รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 444 ครั้ง)

billcudror1122

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 100
    • ดูรายละเอียด


โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อโรคที่จัดอยู่ในกรุ๊ปของโรคทางประสาทรวมทั้งกล้ามเนื้อ เป็นโรคติดเชื้อโรคแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง สามารถพบได้ในคนทุกวัย ส่วนมากคนเจ็บจะมีประวัติมีบาดแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลสกปรก หรือขาดการดูแลแผลอย่างถูกต้อง ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนผู้ที่เคยเป็นโรคนี้ครั้งหนึ่งและก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แม้กระนั้นตอนนี้โรคนี้สามารถคุ้มครองป้องกันได้ด้วยการฉีดยา

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกเป็น Teinein ซึ่งแสดงว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกเช่นนี้ เพราะว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวและก็แข็งเกร็งตัวของกล้ามเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นข้างหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นท่าทางที่เป็นต้นแบบเฉพาะโรค   คนป่วยจะมีลักษณะเด่นคืออาการกล้ามเนื้อเกร็ง โดยมากการเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามกราม แล้วก็แผ่ขยายไปยังกล้ามส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที แล้วก็เกิดขึ้นซ้ำๆตรงเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมถึงอาจมีอาการอื่นที่อาจเจอร่วม อย่างเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดหัว กลืนตรากตรำ ความดันเลือดสูง และก็หัวใจเต้นเร็ว  โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เจอได้ทั่วทั้งโลก แต่ว่าพบได้ทั่วไปหลายครั้งในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งมีดินรวมทั้งสารอินทรีย์อยู่มากในปี พุทธศักราช 2558 มีแถลงการณ์ว่ามีผู้ป่วยโรคบาดทะยักราว 209,000 คนรวมทั้งเสียชีวิตโดยประมาณ 59,000 คนทั้งโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่ยุคแพทย์กรีกชื่อฮิปโปโปเตมัสกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล ที่มาของโรคถูกศึกษาและทำการค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle และก็ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2467

  • ที่มาของโรคบาดทะยัก เกิดขึ้นจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีมึงรมบวก มีคุณลักษณะที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่ทนต่อความร้อนรวมทั้งยาฆ่าเชื้อหลายสิ่งหลายอย่างสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับรวมทั้งมีพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมลักษณะการทำงานของกล้าม ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดระยะเวลา เริ่มต้นกล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากมิได้โรคนี้ก็เลยมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) ผู้ป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ต่อไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วตัว รวมทั้งมีลักษณะชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินปนทรายและมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานเป็นปีๆแล้วก็เจริญรุ่งเรืองเจริญในที่ที่ไม่มีออกซิเจน โดยจะสร้างสปอร์ห่อหุ้มตนเอง มีคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในภาวะที่ไม่มีแสงสว่างได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเราเกิดบาดแผลที่แปดเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ ยกตัวอย่างเช่น สกปรกถูกดินทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ปากแผลแคบแต่ลึก ได้แก่ ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้เสียบแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เหมาะกับการก้าวหน้าของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปลดปล่อยพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท นำไปสู่ลักษณะโรคที่กล้ามทั่วร่างกาย
  • ลักษณะของโรคบาดทะยัก ภายหลังได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามบาดแผลจะแตกตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจัดกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความแตกต่างจากปกติสำหรับเพื่อการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะจากที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกำเนิดอาการเริ่มแรก คือ มีลักษณะอาการขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคราว 3-28 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่โดยประมาณ 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรุ๊ปเป็น
  • โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการมักจะเริ่มเมื่อเด็กอ่อนอายุราว 3-10 วัน อาการแรกที่จะพิจารณาได้คือ เด็กดูดนมทุกข์ยากลำบาก หรือไม่ค่อยดูดนม ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ถัดมาเด็กจะดูดมิได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กบางทีอาจร้องคร่ำครวญต่อมาจะมีมือ แขน รวมทั้งขาเกร็ง ข้างหลังแข็งแล้วก็แอ่น ถ้าหากเป็นมากจะมีลักษณะชักกระดุกรวมทั้งหน้าเขียวอาการเกร็งหลังแข็งและข้างหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น ถ้าหากมีเสียงดังหรือเมื่อจับต้องตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกหากเป็นถี่ๆมากเพิ่มขึ้น จะมีผลให้เด็กหน้าเขียวมากขึ้น ก่อให้เกิดอันตรายถึงตายได้ไพเราะขาดออกซิเจน
  • โรคบาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนที่จะมีลักษณะราว 5-14 วัน บางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือเป็นเวลานานกว่านั้นได้ กระทั่งบางทีบาดแผลที่เป็นทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะดูเจอเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายเป็น ข้างหลัง แขน ขา เด็กจะยืนรวมทั้งเดินข้างหลังแข็ง แขนเหยียดหยามเกร็งให้ก้มข้างหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะแล้วก็ระยะต่อไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเช่นเดียวกับในทารกแรกคลอด ถ้ามีเสียงดังหรือจับต้องตัวจะเกร็ง และกระดุกมากเพิ่มขึ้น มีข้างหลังแอ่น แล้วก็หน้าเขียว บางโอกาสมีอาการรุนแรงมากมายอาจส่งผลให้มีการหายใจไม่สะดวกจนตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักกระตุกของกล้ามเนื้ออย่างหนักของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อแต่นี้ไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกซิเจน
  • กระดูกสันหลังแล้วก็กระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากเปลี่ยนไปจากปกติ
  • เกิดการติดเชื้อที่ปอดจนกระทั่งกำเนิดปอดบวม
  • ไม่สามารถที่จะหายใจได้ เหตุเพราะการชักเกร็งของเส้นเสียงแล้วก็กล้ามที่ใช้หายใจ
  • การต่อว่าดเชื้ออื่นๆเข้าแทรกที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอเป็นเวลายาวนานหลายสัปดาห์ถึงยาวนานหลายเดือน


การตำหนิดเชื้อโรคโรคบาดทะยักอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยที่มาของการเสียชีวิตจากโรคนี้โดยมากเกิดจากภาวการณ์หายใจล้มเหลว ส่วนมูลเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดการตายได้ด้วยเหมือนกัน ได้แก่ สภาวะปอดอักเสบ การขาดออกสิเจน และภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักมีเหตุที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่รอยแผล โดยยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลที่ไม่สะอาดหรือบาดแผลที่ขาดการดูแลที่ถูก ซึ่งบาดแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ เป็นต้นว่า แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการเช็ดกสัตว์กัด ยกตัวอย่างเช่น สุนัข เป็นต้น  แผลที่มีการฉีกให้ขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟเผา แผลถูกทิ่มจากตะปูหรือข้าวของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากลูกกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาภายนอก  แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน  แผลบาดเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่ปนเปื้อนเชื้อ  การต่อว่าดเชื้อที่ฟัน  การติดเชื้อทางสายสะดือในเด็กอ่อน เนื่องจากว่าการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่ไม่ได้ฉีดยาคุ้มครองโรคบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  เป็นต้นว่า  แผลโรคเบาหวาน  และก็รอยแผลฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • แนวทางการรักษาโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก รวมทั้งประวัติการมีบาดแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย รวมทั้งเรื่องราวได้รับวัคซีนโรคบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบและได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้มีการกำหนด ก็จะไม่มีจังหวะเป็นโรคบาดทะยักในการตรวจทางห้อง กระทำการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายคลึงกัน เท่านั้น เช่น การตรวจค้นสารพิษสตริกนีน (Strychnine) ผู้เจ็บป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดศัตรูพืช จะมีลักษณะหดตัวรวมทั้งแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นบาดทะยัก ถ้าเกิดเรื่องราวได้รับสารพิษของผู้ป่วยคลุมเครือ ก็ต้องเจาะตรวจค้นสารพิษชนิดนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) จำนวนมากจะพบว่าอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา ไม่เสมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าธรรมดา ซึ่งไม่เหมือนกับโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังแล้วก็สมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะอาการชักเกร็งคล้ายกัน


หลังการตรวจวิเคราะห์ ถ้าแพทย์ใคร่ครวญว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคบาดทะยักแม้กระนั้นผู้ป่วยยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้มองเห็น กรณีนี้จะรักษาโดยการทำความสะอาดแผลแล้วก็ฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่ประกอบด้วยแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและก็สามารถคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักได้ในตอนระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกเหนือจากนั้นอาจฉีดวัคซีนปกป้องบาดทะยักร่วมด้วยแม้ผู้ป่วยยังมิได้รับวัคซีนจำพวกนี้ถึงกำหนด สำหรับคนเจ็บที่เริ่มออกอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  หมอจะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ภายในห้องบำบัดรักษาพิเศษหรือไอซียู เพื่อแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็ผู้เจ็บป่วยชอบจำต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นนานเป็นเดือนๆ   ซึ่งหลักของการดูแลรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏลักษณะโรคแล้ว คือ เพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว แล้วก็การดูแลและรักษาเกื้อกูลตามอาการ และก็การให้วัคซีนเพื่อปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีเนื้อหาดังนี้

  • การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ โดยการให้ยายาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกออก ดังเช่นว่า เพนิซิลิน ยาต้านทานพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าเกิดผู้ป่วยมีบาดแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะปริปากแผลให้กว้าง ล้างชำระล้างแผลให้สะอาด และตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในรอยแผล
  • การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายสารพิษ ซึ่งสารภูมิคุ้มกัน อาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะพิษที่อยู่ในกระแสเลือดเพียงแค่นั้น ไม่อาจจะทำลายพิษที่ไปสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การดูแลรักษาจุนเจือตามอาการ ดังเช่น การให้ยาเพื่อลดการหดตัวและแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในกรณีที่ใช้ยาไม่ได้ผล ผู้เจ็บป่วยยังมีลักษณะอาการหดเกร็งมาก เสี่ยงต่อสภาวะหายใจล้มเหลว บางทีก็อาจจะไตร่ตรองให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตตลอดตัว แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • ผู้ป่วยที่มีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น ความดันโลหิตขึ้นสูงมากก็ให้ยาควบคุมความดันเลือด ถ้ามีอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็บางทีอาจจะต้องใส่สิ่งกระตุ้นหัวใจ
  • การให้วัคซีน คนไข้ทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จะต้องให้วัคซีนตามที่กำหนดทุกราย ด้วยเหตุว่าการตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณรอยแผลต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลที่แคบแล้วก็ลึกที่ไม่สามารถที่จะล้างชำระล้างบาดแผลได้หรือเป็นรอยแผลที่ไม่สะอาด ด้วยเหตุนี้โรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคโรคบาดทะยัก ถ้าหากหมอวินิจฉัยแล้วว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคโรคบาดทะยักแม้กระนั้นยังไม่มีอาการปรากฏ แพทย์จะกระทำการรักษาและฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่บ้าน เพราะฉะนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านคือ
  • รักษาความสะอาดของรอยแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อกำหนด
  • ทานอาหารที่เป็นประโยชน์แล้วก็ครบอีกทั้ง 5 หมู่
  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจตามที่แพทย์นัด

ส่วนในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการของโรคปรากฏแล้วนั้น หมอก็จะรับเข้ารักษาในโรงหมอห้องห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดถัดไป

  • การคุ้มครองตนเองจากโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดอันตรายรุนแรง แล้วก็อาจถึงแก่ความตายข้างในไม่กี่วันแม้กระนั้นสามารถป้องกันได้ ฉะนั้นการคุ้มครองก็เลยเป็นหัวใจของการรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนคุ้มครอง วัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักถูกผลิตและใช้ได้ผลสำเร็จสำเร็จในทหารตั้งแต่การรบโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนจำพวกนี้ได้ถูกปรับปรุงให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และก็บางทีอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดวัคซีน วัคซีนปกป้องบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้


เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกครั้งหนึ่ง  ถัดไปจะต้องมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีรอยแผลเกิดขึ้น ถ้าหากเคยฉีดวัคซีนครบ 3 ครั้ง มาด้านใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แม้กระนั้นถ้าเกิดเกินกว่า 5 ปี จะต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงตั้งท้องที่ไม่เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักมาก่อน ควรจะฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกขั้นต่ำ 1 เดือน รวมทั้งเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าเกิดฉีดไม่ทันขณะตั้งท้อง ก็ฉีดข้างหลังคลอด)  ถ้าหากหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนปกป้องโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันขั้นต่ำ 1 เดือน ในระหว่างท้อง  หากหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง แต่ว่าถ้าเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปและก็ในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดวัคซีนโรคบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 ราว 6 -12 เดือน และก็ฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดไป
เมื่อมีรอยแผลต้องทำแผลให้สะอาดโดยทันที โดยการขัดด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดถูด้วยยาฆ่าเชื้อ อย่างเช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมด้วยให้ยารักษาการติดเชื้อถ้าหากแผลลึกจำต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อให้แผลสะอาดรวมทั้งปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงควรปิดแผลไว้กระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกจากนี้ควรเปลี่ยนผ้าทำแผลทุกวี่วัน อย่างต่ำวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มเลอะเทอะ เพื่อเลี่ยงจากการตำหนิดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องจากว่าโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่ร้ายแรงรวมทั้งมีระยะฟักตัวของโรคที่ค่อนข้างสั้น แต่มีลักษณะแสดงของโรคที่ร้ายแรงและมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้


  • ถ้าเป็นโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แจ่มกระจ่างว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ผลดี ก็ไม่สมควรรักษาด้วยสมุนไพร อาทิเช่น งูพิษกัด หมาบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก ฯลฯ
  • กรุ๊ปอาการบางสิ่งบางอย่างที่ระบุว่า อาจจะเป็นโรคร้ายแรงที่จำต้องรักษาอย่างรีบด่วนอาทิเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่รู้สึกตัว ปวดอย่างหนัก  คลื่นไส้เป็นเลือด  ตกเลือดจากช่องคลอด  ท้องร่วงอย่างหนัก  หรือคนป่วยเป็นเด็กแล้วก็สตรีมีท้อง ควรจะรีบนำขอคำแนะนำหมอ  แทนที่จะรักษาโดยใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรจะค้นคว้าจากตำราเรียน หรือขอคำแนะนำท่านผู้ทรงความรู้  โดยใช้ให้สมส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่ควรใช้สมุนไพรติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆๆเพราะพิษบางครั้งอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.

บันทึกการเข้า