รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 515 ครั้ง)

BeerCH0212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ หากแก่มากยิ่งขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม โดยพบว่าคนป่วยราว 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้ามีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ 3 เท่า รวมทั้งถ้าเกิดมี 2 คนก็จะเพิ่มความเสี่ยงเป็น 10 เท่าเป็นลำดับ)
  • เป็นคนที่สัมผัสกับยากำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อและก็อาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร ด้วยเหตุว่ามีกล่าวว่าเจอโรคนี้ได้มากในเกษตรกรที่ดื่มน้ำจากบ่อ
  • เป็นคนที่หรูหราฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่แล้วก็มดลูก ผู้หญิงวัยทองก่อนที่จะครบกำหนด ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่ว่าหากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางทีอาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่กระทบทางสมอง
  • นอกจากนี้ยังมีแถลงการณ์ว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันด้วยเหมือนกัน
  • กระบวนการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยปกติแม้ผู้เจ็บป่วยปรากฏอาการแจ่มกระจ่าง สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะของการเกิดอาการและก็การตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างประณีต ช่วงแรกเริ่ม บางทีอาจวิเคราะห์ยาก ควรต้องวิเคราะห์แยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรเวชผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทหมอ


การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องจากการดูแลรักษาจะไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะอะไรบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการคนเจ็บ และก็ความไม่ปกติที่แพทย์ตรวจเจอเป็นหลัก แล้วก็ลักษณะของอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อายุที่เริ่มเป็น และเรื่องราวในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าคนป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะใช้เพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันแล้วก็มีลักษณะอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ไม่เหมือนกันออกไปเท่านั้น อย่างเช่น การตรวจค้นระดับสารพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus ฯลฯ
ในอดีตหมอรู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในขณะนี้เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่รอบๆตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์ลดน้อยลง หรือบกพร่องในหน้าที่ในการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนไหวช้า เกร็งและก็สั่นเกิดขึ้นตามลำดับ โดยเหตุนี้ในปัจจุบันการรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง คือ

  • รักษาโดยใช้ยา ซึ่งถึงแม้ยาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมาผลิออกตอบแทนเซลล์เดิมได้ แต่ว่าก็จะก่อให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับความอยากของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบันหมายถึงยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละประเภทขึ้นกับการวินิจฉัยจากหมอ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด เป้าหมายของการรักษาก็คือ ให้คนเจ็บคืนกลับสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม มีความสุขทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติกล้วยๆคือ


ก) ฝึกหัดการเดินให้ค่อยๆก้าวขาแต่พอดิบพอดี โดยเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าตีน รวมทั้งแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนี้ควรจะหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรเป็นแบบส้นเตี้ย และก็พื้นต้องไม่ทำจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินความจำเป็น เวลาจะขึ้นเตียงจะต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนยกเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกฝนการพูด โดยเครือญาติต้องให้ความเข้าอกเข้าใจเบาๆฝึกหัดคนไข้ และควรทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด ส่วนมากจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในคนเจ็บที่แก่น้อย และก็มีลักษณะไม่มากสักเท่าไรนัก หรือในผู้ที่มีลักษณะแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานานๆเป็นต้นว่า อาการสั่นที่ร้ายแรง หรือมีการเคลื่อนแขน ขา มากไม่ดีเหมือนปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้วิธีกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ภายในร่างกาย พบว่าส่งผลดี แม้กระนั้นค่าใช้จ่ายสูงมากมาย ผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ควรต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนที่อยู่รอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมถึงจิตใจ ดังนั้นถ้าหากท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคประเภทนี้ จำเป็นที่จะต้องรีบเอามาเจอหมอเพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะส่งผลให้เกิดการรักษาที่ถูกรวมทั้งสมควรถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องมาจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากเซลล์สมองมีการตาย และทำให้สารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดลง ก็เลยนำไปสู่อาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถที่จะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แม้กระนั้นสามารถถ่ายทอดทางพันธุ์บาปไปสู่ลูกหลานได้)
  • การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน คนเจ็บและเครือญาติสามารถดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตลอด ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เสมอๆ
  • กินยาควบคุมอาการจากที่หมอแนะนำให้ใช้
  • รับประทานอาหารพวกที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆและการทำกิจวัตรที่ทำทุกๆวัน ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวแล้วก็ความยืดหยุ่นของกล้าม ลดเกร็งแล้วก็ปรับการทรงตัวให้ ตัวอย่างเช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เหมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกฝนพูดโดยให้ผู้ป่วยเป็นข้างกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งหัวใจไว้
  • บริเวณทางเท้าหรือในห้องอาบน้ำควรมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเดิน
  • การแต่งตัว ควรจะสวมเสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เป็นต้นว่า กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • พี่น้อง ควรเอาใจใส่ดูแลคนป่วยอย่างใกล้ชิด รอบคอบการเกิดอุบัติเหตุ ยกตัวอย่างเช่น การเดินหกล้ม ฯลฯ


สิ่งจำเป็นก็คือ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยแล้วก็พี่น้อง ควรศึกษารวมทั้งทำความเข้าใจผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ก็ไม่แนะนำ เพราะเหตุว่ามีโทษนำไปสู่โรคอื่นๆที่น่าสยดสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคพาร์กินสัน เพราะว่าปัจจัยที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยรู้เด่นชัด โดยเหตุนี้การปกป้องคุ้มครองเต็มเปี่ยมจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าบางการศึกษาพบว่า การกินของกินมีประโยชน์ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดของกินกรุ๊ปไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) จำกัดของกินในกรุ๊ปผลิตภัณฑ์จากนม กินผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเนื่องมาจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดช่องทางเกิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักวิจัยแห่งแผนกแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรท้องนาได้คิดวิธีทดสอบแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำเป็น แล้วก็ทำเสร็จภายในเวลาเพียงแค่ ๑ นาที

วิธีทดสอบดังที่กล่าวมาข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ

  • ให้ผู้ป่วยยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้นทั้งยัง 2 ข้างแล้วก็ให้ค้างเอาไว้
  • ในที่สุดให้คนป่วยบอกประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค


นักค้นคว้าทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วหลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องราวที่มีผู้ป่วยเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดลองด้วยคำสั่งข้างต้นกับผู้แสดง ๓ ข้อ ช่วงเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลการทดสอบให้ผู้ทำการวิจัยรู้ โดยผู้ทำการวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกผู้เจ็บป่วยออกมาจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงจำนวนร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามใบหน้าอ่อนแรง (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนล้าได้ถึง จำนวนร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกลางที่ทำงานไม่ปกติทางคำกล่าวได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าแม่นยำมากมายด้านในสถานการณ์ที่ผู้รักษาไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่า สามารถยับยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการหยุดยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี acetyl cholinesterase เป็นจุดหมายสำคัญของการเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (Senile dementia), ผู้ป่วยสูญเสียความจำ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีสภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเนื้อเสียสหการ (Ataxia) และโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (myasthenia gravis)


               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในผู้เจ็บป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการศึกษาค้นพบในการวิจัย โดยได้ผลสำหรับการรักษาแจ่มชัดในด้านภาวการณ์รู้คิด     พฤติกรรมโดยรวมแล้วก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในคนไข้พาร์กินสัน เหตุเพราะโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ทำให้มีการเกิดความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว ตัวอย่างเช่น การนอน ความไม่ดีเหมือนปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าใจ ตื่นตระหนก ฯลฯ
                อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการศึกษาในคนไข้กรุ๊ปโรคดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอย่างเป็นระบบ แนะนำหากพอใจใช้บอระเพ็ด ควรใช้ในทางเสริมการดูแลและรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรจะมีช่วงที่หยุดยาม้าง อาทิเช่น แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกจากนี้ข้อควรตรึกตรองเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีสภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับบกพร่อง หรือคนป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง คนที่มีทิศทางความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% และก็อาจพบมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเท่ากันกับ Levodapa ลำพัง
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าราวกับ Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกรุ๊ปยาที่จะต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ต่ำลง ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า รวมทั้งมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลในการศึกษาทางสถานพยาบาลรวมทั้งการศึกษาในคนเจ็บโรคพาร์กินสัน เพราะฉะนั้นจะต้องรอให้มีการทำการค้นคว้าเพิ่มอีก และก็มีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยรับรองว่าไม่เป็นอันตรายก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส
บันทึกการเข้า