รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 529 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


โรคของกินเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นอย่างไร โรคของกินเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้อธิบายถึงลักษณะของการป่วยที่เกิดขึ้นมาจากการกินอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ต้นเหตุอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการแปดเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก ดังเช่นว่า ตะกั่ว ฯลฯ   นำมาซึ่งอาการอาเจียน อ้วก ท้องเดิน ปวดท้อง ซึ่งอาการส่วนมากมักไม่ร้ายแรง แต่ถ้าหากกำเนิดอาการร้ายแรงขึ้นอาจจะส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่กระทั่งก่อให้เกิดอันตรายได้ อาหารเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนวัยแก่ โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศเขตร้อน  โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในประเทศที่กำลังพัฒนา แม้กระนั้นเจอได้กระจายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว จังหวะการเกิดโรคในผู้หญิงและเพศชายเสมอกัน แม้กระนั้นบางทีอาจเจอในเด็กได้สูงยิ่งกว่าวัยอื่นๆเพราะแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญเป็นของกินในสถานศึกษา ทั้งนี้ในประเทศที่กำลังพัฒนาบางประเทศ มีรายงานเด็กกำเนิดอาหารเป็นพิษได้มากถึงโดยประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • สาเหตุของโรคของกินเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษโดยมากเป็นผลมาจากทานอาหาร รวมทั้ง/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่แปดเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไป คือ ไวรัส นอกจากที่เจอได้บ้างเป็นการปนเปื้อนปรสิต (Parasite) ดังเช่นว่า บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนของพิษ ที่พบมาก คือ จากเห็ดพิษ สารพิษแปดเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู รวมทั้งสารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายประเภทซึ่งสามารถปลดปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนในอาหารต่างๆอาทิเช่น น้ำ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล และก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อคนเรารับประทานอาหารที่แปดเปื้อนพิษดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะทำให้เกิดลักษณะของการปวดท้อง อ้วก ท้องเดิน  พิษหลายประเภททนต่อความร้อน ถึงแม้จะประกอบอาหารให้สุกแล้ว พิษก็ยังคงอยู่และนำไปสู่โรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นกับจำพวกของเชื้อโรค บางจำพวกมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางประเภท 8-16 ชั่วโมง บางจำพวก 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคของกินเป็นพิษที่มักพบในอาหารหมายถึง
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่พบได้ในดินและก็น้ำในสิ่งแวดล้อมทั่วๆไป ชนิดซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้เป็น

  • Proteolytic strain ประกอบด้วย type A ทั้งหมดทั้งปวง และเล็กน้อยของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยอาหารได้ และทำให้อาหารมีลักษณะถูกปนเปื้อน
  • Non-proteolytic strain มี type E ทั้งสิ้น รวมทั้งนิดหน่อยของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้อาหารมีลักษณะเปลี่ยน


เชื้อนี้เจริญวัยได้ดิบได้ดีในสถานการณ์แวดล้อมที่มีออกสิเจนน้อย จึงพบบ่อยในอาหารใส่ในภาชนะที่ปิดสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าใส่กระป๋องที่ผ่านขั้นตอนการผลิตผิดความถูกอนามัย เป็นต้นว่า หน่อไม้ปีบ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง และสินค้าเนื้อสัตว์แปรรูป พิษที่ผลิตมาจากเชื้อชนิดนี้กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตาพร่ามัว แลเห็นภาพซ้อน กล้ามอ่อนเพลีย และก็บางเวลารุนแรงจนกระทั่งอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวแล้วก็เสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ชอบเกลือเข้มข้นสูงสำหรับการเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) แตกต่างกัน 12 ประเภท แล้วก็มีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วเดี๋ยวนี้มี 60 ประเภท พบมากในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกเพียงพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการที่จะอยากออกสิเจน สร้างสปอร์ได้ มีพิษ 2 ชนิดคือ ชนิดที่ทนต่อความร้อนได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอ้วก และก็จำพวกที่ทนความร้อนมิได้ทำให้เกิดอาการ อุจจาระหล่นโดยมากพบเกี่ยวอาหาร (อย่างเช่น ข้าวผัดในร้านค้าแบบบริการตนเอง) ผักและก็ของกินและเนื้อที่เก็บรักษาผิดต้อง ณ.อุณหภูมิปกติภายหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายชนิดที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อมักจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในอาหารและก็สร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin จำนวนมากเป็นของกินที่ปรุงและสัมผัสกับมือของผู้ประกอบอาหาร และไม่ได้ทำการอุ่นอาหารด้วยอุณหภูมิที่สมควรก่อนที่จะกินอาหาร หรือแช่ตู้แช่เย็น เป็นต้นว่า ขนมจีน ขนมเอ แคลร์ เนื้อ เมื่ออาหารพวกนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิห้องหลายชั่วโมงต่อเนื่องกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวและสร้างพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการท้องร่วง ถ่ายมีมูก อ้วก คลื่นไส้ จับไข้ ด้านใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีสารพิษทำให้มีการเกิดอาการท้องร่วง  อี.โคไลมีสารพิษ 2 จำพวก เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่แล้วก็ถูกทำลายให้หมดไปด้วยวิธีการทำให้อาหารสุก แต่ว่าอีกชนิดหนึ่งที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า แล้วก็เป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน พิษทั้งสองชนิดส่งผลทำให้ท้องเดินด้วยเหมือนกัน ดังนั้นหากของกินปนเปื้อนพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนหรือไม่ ก็จะไม่มีวันทำลายสารพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะป้องกันได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) พบการแปดเปื้อนอีกทั้งในสินค้าอาหารสดและก็น้ำที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เนื่องจากเชื้อประเภทนี้สามารถกระจัดกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ ก่อให้เกิดอาการอาเจียน คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง วันหลังการทานอาหารภายใน 7 วัน
เชื้อไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) ประกอบด้วยไวรัสหลายประเภท ได้แก่ เชื้อไวรัสโนโร (Norovirus) ที่มักจะปนเปื้อนทั้งยังในสินค้าอาหารสด สัตว์น้ำชนิดมีเปลือก แล้วก็น้ำกินที่ไม่สะอาด แสดงอาการข้างใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ข้างใน 2-3 สัปดาห์

  • อาการของโรคอาหารเป็นพิษ ของกินเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีอาการคล้ายๆกัน คือ ปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นช่วงๆอาเจียน (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำบ่อย บางรายอาจมีไข้และอ่อนเพลียร่วมด้วย โดยปกติ 80 – 90 % ของโรคของกินเป็นพิษชอบไม่รุนแรง อาการต่างๆมักจะหายได้เองภายใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางจำพวกอาจนานถึงสัปดาห์ ในรายที่เป็นร้ายแรง บางทีอาจอาเจียนรวมทั้งท้องเดินรุนแรง จนร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรงได้  บางทีอาจพบว่า ผู้ที่ทานอาหารร่วมกันกับผู้เจ็บป่วย (เป็นต้นว่า งานสังสรรค์ คนในบ้านที่รับประทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีลักษณะลักษณะเดียวกันกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นกับประเภท และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งเจอกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงข้างหลังทานอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนถึงเป็นวัน หรือ อาทิตย์ หรือ เป็นเดือน (ดังเช่น ในเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยปกติ มักพบเกิดอาการข้างใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยทั่วไปที่พบมาก จากโรคของกินเป็นพิษ อาทิเช่น ท้องร่วง บางทีอาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เพราะเหตุว่าการบีบตัวของไส้ อ้วก อ้วก ในบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง บางทีอาจหนาวสั่น แต่บางเวลาเป็นไข้ต่ำได้  ปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย บางทีอาจปวดข้อ ขึ้นอยู่กับจำพวกของเชื้อหรือ สารพิษดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามตัว  อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้วด้วยเหมือนกัน  มีอาการของการสูญเสียน้ำในร่างกาย  เช่น อ่อนเพลีย  เมื่อยล้าง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  ฉี่บ่อยครั้ง

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคของกินเป็นพิษ
  • มีพฤติกรรมการดูแลรักษาสุขอนามัยไม่ถูกจำเป็นต้อง ดังเช่นว่า ก่อนอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ไม่ถูกความถูกอนามัย อาทิเช่น บริโภคอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบบริโภคอาหารที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการกินอาหารที่พักแรมและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่สมควร
  • การจัดเก็บแล้วก็เตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด ตัวอย่างเช่นการเก็บเนื้อสัตว์และก็ผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างทำความสะอาดผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงเหลืออยู่ที่ผัก
  • การเก็บรักษาของกินที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอ ตัวอย่างเช่น อาหารพวกที่ทำมาจากการแกงกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารบรรจุกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้นว่า อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุบ รอยบุบ  อาหารบรรจุกระป๋องที่มีคราบสนิมบริเวณฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง เป็นต้น
  • ขั้นตอนการรักษาโรคของกินเป็นพิษ แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงของคนไข้เป็นหลัก เช่น ลักษณะของการปวดท้อง คลื่นไส้ ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีประวัติความเป็นมาว่าผู้ที่ทานอาหารร่วมกันบางบุคคลหรือหลายคน (ได้แก่ งานกินเลี้ยง คนภายในบ้าน) มีลักษณะท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะร้ายแรง เป็นไข้สูง หรือสงสัยว่ามีเหตุที่เกิดจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอีกอาทิเช่น  การตรวจเลือด ใช้ในเรื่องที่คนไข้มีลักษณะรุนแรงมากกว่าอาการอาเจียนและท้องเดิน หรือมีภาวการณ์การขาดน้ำและก็เกลือแร่ เพื่อตรวจค้นปริมาณเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดและรูปแบบการทำงานของไต หรือในกรณีมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการทำงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาชนิดของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์เมื่อคนเจ็บมีการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร ยกตัวอย่างเช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่ส่งผลให้เกิดอาการถ่ายเป็นเลือด


ดังนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาที่มาของของกินเป็นพิษยังทำได้ด้วยแนวทางการตรวจจำนวนแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือวิธีอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยรวมทั้งดุลยพินิจของหมอ เพื่อดำเนินการรักษาอย่างแม่นยำในลำดับต่อไป   
กรรมวิธีรักษาโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคองตามอาการ อย่างเช่น คุ้มครองสภาวะขาดน้ำรวมทั้งขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการดูแลและรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเมื่อท้องเดินมาก ยาแก้ปวด ยาบรรเทาอาการอ้วก อาเจียน และก็ยาลดไข้ นอกจากนี้ คือ การดูแลและรักษาตามมูลเหตุ อาทิเช่นพิเคราะห์ให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อมีเหตุมาจากติดเชื้อโรคแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต่อต้านสารพิษหากเป็นชนิดมียาต่อต้าน แต่ว่าคนไข้จำนวนมากมักมีอาการที่ได้ด้วยการดูแลตนเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุด คือ จำต้องพากเพียรอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเปล่ามากมายๆหรือจิบน้ำเป็นประจำเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากอาการท้องร่วงรวมทั้งคลื่นไส้มากจนเกินไป

  • การติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีไวรัสบางประเภทเพียงแค่นั้น ที่สามารถเป็นต้นเหตุของการติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษได้ ดังเช่น ไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราวๆ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วลักษณะของโรคจะปรากฏขึ้น
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคของกินเป็นพิษในคนแก่และเด็กโต
  • หากเจ็บท้องร้ายแรง ถ่ายท้องรุนแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากมายๆ) อ้วกรุนแรง (กระทั่งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้) เมื่อยืนขึ้นนั่งมีอาการหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้ง หรือมีภาวการณ์ขาดน้ำรุนแรง (ปากแห้ง คอแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จะต้องไปพบหมออย่างรวดเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ ประเภทสำเร็จรูปที่มีขายในตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มิลลิลิตร) ใส่น้ำตาล 30 มล. (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนรับประทานข้าวจำพวกสั้น 3 ช้อน) และก็เกลือป่น 2.5 มล. (พอๆกับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)บากบั่นดื่มเสมอๆครั้งละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนถึงอาเจียน) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยพิจารณาฉี่ให้ออกมากและก็ใส
  • ถ้าหากเป็นไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้กินอาหารอ่อน ดังเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดอาหารรสเผ็ดและย่อยยาก งดเว้นผักแล้วก็ผลไม้ กระทั่งอาการจะหายก็ดี
  • ห้ามกินยาเพื่อหยุดอุจจาระ เพราะเหตุว่าอาการท้องเสียจะช่วยขับเชื้อหรือพิษออกจากร่างกาย


ในขณะปวดท้อง หรือ อาเจียนอ้วก ไม่ควรรับประทานอาหาร หรือ ดื่มน้ำเพราะว่าอาการจะร้ายแรงขึ้น   กินน้ำสะอาดให้ได้วันละมากๆอย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำ  พักผ่อนให้มากมายๆรักษาสุขลักษณะรากฐาน เพื่อคุ้มครองปกป้องการแพร่ขยายเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญหมายถึงการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างหลังการขับ ถ่าย และก็ก่อนที่จะรับประทานอาหาร

