รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน-เเละ สมุน  (อ่าน 518 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


โรความดันโลหิตสูง (Hypertension)

  • โรคความคันโลหิตสูง คืออะไร ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิต คือ แรงกดดันเลือด ที่เกิดจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การประมาณความดันโลหิตสามารถทำโดยใช้เครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิด แม้กระนั้นประเภทที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป ดังเช่น เครื่องตวงความดันเลือดมาตรฐานจำพวกปรอท เครื่องตวงความดันเลือดดิจิตอลชนิดอัตโนมัติ ค่าของความดันโลหิตมีหน่วยเป็น มม.ปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงดันเลือด ขณะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวด้านล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือดขณะหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันเลือดที่ถือว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท

    ด้วยเหตุดังกล่าวโรคความดันเลือดสูง ก็เลยคือโรคหรือสภาวะที่แรงกดดันเลือดในหลอดเลือดแดงมีค่าสูงยิ่งกว่าค่ามาตรฐานขึ้นอยู่กับแนวทางการวัด โดยถ้าวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงกว่าหรือเท่ากับ 140 มม. ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และ/หรือความดันเลือดตัวด้านล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท อย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ว่าถ้าเกิดเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันโลหิตตัวบนสูงยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 135 มิลลิเมตรปรอทแล้วก็/หรือความดันเลือดตัวล่างสูงยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 85 มิลลิเมตรปรอทเป็นต้น ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556คนประเทศไทยมีอาการป่วยเป็นโรคความดันเลือดเกือบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน รวมทั้งเจอป่วยไข้ราย ใหม่เพิ่มแทบ 1 แสนคน จำนวนร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวเนื่องจากไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่เจ็บไข้แล้วพบว่ามีเพียงแต่ 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีการกระทำน่าห่วงองค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคความดันเลือดสูงเป็น 1 ในต้นสายปลายเหตุสำคัญ ที่ทำให้ราษฎรอายุสั้น ทั่วโลกมีคนที่เป็นโรคความดันเลือดสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบจะ 8 ล้านคน เฉลี่ยประมาณนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 เจอในวัย ผู้ใหญ่รวมทั้งคาดว่า ในปีพุทธศักราช2568 มวลชนวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกจะป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • สาเหตุของโรคความดันเลือดสูง ความดันเลือดสูงแบ่งแยกตามต้นสายปลายเหตุการเกิด แบ่งออกเป็น 2 จำพวก คือ
  • ความดันเลือดสูงประเภทไม่เคยรู้ปัจจัย (primary or essential hypertension) เจอได้ราวปริมาณร้อยละ95 ของปริมาณคนแก่โรคความดันโลหิตสูงทั้งหมดทั้งปวงส่วนมากเจอในคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไปและเจอในผู้หญิงมากกว่าเพศชาย ตอนนี้ยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุที่แจ่มแจ้งแต่ว่าอย่างไร ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการวัดและก็รักษาโรคความดันเลือดสูง ของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวข้องแล้วก็ส่งเสริมให้กำเนิดโรคความดันโลหิตสูง อย่างเช่น กรรมพันธุ์ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการทานอาหารที่มีรสเค็มจัดการไม่บริหารร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ความเคร่งเครียดอายุรวมทั้งมีประวัติครอบครัวเสี่ยงต่อโรคหัวใจและก็เส้นโลหิตซึ่งความดันเลือดสูงประเภทไม่ทราบต้นเหตุนี้เป็นปัญหาสำคัญที่จำต้องให้การวิเคราะห์รักษาแล้วก็ควบคุมโรคให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความดันโลหิตสูงประเภททราบมูลเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยประมาณจำนวนร้อยละ5-10 ส่วนมากมีปัจจัยมีสาเหตุมาจากการมีพยาธิภาวะของอวัยวะต่างๆในร่างกายโดยจะส่งผลทำให้มีการเกิดแรงดันเลือดสูงโดยมาก อาจกำเนิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความไม่ปกติของระบบประสาทความแตกต่างจากปกติของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคท้องเป็นพิษการเจ็บของศีรษะยา แล้วก็สารเคมีเป็นต้น โดยเหตุนั้นเมื่อได้รับการรักษาที่ปัจจัยระดับความดันเลือดจะต่ำลงเป็นปกติและก็สามารถรักษาให้หายได้


ฉะนั้นก็เลยสรุปได้ว่า โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จะไม่มีมูลเหตุ การควบคุมระดับความดันโลหิตก้าวหน้า จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และก็การตายจากโรคระบบหัวใจ แล้วก็เส้นโลหิตลงได้

