รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคของกินเป็นพิษ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 582 ครั้ง)

แสงจันทร์5555

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 77
    • ดูรายละเอียด


โรคของกินเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นยังไง โรคของกินเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้อธิบายถึงลักษณะของการป่วยที่เกิดขึ้นมาจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน มูลเหตุอาจเกิดขึ้นจากการปนเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก ดังเช่น ตะกั่ว ฯลฯ   ส่งผลให้เกิดอาการอ้วก อาเจียน ท้องร่วง ปวดท้อง ซึ่งอาการโดยมากมักไม่ร้ายแรง แม้กระนั้นถ้าเกิดอาการร้ายแรงขึ้นอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่จนกระทั่งก่อให้เกิดอันตรายได้ ของกินเป็นพิษเกิดเรื่องใกล้ตัวซึ่งสามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งคนสูงอายุ โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน  โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่พบได้ประปรายในประเทศที่พัฒนาแล้ว โอกาสการเกิดโรคในผู้หญิงและก็ผู้ชายเท่ากัน แต่อาจพบในเด็กได้สูงยิ่งกว่าวัยอื่นๆเพราะเหตุว่าแหล่งของกินเป็นพิษที่สำคัญหมายถึงอาหารในโรงเรียน ดังนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กกำเนิดของกินเป็นพิษได้สูงถึงราว 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • สาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษโดยมากเกิดขึ้นจากทานอาหาร แล้วก็/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่แปดเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไป คือ เชื้อไวรัส ยิ่งกว่านั้นที่พบได้บ้างหมายถึงการปนเปื้อนปรสิต (Parasite) เป็นต้นว่า บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนของสารพิษ ที่พบมากเป็นจากเห็ดพิษ พิษแปดเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู และก็สารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายอย่างซึ่งสามารถปลดปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาแปดเปื้อนในอาหารต่างๆดังเช่นว่า น้ำกิน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล และก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อมนุษย์เรารับประทานอาหารที่แปดเปื้อนพิษดังที่กล่าวถึงแล้ว ก็จะทำให้กำเนิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องร่วง  สารพิษหลายอย่างทนต่อความร้อน หากแม้จะประกอบอาหารให้สุกแล้ว พิษก็ยังคงอยู่และก็ก่อเกิดโรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นกับประเภทของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางประเภท 8-16 ชั่วโมง บางประเภท 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษที่มักพบในอาหารเป็น
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่พบได้ในดินแล้วก็น้ำในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ชนิดที่สามารถก่อโรคในคนแบ่งได้

  • Proteolytic strain มี type A ทั้งหมดทั้งปวง และเล็กน้อยของ type B รวมทั้ง F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยของกินได้ แล้วก็ทำให้อาหารมีลักษณะถูกปนเปื้อน
  • Non-proteolytic strain มี type E ทั้งผอง แล้วก็เล็กน้อยของ type B และก็ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้ของกินมีลักษณะเปลี่ยน


เชื้อนี้เจริญวัยได้ดิบได้ดีในสภาวะโอบล้อมที่มีออกซิเจนน้อย ก็เลยพบมากในของกินบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยยิ่งไปกว่านั้นผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องที่ผ่านแนวทางการผลิตผิดความถูกอนามัย อาทิเช่น หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป พิษที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อชนิดนี้ก่อให้เกิดอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตาฟางมัว เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง และก็บางครั้งรุนแรงจนถึงอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวแล้วก็เสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ถูกใจเกลือเข้มข้นสูงสำหรับเพื่อการเจริญเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) ไม่เหมือนกัน 12 ประเภท รวมทั้งมีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วในเวลานี้มี 60 จำพวก พบบ่อยในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ได้อยากออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีสารพิษ 2 ชนิดเป็น จำพวกที่ทนต่อความร้อนได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดคลื่นไส้ และก็จำพวกที่ทนไฟมิได้กระตุ้นให้เกิดอาการ อุจจาระหล่นโดยมากพบเกี่ยวข้องอาหาร (เช่น ข้าวผัดในร้านค้าแบบบริการตัวเอง) ผักและอาหารแล้วก็เนื้อที่รักษาไม่ถูกต้อง ณ.อุณหภูมิห้องภายหลังจากปรุงแล้ว
S.aureus หลายแบบที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อชอบแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในของกินและสร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin จำนวนมากเป็นของกินที่ปรุงรวมทั้งสัมผัสกับมือของผู้ทำอาหาร และไม่ได้ทำการอุ่นของกินด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนรับประทานอาหาร หรือแช่ตู้แช่เย็น ดังเช่น ขนมจีน ขนมเอ แคลร์ เนื้อ เมื่อของกินพวกนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิห้องหลายชั่วโมงต่อเนื่องกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวรวมทั้งสร้างพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม ทำให้มีการเกิดอาการท้องร่วง ถ่ายมีมูก คลื่นไส้ อาเจียน เป็นไข้ ด้านใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีสารพิษทำให้มีการเกิดอาการท้องเดิน  อี.โคไลมีสารพิษ 2 ประเภท เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่และถูกทำลายให้หมดไปด้วยกระบวนการทำให้อาหารสุก แต่อีกที่มันผลิตออกมาพร้อมๆกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กกว่า และเป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน พิษทั้งสองแบบส่งผลทำให้ท้องร่วงเช่นกัน โดยเหตุนั้นถ้าเกิดอาหารปนเปื้อนพิษนี้แล้วไม่ว่าจะทำให้สุกก่อนหรือไม่ ก็จะเป็นไปไม่ได้ทำลายพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองป้องกันได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) เจอการปนเปื้อนอีกทั้งในสินค้าอาหารสดรวมทั้งน้ำกินที่ไม่สะอาด รวมไปถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ด้วยเหตุว่าเชื้อชนิดนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง คราวหลังการกินอาหารข้างใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) มีเชื้อไวรัสหลายประเภท เป็นต้นว่า เชื้อไวรัสโนโร (Norovirus) ที่มักจะแปดเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำชนิดมีเปลือก และน้ำที่ไม่สะอาด แสดงอาการข้างใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ภายใน 2-3 สัปดาห์

