MG จะให้ผลบวก
- Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวการณ์หนังตาตกอาการอ่อนล้าหรือเสียงแหบให้ผลบวกโดยประมาณร้อยละ90 เป็นคนป่วยจะมีลักษณะอาการอย่างชัดเจน ผู้ป่วยบางทีอาจกำเนิดลักษณะของการปวดท้องอย่างหนัก หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีแก้ไขคือฉีดยา atropine 0.6 มิลลิกรัมทางเส้นเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางท่านแนะนำ ให้ฉีดยาatropineก่อนที่จะทำการทดลอง
- การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อยนั้นจะมีปริมาณของแอนติบอดี้ที่ไปยั้งลักษณะการทำงานของกล้ามเนื้อมากเปลี่ยนไปจากปกติ ส่วนใหญ่จะตรวจพบแอนติบอดี้ประเภท Anti-MuSK
- การตรวจการชักนำประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 แนวทางเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองหลักการทำงานของผูกกล้ามเนื้อ โดยการต่อว่าดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่พบอาการเหน็ดเหนื่อย และส่งกระแสไฟปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อสำรวจความสามารถของเส้นประสาทสำหรับการส่งสัญญาณไปที่ผูกกล้าม และการตรวจด้วยไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเพื่อดูหลักการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)
การดูแลรักษา จุดหมายในการรักษาคนเจ็บ MG ของหมอเป็นการที่คนเจ็บหายจากอาการโดยไม่ต้องรับประทานยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มแนวทางการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การรักษาจะแบ่งคนไข้เป็น 2 กรุ๊ปซึ่งมีแนวทางการรักษาไม่เหมือนกัน
- ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์กล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors เป็นต้นว่า pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มก. ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหาร แล้วมองการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากดีขึ้นมากน้อยเท่าใด ส่งผลแทรกซ้อนจากยาหรือไม่ ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรเพิ่มยา prednisoloneขนาดราว 15-30มก.ต่อวันและร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งโดยมากคนไข้จะใช้ยาขนาดไม่สูงราวๆ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonและก็ prednisoloneเมื่ออาการดียิ่งขึ้นจนปกติระยะเวลาหนึ่งราว 3-6 เดือนเบาๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆโดยประมาณ 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนกระทั่งหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนเจ็บ MG ได้ผลดีสิ่งเดียวกันแต่ในวันที่คนไข้ไม่ได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้ถ้ากำเนิดกรณีดังที่กล่าวถึงแล้วอาจจำเป็นต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคนเจ็บบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็ต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
- คนป่วยที่มีภาวะกล้ามอ่อนล้าบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การรักษามียาmestinon,ยากดภูมิต้านทานรวมทั้งการผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังนี้
o คนไข้ทุกคนจะต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้วให้คะแนนการตอบสนองว่าดีไหม โดยการวัดช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 หลังกินยาและประเมินช่วงก่อนรับประทานยาเม็ดถัดไปเพื่อที่จะได้รับรู้ว่าขนาดของยาและความถี่ของการรับประทานยาเหมาะสมหรือเปล่าเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของคนไข้ เช่น อาการลืมตาตรากตรำ อาการอ่อนล้า บอกแล้วเสียงแหบควรปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4อาทิตย์ ปริมาณยาโดยมากราว 6-8 เม็ดต่อวัน ปริมาณยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรแนะนำ ให้ผ่าตัด thymectomy ปริมาณร้อยละ 90 ของผู้เจ็บป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีประมาณจำนวนร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแต่ปริมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการดูแลและรักษา
o การให้ยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมีข้อบ่งชี้ในกรณี
การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลเป็นราว 1 ปี
คนป่วยที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
ผู้เจ็บป่วยทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่ร้ายแรง
- การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
- การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
- กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
- ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
- กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
- มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
- เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
- มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
- กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
- รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
- การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
- สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
- รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
- นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
- สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/
- Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
- Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
- ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
- Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
- Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
- ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
- Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
- Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.
Tags : โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง