รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 576 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักคืออะไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางประสาทและก็กล้ามเนื้อ เป็นโรคติดเชื้อโรคแบคทีเรียประเภทหนึ่งที่เกิดอันตรายร้ายแรง สามารถเจอได้ในคนทุกวัย ส่วนมากคนเจ็บจะมีประวัติมีรอยแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลสกปรก หรือขาดการดูแลแผลอย่างแม่นยำ ซึ่งความสำคัญของโรคนี้เป็น ผู้เจ็บป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนเคยเป็นโรคนี้กาลครั้งหนึ่งและยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แต่ปัจจุบันโรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Teinein ซึ่งหมายความว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกเช่นนี้ เพราะว่าคนไข้ที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวและแข็งเกร็งตัวของกล้ามเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นลีลาที่เป็นต้นแบบเฉพาะโรค   คนป่วยจะมีลักษณะเด่นเป็นอาการกล้ามเนื้อเกร็ง โดยมากการเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามฟันกราม และขยายไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และก็เกิดขึ้นบ่อยๆตรงเวลา 3-4 อาทิตย์ รวมถึงอาจมีอาการอื่นที่อาจเจอร่วม ดังเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดศีรษะ กลืนลำบาก ความดันโลหิตสูง แล้วก็หัวใจเต้นเร็ว  โรคบาดทะยักเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก แม้กระนั้นมักพบบ่อยครั้งในพื้นที่ที่มีลักษณะอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินรวมทั้งสารอินทรีย์อยู่มากในปี พ.ศ. 2558 มีรายงานว่ามีคนเจ็บบาดทะยักประมาณ 209,000 คนและเสียชีวิตประมาณ 59,000 คนทั่วโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่ยุคหมอภาษากรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล สิ่งที่ทำให้เกิดโรคถูกศึกษาและทำการค้นพบเมื่อ พุทธศักราช 2427 โดย Antonio Carle และก็ Giorgio Rattone ที่มหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2467

  • ต้นเหตุของโรคบาดทะยัก มีต้นเหตุมาจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีเอ็งรมบวก มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่คงทนต่อความร้อนแล้วก็ยาฆ่าเชื้อหลายชนิดสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับแล้วก็เป็นพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมแนวทางการทำงานของกล้าม ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เริ่มแรกกล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้โรคนี้จึงมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) ผู้เจ็บป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะเกร็งของกล้ามทั่วตัว รวมทั้งมีลักษณะชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินปนทรายและมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานนับปีแล้วก็เจริญก้าวหน้าได้ดิบได้ดีในที่ที่ไม่มีออกสิเจน โดยจะสร้างสปอร์หุ้มห่อตนเอง มีความคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในสภาพที่ไร้แสงได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเราเกิดรอยแผลที่แปดเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ ดังเช่น สกปรกถูกดินปนทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลที่ปากแผลแคบแม้กระนั้นลึก ดังเช่น ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้แทงแทง เป็นต้น (ซึ่งมีออกสิเจนน้อย เหมาะสำหรับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยสารพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
  • อาการโรคบาดทะยัก ภายหลังจากได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามบาดแผลจะกระจายตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มแล้วก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้าม ก่อให้เกิดความแปลกสำหรับในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้าม ระยะจากที่เชื้อไปสู่ร่างกายจนกระทั่งกำเนิดอาการเริ่มแรก คือ มีลักษณะขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคราว 3-28 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ราว 8 วัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ปคือ
  • โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการชอบเริ่มเมื่อเด็กทารกอายุโดยประมาณ 3-10 วัน อาการแรกที่จะดูได้เป็น เด็กดูดนมตรากตรำ ไหมค่อยดูดนม เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ ถัดมาเด็กจะดูดไม่ได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กอาจร้องครางครวญถัดมาจะมีมือ แขน แล้วก็ขาเกร็ง หลังแข็งและก็แอ่น ถ้าเป็นมากจะมีลักษณะอาการชักกระดุกรวมทั้งหน้าเขียวอาการเกร็งข้างหลังแข็งแล้วก็หลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น หากมีเสียงดังหรือเมื่อสัมผัสตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกถ้าเกิดเป็นถี่ๆมากเพิ่มขึ้น จะมีผลให้เด็กหน้าเขียวมากเพิ่มขึ้น มีอันตรายจนตายได้น่าฟังขาดออกซิเจน
  • บาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางรอยแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนจะมีอาการประมาณ 5-14 วัน บางรายบางทีอาจนานถึง 1 เดือน หรือเป็นเวลานานกว่านั้นได้ กระทั่งบางคราวบาดแผลที่เป็นทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะสังเกตพบเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ มีคอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายเป็น หลัง แขน ขา เด็กจะยืนรวมทั้งเดินข้างหลังแข็ง แขนดูถูกเกร็งให้ก้มหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะเหมือนยิ้มแสยะและระยะถัดไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเช่นเดียวกับในทารกแรกคลอด ถ้ามีเสียงดังหรือสัมผัสตัวจะเกร็ง และกระดุกเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีข้างหลังแอ่น และก็หน้าเขียว บางเวลามีลักษณะอาการรุนแรงมากมายอาจจะเป็นผลให้มีการหายใจติดขัดถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักกระตุกของกล้ามอย่างหนักของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะสอดแทรกรุนแรงต่อไปนี้ตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกซิเจน
  • กระดูกสันหลังและก็กระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากแตกต่างจากปกติ
  • เกิดการติดเชื้อที่ปอดจนถึงเกิดปอดอักเสบ
  • ไม่สามารถหายใจได้ เพราะว่าการชักเกร็งของเส้นเสียงแล้วก็กล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ
  • การตำหนิดเชื้ออื่นๆแทรกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน


การติดเชื้อโรคโรคบาดทะยักอาจร้ายแรงถึงกับตาย โดยต้นเหตุของการเสียชีวิตจากโรคนี้ส่วนมากมีต้นเหตุที่เกิดจากภาวะหายใจล้มเหลว ส่วนปัจจัยอื่นที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้เช่นกัน ดังเช่นว่า ภาวการณ์ปอดอักเสบ การขาดออกสิเจน และสภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่บาดแผล โดยยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลที่ไม่สะอาดหรือบาดแผลที่ขาดการดูแลที่ถูกต้อง ซึ่งรอยแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ ดังเช่นว่า แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการเช็ดกสัตว์กัด ตัวอย่างเช่น หมา ฯลฯ  แผลที่มีการฉีกจนขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟลุก แผลถูกทิ่มแทงจากตะปูหรือข้าวของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาข้างนอก  แผลติดเชื้อที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน  แผลเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่แปดเปื้อนเชื้อ  การติดเชื้อที่ฟัน  การตำหนิดเชื้อทางสายสะดือในเด็กแบเบาะ เนื่องจากกระบวนการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่ไม่ได้ฉีดยาปกป้องบาดทะยักอย่างสมบูรณ์  แผลเรื้อรัง  ดังเช่นว่า  แผลเบาหวาน  แล้วก็แผลฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • แนวทางการรักษาโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก แล้วก็ประวัติการมีรอยแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย รวมทั้งประวัติการได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบและก็ได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้มีการกำหนด ก็จะไม่มีโอกาสเป็นโรคโรคบาดทะยักสำหรับการตรวจทางห้อง ทำการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายกัน เพียงแค่นั้น อาทิเช่น การตรวจค้นพิษสตริกนีน (Strychnine) คนป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดศัตรูพืช จะมีลักษณะอาการหดตัวและก็แข็งเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายกับคนไข้ที่เป็นโรคบาดทะยัก หากประวัติการได้รับสารพิษของคนป่วยไม่กระจ่าง ก็จำเป็นต้องเจาะตรวจค้นพิษประเภทนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนมากจะพบว่าเข้าขั้นธรรมดา ไม่เสมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าธรรมดา ซึ่งต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและสมองอักเสบ ที่ทำให้มีอาการชักเกร็งคล้ายกัน


ข้างหลังการตรวจวินิจฉัย หากหมอพิจารณาว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคโรคบาดทะยักแต่คนเจ็บยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้มองเห็น กรณีนี้จะรักษาโดยทำความสะอาดแผลและฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่มีแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักรวมทั้งสามารถปกป้องโรคบาดทะยักได้ในตอนระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกเหนือจากนี้บางทีอาจฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องบาดทะยักร่วมด้วยหากคนไข้ยังมิได้รับวัคซีนประเภทนี้ถึงกำหนด สำหรับคนป่วยที่เริ่มแสดงอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยมักจะรับเอาไว้ในห้องบำบัดพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด และผู้ป่วยชอบต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นแรมเดือน   ซึ่งหลักของการดูแลและรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏอาการของโรคแล้วเป็นเพื่อกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว และก็การดูแลและรักษาทะนุถนอมตามอาการ รวมถึงการให้วัคซีนเพื่อคุ้มครองการเกิดโรคอีกโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • การกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตพิษ โดยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคและสปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกออก อย่างเช่น เพนิซิลิน ยาต้านพิษโรคบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) หากคนเจ็บมีบาดแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะเปิดปากแผลให้กว้าง ล้างทำความสะอาดแผลให้สะอาด และก็ตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในรอยแผล
  • การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายพิษ ซึ่งสารภูมิต้านทาน อาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสโลหิตเท่านั้น ไม่อาจจะทำลายสารพิษที่เข้าสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การดูแลและรักษาทะนุถนอมตามอาการ อย่างเช่น การให้ยาเพื่อลดการหดตัวแล้วก็แข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งมียาอยู่หลายกรุ๊ป ในกรณีที่ใช้ยาไม่ได้ผล คนป่วยยังมีลักษณะอาการหดเกร็งมากมาย มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลว บางครั้งอาจจะพิเคราะห์ให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตตลอดตัว แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • ผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการไม่ดีเหมือนปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ ความดันเลือดขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันเลือด หากมีอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็บางทีอาจต้องใส่สิ่งเร้าหัวใจ
  • การให้วัคซีน ผู้เจ็บป่วยทุกรายที่หายจากโรคแล้ว ต้องให้วัคซีนตามที่มีการกำหนดทุกราย เนื่องด้วยการติดเชื้อบาดทะยักไม่อาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่รอบๆรอยแผลต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นรอยแผลที่แคบรวมทั้งลึกที่ไม่อาจจะล้างชำระล้างรอยแผลได้หรือเป็นบาดแผลที่ไม่สะอาด ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคบาดทะยัก ถ้าหมอวิเคราะห์แล้วว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคบาดทะยักแต่ยังไม่มีอาการปรากฏ หมอจะทำรักษาและฉีดวัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่บ้าน โดยเหตุนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านคือ
  • รักษาความสะอาดของรอยแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อบังคับ
  • ทานอาหารที่เป็นประโยชน์แล้วก็ครบอีกทั้ง 5 กลุ่ม
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจจากที่หมอนัด

ส่วนในกรณีคนเจ็บที่มีลักษณะของโรคปรากฏแล้วนั้น แพทย์ก็จะรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลห้องไอซียู เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดถัดไป

  • การป้องกันตนเองจากโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรง และก็อาจถึงแก่เสียชีวิตข้างในไม่กี่วันแม้กระนั้นสามารถป้องกันได้ ดังนั้นการปกป้องก็เลยเป็นหัวใจของการดูแลและรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนคุ้มครอง วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักถูกผลิตและใช้เป็นผลสำเร็จในทหารตั้งแต่การสู้รบโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนจำพวกนี้ได้ถูกปรับปรุงให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (DTP) และก็อาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดยา วัคซีนปกป้องบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้


เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกรอบหนึ่ง  ถัดไปควรจะมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีรอยแผลเกิดขึ้น ถ้าหากเคยฉีดยาครบ 3 ครั้ง มาข้างใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แต่ถ้าเกินกว่า 5 ปี จำต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงมีครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมาก่อน ควรจะฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกขั้นต่ำ 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าฉีดไม่ทันขณะมีท้อง ก็ฉีดหลังคลอด)  หากหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันขั้นต่ำ 1 เดือน ในระหว่างมีท้อง  ถ้าเกิดหญิงมีครรภ์เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแต่ 1 ครั้ง แม้กระนั้นหากเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปและก็ในคนแก่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดวัคซีนโรคบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 ราวๆ 6 -12 เดือน รวมทั้งฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดไป
เมื่อมีบาดแผลจำเป็นต้องทำแผลให้สะอาดโดยทันที โดยการขัดด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดเช็ดด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมทั้งให้ยารักษาการติดโรคถ้าหากแผลลึกจำต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อให้แผลสะอาดแล้วก็คุ้มครองจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อ จะต้องปิดแผลไว้กระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด ยิ่งไปกว่านี้ควรเปลี่ยนผ้าทำแผลทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างต่ำวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มเปรอะเปื้อน เพื่อเลี่ยงจากการติดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องจากว่าโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่ร้ายแรงแล้วก็มีระยะฟักตัวของโรคที่ค่อนข้างจะสั้น แม้กระนั้นมีลักษณะอาการแสดงของโรคที่รุนแรงและมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้


  • ถ้าหากเป็นโรคที่ยังพิสูจน์มิได้แจ่มกระจ่างว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ผลดี ก็ไม่สมควรรักษาด้วยการใช้สมุนไพร ตัวอย่างเช่น งูที่มีพิษกัด สุนัขบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก เป็นต้น
  • กลุ่มอาการบางอย่างที่ระบุว่า บางครั้งอาจจะเป็นโรครุนแรงที่จำเป็นที่จะต้องรักษาอย่างเร่งรีบยกตัวอย่างเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่รู้ตัว ปวดอย่างหนัก  คลื่นไส้เป็นเลือด  แท้งลูกจากช่องคลอด  ท้องเสียอย่างรุนแรง  หรือคนเจ็บเป็นเด็กแล้วก็สตรีตั้งท้อง ควรรีบนำหารือหมอ  แทนที่จะรักษาโดยใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรจะค้นคว้าจากแบบเรียน หรือหารือท่านผู้รอบรู้  โดยใช้ให้สมส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่สมควรใช้สมุนไพรต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆเพราะว่าพิษบางครั้งอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.



Tags : โรคบาดทะยัก
บันทึกการเข้า