  • ลักษณะโรคของกินเป็นพิษ อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะอาการคล้ายกันหมายถึงเจ็บท้องในลักษณะปวดบิดเป็นช่วงๆอ้วก (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) และก็ถ่ายเป็นน้ำบ่อย บางรายอาจมีไข้และอ่อนเพลียร่วมด้วย โดยธรรมดา 80 – 90 % ของโรคอาหารเป็นพิษมักจะไม่รุนแรง อาการต่างๆชอบหายได้เองข้างใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางประเภทอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นรุนแรง อาจคลื่นไส้และก็ท้องเดินร้ายแรง จนถึงร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างหนักได้  บางทีอาจพบว่า ผู้ที่ทานอาหารร่วมกันกับคนป่วย (ดังเช่น งานเลี้ยง คนในบ้านที่ทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีลักษณะอาการลักษณะเดียวกันกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษไปสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นกับจำพวก แล้วก็จำนวนของเชื้อ หรือ ของพิษ ซึ่งเจอกำเนิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงข้างหลังรับประทานอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนถึงเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (อย่างเช่น ในเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยปกติ พบได้ทั่วไปเกิดอาการภายใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยทั่วไปที่พบบ่อย จากโรคของกินเป็นพิษ ดังเช่นว่า ท้องเดิน อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นกับความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เพราะเหตุว่าการบีบตัวของลำไส้ อาเจียน อ้วก ในบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดได้  มีไข้สูง บางทีอาจหนาวสั่น แต่ว่าบางครั้งจับไข้ต่ำได้  ปวดหัว ปวดเมื่อยเนื้อตัว อาจปวดข้อ ขึ้นกับชนิดของเชื้อหรือ พิษดังที่กล่าวถึงแล้วแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามร่างกาย  อาจมีกล้ามเนื้อเมื่อยล้า ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้วเหมือนกัน  มีอาการของการสูญเสียน้ำภายในร่างกาย  อาทิเช่น อ่อนล้า  อิดโรยง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  เยี่ยวบ่อยมาก

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ
  • มีความประพฤติการรักษาสุขลักษณะผิดจะต้อง อาทิเช่น ก่อนรับประทานอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ผิดถูกหลักอนามัย เช่น บริโภคของกินสุกๆดิบๆบริโภคอาหารที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการทานอาหารที่ค้างคืนและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่สมควร
  • การจัดเก็บและก็เตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด ดังเช่นว่าการเก็บเนื้อสัตว์แล้วก็ผักเอาไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างชำระล้างผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือสารกำจัดศัตรูพืชเหลืออยู่ที่ผัก
  • การรักษาของกินที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอเพียง เป็นต้นว่า อาหารพวกที่ทำมาจากการแกงกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรจะเก็บรักษาไว้ในตู้แช่เย็นที่มีอุณหภูมิที่สมควร มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน ตัวอย่างเช่น อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุบ รอยยุบ  อาหารบรรจุกระป๋องที่มีคราบเปื้อนสนิมบริเวณฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง ฯลฯ
  • แนวทางการรักษาโรคของกินเป็นพิษ หมอจะวิเคราะห์จากอาการแสดงของผู้ป่วยเป็นหลัก ดังเช่น ลักษณะของการปวดท้อง อ้วก ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลัน อาจมีเรื่องราวว่าคนที่รับประทานอาหารร่วมกันบางบุคคลหรือผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย (อาทิเช่น ปาร์ตี้ คนภายในบ้าน) มีลักษณะท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะรุนแรง จับไข้สูง หรือสงสัยว่ามีสาเหตุจากมูลเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มอีกเช่น  การตรวจเลือด ใช้ในเรื่องที่คนไข้มีลักษณะอาการรุนแรงมากกว่าอาการอ้วกและก็ท้องร่วง หรือมีสภาวะการขาดน้ำแล้วก็เกลือแร่ เพื่อตรวจหาปริมาณเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดแล้วก็การทำงานของไต หรือในกรณีเสี่ยงต่อการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการดำเนินงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาชนิดของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อผู้เจ็บป่วยมีการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่ก่อเกิดอาการถ่ายเป็นเลือด


ดังนี้การตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหาสาเหตุของอาหารเป็นพิษยังทำได้ด้วยขั้นตอนการตรวจปริมาณแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือวิธีอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของคนไข้รวมทั้งดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อดำเนินงานรักษาอย่างถูกต้องในลำดับต่อไป   
กรรมวิธีการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุดเป็นรักษาประคับ พยุงตามอาการ อย่างเช่น คุ้มครองปกป้องสภาวะขาดน้ำรวมทั้งขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นโลหิตเมื่อท้องเดินมาก ยาแก้ปวด ยาที่ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อ้วก แล้วก็ยาลดไข้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการรักษาตามปัจจัย ตัวอย่างเช่นไตร่ตรองให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อมีสาเหตุมาจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านพิษถ้าเป็นชนิดมียาต้าน แม้กระนั้นคนเจ็บส่วนมากมักมีอาการที่ดีขึ้นได้ด้วยการดูแลตนเองที่บ้าน สิ่งจำเป็นที่สุด คือ จะต้องมานะอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรดื่มน้ำไม่มากมายๆหรือจิบน้ำเป็นประจำเพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากอาการท้องเสียและอาเจียนมากเกินไป

  • การติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษ โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีไวรัสบางชนิดเพียงแค่นั้น ที่สามารถเป็นต้นเหตุของการติดต่อของโรคของกินเป็นพิษได้ ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ซึ่งสามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วอาการโรคจะปรากฏขึ้น
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคอาหารเป็นพิษในคนแก่รวมทั้งเด็กโต
  • ถ้าหากเจ็บท้องรุนแรง ถ่ายท้องรุนแรง (อุจจาระเป็นน้ำทีละมากๆ) อ้วกร้ายแรง (จนดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้) เมื่อลุกขึ้นยืนนั่งมีลักษณะอาการหน้ามืดเป็นลม หรือมีสภาวะขาดน้ำรุนแรง (ปากแห้ง คอแห้งผาก ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จำต้องไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ บางทีอาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ ชนิดสำเร็จรูปที่มีขายในท้องตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มล.) ใส่น้ำตาลทราย 30 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนกินข้าวชนิดสั้น 3 ช้อน) และเกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (เท่ากับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)มานะดื่มเป็นประจำครั้งละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนกระทั่งอ้วก) ให้ได้มากพอกับที่ถ่ายออกไป โดยดูเยี่ยวให้ออกมากและใส
  • หากมีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้กินอาหารอ่อน ดังเช่นว่า ข้าวต้ม โจ๊ก งดของกินรสเผ็ดและก็ย่อยยาก งดผักรวมทั้งผลไม้ จนกระทั่งอาการจะหายก็ดี
  • ห้ามกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ เพราะเหตุว่าอาการท้องเดินจะช่วยขับเชื้อหรือสารพิษออกจากร่างกาย


ในขณะเจ็บท้อง หรือ อาเจียนคลื่นไส้ ไม่สมควรกินอาหาร หรือ ดื่มน้ำเพราะว่าอาการจะรุนแรงขึ้น   ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากมายๆขั้นต่ำ 8-10 แก้ว เมื่อหมอไม่สั่งให้ จำกัดน้ำกิน  พักผ่อนให้มากมายๆรักษาสุขอนามัยเบื้องต้น เพื่อคุ้มครองการแพร่ขยายเชื้อสู่คนอื่น ที่สำคัญเป็นการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างหลังการขับ ถ่าย รวมทั้งก่อนกินอาหาร

  • ควรรีบไปพบหมอ หากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งตั้งแต่นี้ต่อไป                อาเจียนมาก ถ่ายท้องมาก กินมิได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย กระทั่งมีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง                มีลักษณะถ่ายเป็นมูก หรือมูกผสมเลือดตามมา             มีลักษณะอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาอ่อนเพลีย หรือหายใจติดขัด          อาการไม่ดีขึ้นข้างใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะอาการเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยมีสาเหตุจากสารพิษ ดังเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากอหิวาตกโรค ดังเช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังจะมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กเล็ก (อายุต่ำลงยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
  • หากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ถัดไป (ถ้าดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) แล้วก็ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่มเติม เมื่อมีลักษณะ ให้รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (เช่น ข่าวสารต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องเดินจำพวกใดทั้งมวล
  • ถ้าหากถ่ายท้องรุนแรง อ้วกรุนแรง ดื่มนมหรือน้ำไม่ได้ ซึม เร่าร้อนใจ ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมาก (ในเด็กเล็ก) หายใจหอบแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นใน ๒๔ ชั่วโมง ต้องไปพบหมออย่างเร็ว
  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคอาการเป็นพิษ มาตรการป้องกัน การปกป้องคุ้มครองรวมทั้งควบคุมโรคของกินเป็นพิษทุกต้นสายปลายเหตุมีวิธีการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับในการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังต่อไปนี้
  • เลือกของกินที่ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี
  • ประกอบอาหารที่สุก
  • ควรจะกินอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • ระมัดระวังของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการแปดเปื้อน
  • ของกินที่ค้างมื้อจะต้องทำให้สุกใหม่ก่อนกิน
  • แยกของกินดิบแล้วก็อาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
  • ล้างมือก่อนจับต้องอาหารไปสู่ปาก
  • ให้ละเอียดลออเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บของกินให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำสะอาด
  • ไม่กินครึ่งดิบครึ่งสุกระวังการกินเห็ดต่างๆโดยเฉพาะจำพวกที่ไม่เคยทราบ ระแวดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านที่สะอาด ไว้ใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น จะต้องเก็บแยกจากอาหารอื่นๆทุกชนิด แล้วก็จำต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เนื่องจากว่าเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก จะอยู่ในอาหารสดพวกนี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งไว้ หรือ แช่น้ำ เนื่องจากว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่สมควรต่อการเติบโตของเชื้อโรค ควรละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด ได้แก่ ถั่วงอก สลัด และก็อาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การรักษาอาหารอย่างถูกต้อง ทำให้อาหารเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงและนานพอเพียงเพื่อทำลาย toxin แล้วก็การแช่แข็งเพื่อรักษาอาหารเป็นระยะเวลานาน
  • หากอาหารมีลักษณะผิดปกติอาทิเช่น กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสผิดปกติ อาจมี fermentation เป็นความมีโอกาสเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกหน
  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/ทุเลาลักษณะของโรคอาหารเป็นพิษ

    ขิง  ในขิงนั้นจะมีประโยชน์สำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ สามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพในแม่ที่ให้นมบุตรได้ดิบได้ดีรวมทั้งไม่มีอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    ยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องที่ท้องเสีย การดื่มน้ำขิงจะช่วยทำให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดน้อยลง และก็ยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่ว่าแม้กระนั้น ถ้าว่าอาการท้องร่วงมีความรุนแรงก็ควรรีบไปพบหมอ
    กระชาย  คุณประโยชน์  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้เจ็บท้อง  เหง้าและก็ราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับเยี่ยว แก้ฉี่ทุพพลภาพ
    มังคุด  คุณประโยชน์  รักษาโรคท้องเดินเรื้อรัง รวมทั้งโรคลำไส้  ยาแก้ท้องเดิน ท้องเสียยาแก้บิด (ปวดเบ่งรวมทั้งมีมูก แล้วก็อาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ  ยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กกินทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งแล้วก็มีมูกและอาจมีเลือดด้วย)
    ใช้เปลือกผลแห้งราวๆ ½ ผล (4 กรัม) ย่างไฟให้ไหม้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสโดยประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผุยผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
    เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 390.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2554
  • สุวรรณา เทพสุนทร.ความรู้เรื่องโรคอาหารเป็นพิษ.กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • อาหารเป็นพิษ,อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Weisman RS. Botulism. In: Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Lewin NA, et al (eds). Goldfrank’s Toxicologic Emergencies. 5th ed. Connecticut: Appleton&Lasge, 1994:937-948.
  • พญ.สลิล ธีระศิริ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่85.คอลัมน์กลไกการเกิดโรค.พฤษภาคม.2529
  • Lond BM. Food-borne illness. Lancet 1990;336:982-6. http://www.disthai.com/
  • Critchley ER, Michel JD. Human botulism. Br J Hosp Med 1990;93:290-2.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อาหารเป็นพิษ (Food poisoning).หาหมอ.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ(Food poisoning).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.หน้า490-492

บันทึกการเข้า