  • อาการโรคความดันเลือดสูง ความสำคัญของโรคความดันโลหิตสูงเป็น เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ และก็ที่เป็นโรคเรื้อรังที่ร้ายแรง (ถ้าไม่สามารถที่จะควบคุมโรคได้) แต่มักไม่มีอาการ แพทย์บางคนจึงเรียกโรคความดันโลหิตสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ทั้งนี้จำนวนมากของอาการจากโรคความดันเลือดสูง เป็นอาการจากผลข้างเคียง ตัวอย่างเช่น จากโรคหัวใจ และก็จากโรคเส้นเลือดในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง อาทิเช่น อาการจากเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นต้นเหตุ ดังเช่นว่า โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง


อาการและอาการแสดงที่พบมาก คนป่วยที่มีความดันเลือดสูงน้อยหรือปานกลางไม่พบอาการแสดงชี้เฉพาะที่แสดงว่ามีภาวการณ์ความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ การวินิจฉัยมักพบได้จากการที่ผู้เจ็บป่วยมาตรวจตามนัดหรือพบมากร่วมกับที่มาของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับคนป่วยที่หรูหราความดันโลหิตสูงมากมายหรือสูงในระดับร้ายแรงและก็เป็นมานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ยังไม่เคยได้รับการรักษาหรือรักษาแต่ไม่บ่อยนักหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องสมควรมักพบมีลักษณะ ดังนี้

  • ปวดศีรษะพบได้ทั่วไปในผู้ป่วยที่หรูหราความดันโลหิตสูงรุนแรง โดยลักษณะของอาการปวดศีรษะมักปวด ที่รอบๆกำดันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตื่นนอนในตอนเช้าต่อมาอาการจะเบาๆดียิ่งขึ้นจนถึงหายไปเองภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงและก็บางทีอาจพบมีอาการอาเจียนคลื่นไส้ตาพร่ามัวด้วยโดยพบว่าลักษณะของการปวดหัวกำเนิด จากมีการเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะมากในช่วงช่วงเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วเนื่องจากในช่วงเวลาค่ำคืนขณะหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น ก็เลยทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้เส้นเลือดทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะในสมองขยายขนาดมากขึ้นเรื่อยๆจึงเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนศีรษะ (dizziness) เจอเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ
  • เลือดกา ทายใจไหล(epistaxis)
  • หอบขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบไม่ได้แสดงถึงการมีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่อาจเจอร่วมได้แก่ลักษณะการเจ็บอกชมรมกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นโลหิตหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากภาวการณ์ความดันโลหิตสูงที่เป็นมานานๆ


ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้ามีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่เป็นระยะเวลานานๆจึงอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความเสื่อมภาวะถูกทำลายรวมทั้งอาจเกิดภาวะเข้าแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูง ในผู้เจ็บป่วยโรคความดันเลือดสูงบางรายบางทีอาจไม่เจอมีลักษณะหรืออาการแสดงอะไรก็ตามแล้วก็บางรายอาจ พบอาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังต่อไปนี้

  • สมองความดัน เลือดสูงจะทา ให้ผนังหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะครึ้มตัวรวมทั้งแข็งภายในเส้นเลือดตีบแคบรูของเส้นเลือดแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงสมองต่ำลงแล้วก็ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วครั้งชั่วคราวผู้เจ็บป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจึงได้โอกาสกำเนิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลปกติ


นอกเหนือจากนั้นยังมีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมคนป่วยจะมีอาการไม่ดีเหมือนปกติของระบบประสาทการรับทราบความทรงจำต่ำลงแล้วก็บางทีอาจร้ายแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตถึงร้อยละ50 และส่งผลทำให้ผู้ที่มีชีวิตรอดเกิดความพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรังจะมีผลทา ให้ผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจครึ้มตัวขึ้นปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจลดลงหัวใจห้องล่างซ้ายทำงานหนักมาขึ้น จะต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต่อต้านแรงกดดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นด้วยเหตุนั้น ในระยะเริ่มต้นกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับตัวจากสภาวะความดันโลหิตสูงโดยหัวใจบีบตัวมากขึ้น เพื่อให้สามารถต้านกับแรงต้านทานที่มากขึ้นเรื่อยๆและมีการขยายตัวทำให้เพิ่มความหนาของผนังหัวใจห้องล่างซ้ายทำให้มีการเกิดสภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) แม้ยังไม่ได้รับการดูแลและรักษาแล้วก็เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถที่จะขยายตัวได้อีก จะมีผลให้หลักการทำงานของหัวใจไม่มี
สมรรถนะเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและก็เสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันโลหิตเรื้อรังมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงไตครึ้มตัวและก็แข็งตัวขึ้น เส้นโลหิตตีบแคบลงนำมาซึ่งการทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของจำนวนเลือดไปเลี้ยงไตลดลงประสิทธิภาพการกรองของเสียต่ำลงแล้วก็ทา ให้มีการคั่งของเสียไตหมดสภาพ รวมทั้งขายหน้าขายตาที่เกิดภาวะไตวายแล้วก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ มีการเล่าเรียนพบว่าคนเจ็บโรคความดันโลหิตสูงประมาณร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยภาวะไตวาย
  • ตา คนป่วยที่มีสภาวะความดันเลือดสูงรุนแรงรวมทั้งเรื้อรังจะมีผลให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังหลอดเลือดที่ตาดกตัวขึ้นมีแรงดัน ในเส้นเลือดสูงขึ้นมีการเปลี่ยนของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตาตีบลงเส้นเลือดฝอยตีบแคบอย่างเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่จอตาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นต่ำลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวและมีโอกาสตาบอดได้
  • เส้นโลหิตภายในร่างกาย ความดันโลหิตสูงจากแรงต้านทานหลอดเลือดส่วนปลายมากขึ้นผนังหลอดเลือดดกตัวจากเซลล์กล้ามเรียบถูกกระตุ้น ให้เจริญรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นจากมีไขมัน ไปเกาะฝาผนังเส้นเลือดทำให้เส้นโลหิตแดงแข็งตัว (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนของฝาผนังเส้นโลหิตหนาและตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตรวมทั้งตาลดลงทา ให้เกิดภาวะแทรกของอวัยวะดังที่ได้กล่าวมาแล้วตามมาไดแก้โรคหัวใจและก็
เส้นโลหิตโรคหลอดเลือดสมองและก็ไตวายเป็นต้น

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคความดันโลหิต ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคความดันเลือดสูง ดังเช่น กรรมพันธุ์ จังหวะมีความดันโลหิตสูง จะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน เพราะว่าก่อกำเนิดการอักเสบ ตีบแคบของเส้นเลือดต่างๆรวมถึงเส้นโลหิตไต โรคอ้วน และก็น้ำหนักตัวเกิน เพราะเหตุว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคเบาหวาน รวมทั้งโรคหลอดเลือดต่างๆตีบจากสภาวะไขมันเกาะผนังหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง ด้วยเหตุว่าจะมีผลถึงการสร้างเอ็นไซม์และฮอร์โมนที่ควบคุมความดันเลือดดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว โรคนอนแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) สูบบุหรี่ เพราะพิษในควันบุหรี่ก่อให้เกิดการอักเสบ ลีบของเส้นเลือดต่าง และเส้นโลหิตไต รวมทั้งหลอดเลือดหัวใจ การติดเหล้า ซึ่งยังไม่รู้จักแจ่มแจ้งถึงกลไกว่าทำไมดื่มสุราแล้วจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง แม้กระนั้นการศึกษาต่างๆได้ผลตรงกันว่า คนที่ติดสุรา จะนำมาซึ่งการทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดา และก็ได้โอกาสเป็นโรคความดันเลือดสูง ถึงราวๆ 50%ของผู้ติดสุราทั้งหมด กินอาหารเค็มสม่ำเสมอ สม่ำเสมอ ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการออกกำลังกาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวาน ผลข้างเคียงจากยาบางจำพวก อย่างเช่น ยาในกรุ๊ปสเตียรอยด์
  • กรรมวิธีรักษาโรคความดันเลือดสูง การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงวิเคราะห์จากการที่มีความดันเลือดสูงตลอดเวลา ซึ่งตรวจพบต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรจะห่างกัน 1 เดือน แต่ถ้าหากว่าตรวจพบว่าความดันเลือดสูงมากมาย (ความดันตัวบนสูงยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวข้างล่างสูงยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดปกติของลักษณะการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็ถือว่าวินิจฉัยเป็นโรคความดันเลือดสูง แล้วก็จำต้องรีบได้รับการรักษา แพทย์วินิจฉัยโรค   ความดันโลหิตสูงได้จาก ประวัติอาการ ประวัติความเป็นมาเจ็บไข้ได้ป่วยในสมัยก่อนและก็ตอนนี้ เรื่องราวกิน/ใช้ยา การตรวจวัดความดันโลหิต (ควรวัดที่บ้านร่วมด้วยถ้ามีเครื่องไม้เครื่องมือ เนื่องจากบางเวลาค่าที่วัดพอดีโรงพยาบาลสูงขึ้นยิ่งกว่าค่าที่วัดได้ที่บ้าน) เมื่อวิเคราะห์ว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรจะตรวจร่างกาย และส่งไปตรวจอื่นๆเพิ่มเติมอีกเพื่อหาต้นสายปลายเหตุ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ยิ่งกว่านั้น ต้องตรวจค้นผลกระทบของความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆยกตัวอย่างเช่น หัวใจ ตา แล้วก็ไต อาทิเช่น ตรวจเลือดมองค่าน้ำตาลและก็ไขมันในเลือด ดูหลักการทำงานของไต และค่าเกลือแร่ภายในร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมองแนวทางการทำงานของหัวใจ รวมทั้งเอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเพิ่มอีกต่างๆจะขึ้นอยู่กับอาการผู้เจ็บป่วย และก็ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
ชมรมความดันโลหิตสูงที่เมืองไทย ได้แบ่งระดับความร้ายแรงของความดันเลือดสูง ดังต่อไปนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
ผู้ที่มีความดันเลือดสูงควรควบคุมระดับความดันเลือดให้น้อยกว่า 140/90 มม.ปรอทรวมทั้งใน คนที่มีภาวะเสี่ยงควรจะควบคุมระดับความดันเลือดให้ต่ำลงมากยิ่งกว่า 130/80 มม.ปรอท แล้วก็ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิตปกป้องความพิกลพิการแล้วก็ลดการเกิดภาวการณ์แทรกฝึกต่ออวัยวะแผนการที่สำคัญของร่างกายเช่นสมองหัวใจไตและตารวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับเพื่อการรักษารวมทั้งควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมี 2 วิธีเป็นการดูแลและรักษาใช้ยารวมทั้งการดูแลรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือกรรมวิธีเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิต
การรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) วัตถุประสงค์ในการลดความดันเลือดโดยการใช้ยาคือการควบคุมระดับความดันโลหิตให้ลดน้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยลดแรงต้านทานของเส้นโลหิตส่วนปลายและเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในคนป่วยโรคความดันโลหิตสูงก็เลยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละรายและควรจะใคร่ครวญต้นเหตุต่างๆดังเช่นว่าความรุนแรงของระดับความดันโลหิตปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้สำหรับในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงสามารถแบ่งได้ 7 กรุ๊ปดังนี้
ยาขับเยี่ยว  (diuretics) เป็นกลุ่มยาที่นิยมใช้ในผู้เจ็บป่วยที่มีการดำเนินการของไตแล้วก็หัวใจผิดปกติ ยากลุ่มนี้ดังเช่น ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) มันข้นลาโซน (metolazone)
ยาต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่ศีรษะจิตใจแล้วก็เส้นโลหิตแดงเพื่อยับยั้งการตอบสนองต่อประสาทซิมพาธิว่ากล่าวกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงและความดันเลือดลดน้อยลง ยาในกลุ่มนี้ เป็นต้นว่า โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะคราวโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์กีดกันตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายเส้นเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินมากขึ้นยากลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่น แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) เป็นต้น
ยาต้านทานแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยับยั้งการเคลื่อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามเนื้อผนังเส้นเลือดคลายตัวอาจจะส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง อย่างเช่น ยาเวอราปามิวล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิปีน (nifedipine)
ยาต้านทานอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต่อต้านโพสไซแนปติเตียนกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) รวมทั้งออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดส่วนปลายทำให้เส้นเลือดขยายตัว ยาในกลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่น พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนซินสำหรับการเปลี่ยนแปลงแองจิโอเทนสินวันเป็นแองจิโอเทนซินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้อย่างเช่นอีทุ่งนาลาพริล (enalapril)
ยาขยายเส้นโลหิต (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเรียบที่อยู่บริเวณเส้นเลือดแดงทำให้กล้ามคลายตัวรวมทั้งยาต้านทานทางในผนังหลอดเลือดส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้เป็นต้นว่าไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลและรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิต (lifestylemodification)  เป็นการกระทำสุขภาพที่จำเป็นต้องปฏิบัติเสมอๆบ่อยเพื่อลดความดันเลือด และก็ป้องกันภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญคนป่วยโรคความดันเลือดสูงทุกราย ควรจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลรักษาด้วยยา ผู้ป่วยควรจะมีความประพฤติปฏิบัติผลักดันสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ดังนี้ การควบคุมของกินรวมทั้งควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดของกินที่มีเกลือโซเดียม  การบริหารร่างกาย การงดสูบบุหรี่ การลดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์  การจัดการกับความเคร่งเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก ภาวะแรงดันเลือดในหลอดเลือดสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน โดยเหตุนั้นโรคความดันเลือดสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันเลือดสูง เปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
  • การลดความอ้วนในคนที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกชี้แนะว่าในตอนแรกควรจะลดน้ำหนัก ขั้นต่ำ 5 กก. ในผู้เจ็บป่วยความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดปริมาณโซเดียม (เกลือ) ในอาหาร ลดโซเดียมในอาหาร เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดจำนวนแอลกอฮอล์ หรือจำกัดจำนวนแอลกอฮอล์ไม่กำเนิด 20 – 30 กรัมต่อวันในผู้ชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในผู้หญิง


