รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 675 ครั้ง)

BeerCH0212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

  • โรคไตเป็นยังไง "ไต" มีรูปร่างเหมือนเม็ดถั่ว ขนาดเท่าหมัด ๒ ข้าง อยู่ข้างหลังช่องท้องข้างละ ๑ อัน ไตปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ผ่านทางเยี่ยว ข้างละโดยประมาณ 1 ล้านหน่วย รวมทั้งยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ แล้วก็สมดุลกรด-ด่างภายในร่างกาย สร้างฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม และก็ฟอสเฟต (เป็น วิตามินดี นั่นเอง) และก็ฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดของธรรมชาติอย่างหนึ่ง มนุษย์เราบางครั้งก็อาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง รวมทั้งยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เพราะว่าไตข้างที่เหลือจะปฏิบัติงานแทนได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ถ้าหากไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับพฤติกรรมไปได้เรื่อยๆก็ยังไม่กำเนิดอาการอะไรด้วยเหมือนกัน จนถึงเมื่อไตเสียไปๆมาๆก ปฏิบัติงานได้เพียงแต่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ ก็เลยจะกำเนิดมีลักษณะของโรคไต

    โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วๆไป ก่อให้เกิดผลกระทบต่อราษฎรทุกอายุ เชื้อชาติ แล้วก็ทุกสถานะทางเศรษฐกิจ ความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์ของโรคที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเบาหวาน ความดันเลือดสูง และโรคอ้วน ในสหรัฐฯมีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 คนที่เป็นโรคไตเรื้อรัง และก็มีราษฎรกว่า 20 ล้านผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง ด้วยเหตุว่าผู้ป่วนจะไม่มีอาการในช่วงแรก อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตขายหน้าที่สำหรับการดำเนินงานไปๆมาๆกกว่าร้อยละ 70 – 80  โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวการณ์ที่มีการเสื่อมการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวชี้ว่าไตถูกทำลายจากความไม่ปกติของเลือดหรือฉี่หรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตน้อยลงน้อยกว่า 60 มิลลิลิตร/นาที/พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร ตรงเวลา 3 เดือน หรือมากยิ่งกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคส่วนมากชอบทำให้ไตเสื่อมลงอย่างคงทน ไม่สมารถยนต์กลับมาดำเนินงานอย่างธรรมดาได้ และเดี๋ยวนี้พบมากขึ้นในสามัญชนไทยและบางทีอาจจะร้ายแรงไปจนถึงการเกิดสภาวะไตวายและเสียชีวิตได้ท้ายที่สุด
    การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง  โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความร้ายแรงดังนี้
    ระยะที่ 1 เจอมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยเจอความผิดปกติจากการตรวจเลือดปัสสาวะเอกซเรย์ หรือพยาธิภาวะของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา พูดอีกนัยหนึ่ง มากยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
    ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการน้อยลงของอัตราการกรองของไตนิดหน่อยเป็นอยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 3 มีการต่ำลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในช่วง 30 – 59 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
    ระยะที่ 4 มีการน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 15 – 29 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 5 มีสภาวะไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.มัธยม)

  • สาเหตุของโรคไตเรื้อรังเป็น โรคไตเรื้อรังมีต้นเหตุการเกิดโรคได้หลายกรณี ซึ่งแบ่งสาเหตุการเกิดได้ดังนี้ ต้นเหตุนอกไต ดังเช่นว่า โรคเบาหวาน พบว่ามีคนเจ็บที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่พึ่งอินสุลิน 20-50% ที่ทำให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายภายในเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยการให้อินสุลิน และโรคเบาหวานยังส่งผลให้กำเนิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงร้อยละ 30-40 แล้วก็กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตวายเรื้อรังระยะในที่สุดได้ถึงจำนวนร้อยละ 45 ยิ่งกว่านั้นโรคเบาหวานยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง และก็ไขมันในเลือดสูงได้ โรคเบาหวานทำให้มีความผิดธรรมดาของเส้นโลหิตหลอดฝอยไต ทำให้เส้นเลือดแข็งเพิ่มแรงต่อต้านของเส้นโลหิตที่ไต และระบบความดันโลหิตสูงขึ้น ไตได้รับเลือดลดน้อยลง และขาดเลือด จึงส่งผลให้เกิดไตล้มเหลวตามมา  โรคความดันโลหิตสูง พบว่าความดันเลือดสูงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้องรังได้ถึงจำนวนร้อยละ 28 เหตุเพราะไตจะต้องได้รับเลือดมาเลี้ยงเยอะมากๆจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการกรองและก็กระบวนการทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตลดลงก็เลยทำให้การทำหน้าที่ของไตไม่ปกติเหมือนกัน ความดันดลหิตสูงเกิดเนื่องจากว่าหลอดเลือดแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตลดลง และก็กระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนสิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มระดับความดันดลหิต ยิ่งไปกว่านี้ ความดันโลหิตสูงยังเกี่ยวโยงกับโรคของเนื้อไต เป็นต้นว่า Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis เป็นต้น ทำให้ไตขับน้ำ รวมทั้งเกลือได้น้อยลง มีการคั่งของน้ำและเกลือมากขึ้น ความดันเลือดต่ำ ภาวะช็อคจากหัวใจแล้วก็หลอดเลือด หรือความดันเลือดต่ำส่งผลต่อการทำหน้าที่ของไต ทำให้เส้นโลหิตที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง  โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ออกมาจากหัวใจ แล้วก็ระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งมีผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำและก็โซเดียม มีการคั่งของน้ำในเส้นโลหิต นำมาซึ่งอาการบวม โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เป็นต้นว่า การเกิดลิ่มเลือดตันในเส้นโลหิต (Thromboembolic) ภาวการณ์ Disseminated Intravascular Coagulopathy ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของโลหิตที่ไต เป็นต้นเหตุให้ไตขาดเลือด การติดเชื้อในกระแสเลือด อาจมีผลต่อวิธีการทำหน้าที่ของไต ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำและก็จะกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำให้เกิดGlomerulonepritis การมีครรภ์ ส่งผลต่อแนวทางการทำหน้าที่ขอบงไต การตั้งท้องในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะดำรงอยู่ 9 -1 2 สัปดาห์ ทำให้อัตราการกรองของไตมากขึ้น 30 – 50 % ระหว่างตั้งท้อง ทำให้ Creatinine Clearance มากขึ้น การขับกรดยูริกต่ำลง การมีครรภ์อาจก่อให้โปรตีนในเยี่ยวเพิ่มขึ้น ฉี่มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเยี่ยวบ่อยครั้งในตอนการคืน


สารที่เป็นพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก อย่างเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองลิเทียม พิษต่างๆอาทิเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสง ยาพารา ตัวอย่างเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID ฯลฯ
โรคที่เกิดจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเขยื้อนมาตันได้ในระบบทางเท้าปัสสาวะ และก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น แนวทางการอักเสบทำให้เกิดการบวมของเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการรักษาก็จะทำให้เกิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับและก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตต่ำลง ภาวการณ์ไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต และ Calices ทำให้มีการอุดกั้นของเยี่ยว การสั่งสมของน้ำเยี่ยว ทำให้มีการเกิดแรงดันในกรวยไตมากขึ้น และก็เป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย มะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอุดกันของระบบฟุตบาทฉี่ และส่งผลให้เกิดไตบวมน้ำตามมา

  • อาการโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้องรังโดยมากทำให้ไตไม่ดีเหมือนปกติทั้งสองข้าง ในช่วงแรกคนป่วยมักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปๆมาๆกขึ้น อาจมีอาการต่างๆเนื่องด้วยไตดำเนินการไม่ปกติก่อให้เกิดการคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินและของเสียในเลือด ได้แก่ ปริมาณเยี่ยวลดน้อยลง ความดันโลหิตสูงขึ้น ซีดเผือด อ่อนล้าง่ายขึ้น ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้อ้วก นอนไม่หลับ คันเรียกตัว มีอาการบวมที่หน้า ขา แล้วก็ลำตัว ความรู้สึกตัวลดน้อยลง หรือมีลักษณะอาการชัก เป็นต้น


ซึ่งอาการโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกมาจากเลือดได้เท่าไหร่ โดยในคนทั่วไปจะมีค่านี้อยู่ราว 90-100 มิลลิลิตร/นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการชี้ให้เห็นแน่ชัด แม้กระนั้นรู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา อย่างเช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในช่วงแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ราวๆ 90 มล./นาที ขึ้นไป แม้กระนั้นอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวะโปรตีนรั่วออกมาปนเปในเลือดหรือในปัสสาวะ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตลดลง แต่ว่ายังไม่มีอาการใดๆบอกให้เห็นนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียงแค่ 60-89 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆก็ตามแสดงออกมาให้มองเห็น เว้นเสียแต่ค่า eGFR ที่ต่ำลงอย่างสม่ำเสมอ โดยในระยะนี้จะแบ่งได้เป็น 2 ระยะย่อยเป็นระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที และระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มล./นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของคนไข้จะค่อยแสดงในเวลานี้ นอกจากค่า eGFR จะลดลงเหลือเพียง 15-29 มิลลิลิตร/นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีเยี่ยวออกมากและปัสสาวะบ่อยมากตอนค่ำ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย ไม่อยากอาหาร น้ำหนักตัวต่ำลง อ้วก อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดศีรษะ ตามัว ท้องเดินหลายครั้ง ชาตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นสาเหตุส่งผลให้เกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยน) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบอิดโรย สะอึก กล้ามเป็นตะคิวบ่อย ใจสั่นหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก มีลักษณะอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะรอบดวงตา ขา แล้วก็เท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกป่วยหนักเนื้อสบายตัวตลอดเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของสภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกจากคนป่วยจะมีลักษณะอาการคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวการณ์โลหิตจางที่รุนแรงขึ้น รวมทั้งบางทีอาจตรวจเจอการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่ภาวการณ์กระดูกบางรวมทั้งเปราะหักง่าย ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันเวลาก็อาจจะเสียชีวิตได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคความดันเลือดสูง
  • คนที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจ
  • คนที่รับประทานยาบางประเภทต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเหลือเกิน อย่างเช่น ยาปฏิชีวนะบางจำพวก เป็นต้นว่า Tetacyclines, Amphoteracin B อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งยาแก้ปวด เช่น ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates ฯลฯ
  • กรรมวิธีรักษาโรคไตเรื้อรัง การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังมีดังนี้  การประเมินอัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร  Cockcroft-gault หรือสูตร Modification  of Diet in Renal Disease (MDRD) การคาดการณ์ปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ โดยใช้แถบตรวจปัสสาวะ  (Dipstick  Test) เมื่อแถบตรวจวัดผลประโยชน์ 1 บวกขึ้นไป ควรตรวจฉี่รับรองจำนวนโปรตีนด้วยการประเมินค่ารูปร่างของโปรตีนต่อครีเอตำหนินิน  การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจตะกอนปัสสาวะ  (Urine Sediment)

หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง และก็เม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการอุดตัน มีนิ่ว และมี Polycystic Kidney Disease และยังมีการวิเคราะห์แยกโรคที่ทำได้ทางสถานพยาบาลจากอาการและอาการแสดงของโรค รวมถึงตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และก็ระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์อื่นๆการทำงานของตับ และก็ X-ray หัวใจ และตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
                การดูแลและรักษาไตวายเรื้อรัง แม้สงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆและก็บางรายอาจต้องทำการเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากไตเพื่อส่งไปตรวจด้วย โดยการดูแลรักษานั้นจะแบ่งได้ 2 ตอนใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วย คือ โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำรักษา แต่จึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งหมอบางทีอาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรือบางทีอาจนัดหมายมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าค่าประเมินอัตราการกรองของไตลดน้อยลงเยอะขึ้นเรื่อยๆ) รวมทั้งโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตปฏิบัติงานต่ำลงอย่างยิ่ง คนเจ็บจะต้องได้รับการรักษาหลายๆแนวทางร่วมกันเพื่อเกื้อกูลอาการให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อรอการปลูกถ่ายไต และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งได้
การดูแลและรักษาที่มูลเหตุ ถ้าหากคนป่วยมีสาเหตุกระจ่าง หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกนั้นยังจะต้องรักษาภาวการณ์ไม่ปกติต่างๆที่มีสาเหตุมาจากสภาวะไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับคนไข้ไตวายเรื้อระยะท้าย (มักหรูหรายูเรียไนโตรเจนรวมทั้งระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 รวมทั้ง 10 มิลลิกรัม/ดล. เป็นลำดับ) การรักษาด้วยยาจะไม่เป็นผล คนเจ็บควรต้องได้รับการดูแลรักษาด้วยถูล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ร่วมกันหลายวิธี ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายบางทีอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แม้กระนั้นก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ออกจะแพงอยู่ ทั้งนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เนื่องจากการล้างไตจะมีผลข้างๆหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อ้วก ทั้งยังการล้างไตบางแนวทางบางทีอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนไข้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ก็เลยจำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยรวมทั้งตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับผู้ป่วยเยอะที่สุด)
การปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนป่วยโรคไตเรื้อรังระยะท้ายบางราย หมออาจพินิจพิเคราะห์ให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไต ซึ่งแนวทางลักษณะนี้นับว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในตอนนี้ เพราะถ้าการเปลี่ยนถ่ายไตได้ผลลัพธ์ที่ดีก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเสมือนคนปกติและก็มีอายุได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม การปลูกถ่ายไตก็เป็นวิธีการรักษาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ มีราคาแพง รวมทั้งจะต้องหาไตจากเครือญาติสายตรงหรือผู้สงเคราะห์ที่มีไตกับเนื้อเยื่อของผู้เจ็บป่วยได้ ซึ่งไม่ใช่ง่าย ทั้งยังปริมาณของไตที่ได้รับการให้ทานก็ยังมีน้อยกว่าคนที่รอคอยรับการบริจาค ผู้ป่วยจึงอาจจะต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตถัดไปเรื่อยๆจนกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้ว่าจะได้รับการล้างไตแล้ว แม้กระนั้นลักษณะของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้เจ็บป่วยต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไตแค่นั้น) ยิ่งไปกว่านั้น คราวหลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันแต่ละวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่

  • การติดต่อของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากสภาวะที่ไตปฏิบัติงานผิดปกติแล้วก็เป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและก็จากสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะติดตามการดูแลและรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด ควรจะรับประทานยาและก็ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่สมควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยากินเอง เนื่องจากว่ายาบางอย่างอาจมีพิษต่อไตได้ ยิ่งกว่านั้น คนป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้
  • จำกัดปริมาณโปรตีนที่กินไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดปริมาณของ ไข่ นม และก็เนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) แล้วก็ทานข้าว เมล็ดธัญพืช ผักแล้วก็ผลไม้ให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ
  • จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณเยี่ยวต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ราว ๘๐๐ มล./วัน) ดังเช่น ถ้าผู้เจ็บป่วยมีปัสสาวะ ๖๐๐ มล./วัน น้ำที่ควรได้รับพอๆกับ ๖๐๐ มิลลิลิตร + ๘๐๐ มิลลิลิตร (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มิลลิลิตร/วัน)
  • จำกัดปริมาณโซเดียมที่รับประทาน หากมีลักษณะอาการบวมหรือมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน ควรงดอาหารเค็ม งดเว้นใช้เครื่องปรุง (อย่างเช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกประเภท) ผงชูรส ยากันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู (ดังเช่น ขนมปังสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดอง หนำเลี๊ยบ)
  • จำกัดจำนวนโพแทสเซียมที่รับประทาน หากมีปัสสาวะน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรหลีกเลี่ยงของกินที่มีโพแทสเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะโคน มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ ฯลฯ


ในรายที่หรูหราความดันเลือดสูง ควรจะลดความดันเลือดให้เข้าขั้นน้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการรับประทานอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย แล้วก็รับประทานยาจากที่หมอชี้แนะอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าขั้นใกล้เคียงธรรมดา โดยเฉพาะในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะต้นๆก็เลยจะสามารถป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ ผู้เจ็บป่วยควรได้รับการดูแลรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เช่น รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินเยี่ยว รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น นอกจากนั้นคนป่วยโรคไตเรื้อรังควรจะได้รับการพิสูจน์เลือดแล้วก็ปัสสาวะเป็นระยะ เพื่อประเมินหลักการทำงานของไต รวมทั้งรักษาผลแทรกซ้อมที่เกิดขึ้นจากโรคไตเรื้อรัง

  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กดูว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน แล้วก็โรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเป็นจะต้องรักษาอย่างจริงจังแล้วก็ต่อเนื่องจนกระทั่งสามารถควบคุมระดับความดันเลือด ระดับน้ำตาลแล้วก็กรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ  เมื่อเป็นโรคติดโรคทางเท้าฉี่ (ได้แก่) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แขนวมไตอับเสบ) หรือมีสภาวะอุดกันฟุตบาทปัสสาวะ (ตัวอย่างเช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) ต้องทำรักษาให้หายสนิท ควรจะรับการตรวจสุขภาพขั้นต่ำปีละครั้ง รวมถึงการตรวจเลือดและปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง หลบหลีกการรับประทานอาหารรสเค็ม หลบหลีกการใช้ยาแล้วก็สารที่มีพิษต่อไต ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ไตจะเสื่อมสมรรถภาพกระทั่งเป็นไตวายได้ เป็นต้นว่า ยาแก้ปวดข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ แล้วก็ยาปฏิชีวนะบางจำพวก หลีกเลี่ยงการกลั้นเยี่ยวนานๆเพราะว่าทำให้เชื้อโรคลงไปยังกระเพราะฉี่ รวมทั้งเกิดการอักเสบ เลี่ยงการสูบยาสูบ
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกเลือดบำรุงไตให้ย้ำไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก    ใบบัวบกนับว่ามีสาระโดยตรงสำหรับคนที่เป็นโรคไต ด้วยเหตุว่ามีสารสำคัญหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือดโดยตรง ดังเช่น สามเตอพีนอยด์(อะซิเอตำหนิวัวไซ) ช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นสำหรับในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของฝาผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ช่วยลดความดันเลือดสูง       ใบบัวบกจึงมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในผู้ป่วยโรคไตได้อย่างดีเยี่ยม ผู้ที่ดื่มน้ำใบบัวบกนอกเหนือจากการที่จะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายเส้นโลหิตนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเส้นเลือดฝอยมากยิ่งขึ้น ร่างกายจะสามารถจับออกซิเจนอิสระได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกเลือดไปในตัว เห็ดหลินจือ คุณครูคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำสรรพคุณของเห็ดหลินจือมาทดลองรักษาคนไข้โรคไต ปรากฏว่าช่วยลดปริมาณไข่ขาวในเยี่ยวได้ รวมทั้งช่วยชะลออาการไตเสื่อมเจริญ    ปัญหาของผู้เจ็บป่วยโรคไต เป็นจะมีสารที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบจะลดต่ำลง จากการศึกษาพบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างยอดเยี่ยม  สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตดื่มเป็นประจำจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เนื่องจากว่าช่วยลดการอักเสบข้างใน ตลอดจนเป็นยาขับเยี่ยวอ่อนๆช่วยขับฉี่ที่คั่งค้างอยู่ภายใน สลายนิ่วและสิ่งอุดตัน ช่วยลดไขมันในเส้นโลหิต ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างได้ เก๋ากี้ฉ่าย    คนที่มีความดันเลือดสูงดื่มเสมอๆจะช่วยลดความดันโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับคนเจ็บโรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสเลือด ช่วยซึมซับน้ำตาล ช่วยขับปัสสาวะ ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง

  • Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
  • K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
  • ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
  • Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
  • National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/
  • Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure: The JNC 7 Report. JAMA 2003; 289:2560.
  • ผศ.นพ.สุชาติ อินทรประสิทธิ์.โรคไต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 9.คอลัมน์โรคน่ารู้.มกราคม.2523
  • Whaley-Connell, A. T. (2008). Diabetes mellitus in ckd: Kidney early evaluation program(KEEP) and national health and nutrition and examination survey (NHANES) 1999-2004.American Journal of Kidney Diseases, 5
บันทึกการเข้า