  • ควรรีบไปพบแพทย์ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้                อ้วกมาก ถ่ายท้องมาก กินไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย กระทั่งมีภาวะขาดน้ำออกจะร้ายแรง                มีอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกผสมเลือดตามมา             มีอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หรือหายใจไม่สะดวก          อาการไม่ดีขึ้นกว่าเดิมด้านใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสารพิษ อย่างเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยเกิดจากอหิวาต์ ยกตัวอย่างเช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กเล็ก (อายุต่ำยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
  • หากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ถัดไป (ถ้าดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) รวมทั้งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่ม เมื่อมีลักษณะ ให้ทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (เช่น ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องเสียชนิดใดทั้งสิ้น
  • หากถ่ายท้องรุนแรง คลื่นไส้รุนแรง ดื่มนมหรือน้ำมิได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุ๋มมาก (ในเด็กตัวเล็กๆ) หายใจหอบแรง หรืออาการกำเริบใน ๒๔ ชั่วโมง ต้องไปพบแพทย์โดยเร็ว
  • การคุ้มครองตัวเองจากโรคอาการเป็นพิษ มาตรการป้องกัน การปกป้องและควบคุมโรคของกินเป็นพิษทุกต้นเหตุมีวิธีการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับในการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้
  • เลือกของกินที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี
  • ทำกับข้าวที่สุก
  • ควรทานอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • ระมัดระวังของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการแปดเปื้อน
  • อาหารที่ค้างมื้อจะต้องทำให้สุกใหม่ก่อนรับประทาน
  • แยกของกินดิบและก็อาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
  • ล้างมือก่อนสัมผัสอาหารไปสู่ปาก
  • ให้พิถีพิถันเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บอาหารให้ไม่เป็นอันตรายและก็ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำสะอาด
  • ไม่รับประทานกึ่งสุกกึ่งดิบระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะชนิดที่ไม่เคยรู้ รอบคอบการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด ไว้ใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้แช่เย็น ต้องเก็บแยกจากของกินอื่นๆทุกประเภท และจะต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียโดยมาก จะอยู่ในอาหารสดพวกนี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งเอาไว้ หรือ แช่น้ำ ด้วยเหตุว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ควรละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด เป็นต้นว่า ถั่วงอก สลัด แล้วก็อาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การรักษาของกินอย่างถูกต้อง ทำให้อาหารเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงแล้วก็นานเพียงพอเพื่อทำลาย toxin และก็การแช่แข็งเพื่อรักษาอาหารเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
  • หากของกินมีลักษณะไม่ปกติอย่างเช่น กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสไม่ดีเหมือนปกติ อาจมี fermentation เป็นความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารบรรจุกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกครั้ง
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/ทุเลาลักษณะของโรคอาหารเป็นพิษ

    ขิง  ในขิงนั้นจะมีประโยชน์สำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีคุณประโยชน์ช่วยทุเลาอาการปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในคุณแม่ที่ให้นมบุตรเจริญรวมทั้งไม่มีอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    นอกจากในกรณีที่ท้องร่วง การกินน้ำขิงจะช่วยให้การอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากพิษของเชื้อโรคน้อยลง และยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แม้กระนั้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาการท้องเสียมีความรุนแรงก็ควรรีบไปพบหมอ
    กระชาย  สรรพคุณ  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง  เหง้าแล้วก็ราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับฉี่ แก้เยี่ยวพิการ
    มังคุด  สรรพคุณ  รักษาโรคท้องเสียเรื้อรัง และก็โรคลำไส้  ยาแก้ท้องเดิน ท้องร่วงยาแก้บิด (ปวดเบ่งรวมทั้งมีมูก รวมทั้งอาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมกำเนิดธาตุ  ยาแก้อาการท้องเสีย ท้องเดิน  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำรับประทาน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูกและก็อาจมีเลือดด้วย)
    ใช้เปลือกผลแห้งโดยประมาณ ½ ผล (4 กรัม) ปิ้งไฟให้ไหม้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสราวครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
    เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 390.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2554
  • สุวรรณา เทพสุนทร.ความรู้เรื่องโรคอาหารเป็นพิษ.กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • อาหารเป็นพิษ,อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Weisman RS. Botulism. In: Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Lewin NA, et al (eds). Goldfrank’s Toxicologic Emergencies. 5th ed. Connecticut: Appleton&Lasge, 1994:937-948.
  • พญ.สลิล ธีระศิริ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่85.คอลัมน์กลไกการเกิดโรค.พฤษภาคม.2529
  • Lond BM. Food-borne illness. Lancet 1990;336:982-6. http://www.disthai.com/
  • Critchley ER, Michel JD. Human botulism. Br J Hosp Med 1990;93:290-2.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อาหารเป็นพิษ (Food poisoning).หาหมอ.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ(Food poisoning).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.หน้า490-492

บันทึกการเข้า