จากการศึกษาอาหารสำหรับผู้เป็นโรคความดันเลือดสูงเราชอบได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นของกินที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ แล้วก็ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน และก็ไขมันอิ่มตัวในของกิน
ตารางแสดงตัวอย่างอาหาร DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน




 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
บริหารร่างกาย การบริหารร่างกายสำหรับคนที่มีความดันโลหิตสูง ควรจะบริหารร่างกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกซิเจน) คือ การบริหารร่างกายที่มีการเคลื่อนโดยตลอดในตอนระยะเวลาหนึ่งของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆซึ่งเป็นการใช้ออกซิเจนสำหรับการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นโลหิต อย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นรถจักรยาน ฯลฯ ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกวัน อย่างต่ำวันละ 30 นาที หากไม่มีสิ่งที่ไม่อนุญาต
                บริหารคลายเครียด การจัดการผ่อนคลายความเคลียดในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลแล้วก็หลักจิตวิทยามีอยู่ 2 แนวทาง
-              เพียรพยายามเลี่ยงเหตุหรือภาวะที่จะทำให้เกิดความเคร่งเครียดมากมาย
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตน ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
รับประทานยาแล้วก็รับการดูแลรักษาสม่ำเสมอ รับประทานยาตามหมอสั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา รวมทั้งเจอหมอตามนัดทุกครั้ง ไม่สมควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตัวเอง สำหรับคนป่วยที่ทานยาขับฉี่ ควรจะรับประทานส้มหรือกล้วยบ่อยๆ เพื่อตอบแทนโปแตสเซียมที่สูญเสียไปในฉี่รีบเจอแพทย์ข้างใน 1 วัน หรือ รีบด่วน มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้  ปวดศีรษะมาก อ่อนล้าอย่างมากกว่าปกติมากมาย เท้าบวม (อาการโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลม (อาการจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งจำต้องเจอหมอเร่งด่วน) แขน โคนขาแรง กล่าวไม่ชัดเจน ปากเบี้ยว อ้วก อาเจียน (อาการจากโรคเส้นเลือดสมอง ซึ่งต้องเจอแพทย์เร่งด่วน)

  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคความดันโลหิตสูง สิ่งจำเป็นที่สุดที่จะคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอีกทั้งประเด็นการรับประทาน การบริหารร่างกายโดย

    -              ควรควบคุมน้ำหนัก
    -              ทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบอีกทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่สมควร เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารประเภทไม่หวานมากมายให้มากมายๆ
    -              บริหารร่างกาย โดยออกเป็นเวลายาวนานกว่า 30 นาที และออกเกือบทุกวัน
    -              ลดจำนวนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์
    -              พักผ่อนให้เพียงพอ
    -              รักษาสุขภาพจิต รวมทั้งอารมณ์
    -              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมทั้งตรวจวัดความดันเลือด เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี ต่อไปตรวจสุขภาพบ่อยตามหมอ และพยาบาลเสนอแนะ
    -              ลดของกินเค็ม หรือเกลือสมุทร น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) ทานอาหารจำพวกผัก และก็ผลไม้มากเพิ่มขึ้น
    คำแนะนำสำหรับการลดการบริโภคเกลือแล้วก็โซเดียม :-
    เลือกซื้อผัก ผลไม้รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนวิธีการสำหรับเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋อง ผักดองแล้วก็อาหารสำเร็จรูป
    ถ้าหากต้องเลือกซื้ออาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรจะอ่านฉลากของกินทุกหน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับพสกนิกรทั่วๆไปควรจะบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักและก็เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงอาหารให้สะอาด เพื่อชำระล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือและก็เครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศและก็สมุนไพรที่มีจำนวนโซเดียมต่ำ ตัวอย่างเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหยี แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือและเครื่องปรุงรสต่างๆเป็นต้นว่า ซอส  ซีอิ๊วขาวแล้วก็น้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อลองอาหารก่อนรับประทาน ฝึกฝนการกินอาหารที่มีรสชาติพอเหมาะพอควร ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด
บันทึกการเข้า