รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเบาหวาน-อาการ-สาเหตุ-วิธีรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 470 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


เบาหวาน(Diabetes Mellitus)

  • โรคเบาหวานเป็นยังไง คำนิยามของเบาหวาน สมาคมโรคเบาหวานที่สหรัฐอเมริกาบอกความหมายเบาหวานไว้ คือ โรคเบาหวานเป็นกรุ๊ปโรคทางเมตะบอลิซึมที่ออกอาการ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นผสมมาจาก ความไม่ปกติของการหลั่งอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของอินซูลิน หรือทั้งคู่อย่าง ภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง จะเป็นผลให้มีการเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย ในระยะยาวเกิดโรคแทรกซ้อนและทำให้การขายหน้าขายตาที่ ของอวัยวะที่สำคัญหลายอวัยวะสถานที่ทำงานล้มเหลวโดยเฉพาะ ตา ไต ระบบประสาท หัวใจแล้วก็เส้นเลือด

    ความเป็นมาเบาหวาน เบาหวาน มีหลักฐานปรากฏในกระดาษขว้างปิรุสของอียิปต์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่โบราณสูงที่สุดชิ้นหนึ่ง จากการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ากระดาษที่บันทึกเกี่ยวกับหัวข้อนี้นั้นแก่ราวๆ 1500 ปีกลาย คริสตกาล จึงแสดงว่า “เบาหวาน” เป็นโรคที่เก่าแก่มาก รวมทั้งเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีการพบบันทึกของแพทย์ชาวกรีก ชื่อ “อารีอุส” ซึ่งได้บันทึกอาการของโรคที่มีลักษณะของการกัดกินเนื้อหนังรวมทั้งมีการปัสสาวะไม่น้อยเลยทีเดียวในแต่ละครั้ง โดย “อารีอุส” ได้ตั้งชื่อโรคนี้ว่า diabetes insipidus ซึ่งปัจจุบันชื่อเรียกนี้จะซึ่งก็คือโรค “เบาจืดชืด”
    ผ่านไปอีกแทบ 1700 ปี ได้มีคำว่า mellitus เกิดขึ้น mellitus เป็นภาษาลาติน แสดงว่า น้ำผึ้ง ซึ่งประยุกต์ใช้เรียกโรคที่มีลักษณะลักษณะเดียวกันกับ diabetes โดยเป็น “โรคเบาหวาน”
    ในปัจจุบันเบาหวานเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ทวีความร้ายแรงขึ้นทั้งโลก อุบัติการณ์ของเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลของสหพันธ์ เบาหวานนานาประเทศ (International Diabetes Federation) พบว่าผู้ป่วย โรคเบาหวานทั่วทั้งโลก ว่ามีปริมาณ 285 ล้านคน รวมทั้ง ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 438 ล้านคน ที่สำคัญในปริมาณนี้ 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย สำหรับการคาดราวปริมาณประชากรที่เป็น โรคเบาหวานในอนาคตของเมืองไทยโดยสำนักควบคุมโรคไม่ติดต่อ พบว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2563 จะมีปริมาณราษฎรที่เป็นเบาหวานมากขึ้นอยู่ในตอน 501,299 -553,941 คน/ปี และก็ในปี พุทธศักราช 2563 จะมีจำนวนคนไข้โรคเบาหวานราย ใหม่สูงถึง 8,200,000 คน เมืองไทยได้ระบุเบาหวานเป็นโรควิถีชีวิตที่สำคัญหนึ่งในห้าโรคที่กำหนดไว้ในแผนที่มีความสำคัญในการรบสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงวิถีชีวิตไทย พุทธศักราช 2554 -2563 จากการสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2554 พบว่าอัตราป่วยด้วย โรคเรื้อรัง พุทธศักราช 2544 - 2552 มีผู้ป่วยเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก 288 คน เป็น 736 คน ต่อพลเมืองแสนคน
    โดยธรรมดา โรคเบาหวานสามารถ แบ่งออกเป็น 2 จำพวกหลักหมายถึงเบาหวานประเภท 1 (Diabetes mellitus type 1), เบาหวานประเภท 2 (Diabetes mellitus type 2)
    โรคเบาหวานชนิด 1 เบาหวานชนิดจำต้องพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus) รวมทั้งเนื่องจากโรคเบาหวานชนิดนี้พบบ่อยในเด็กแล้วก็วัยรุ่น จึงเรียกได้อีกชื่อว่า เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น หรือ Juvenile diabetes mellitus
    โรคเบาหวานจำพวก 2 โรคเบาหวานในคนแก่ (Adult onset diabetes mellitus) แล้วก็เป็นโรคเบาหวานที่ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งอินซูลิน (Non- insulin-dependent diabetes mellitus)
    ตารางเปรียบโรคเบาหวานประเภทที่ 1 และก็จำพวกที่ 2
         โรคเบาหวานชนิดที่1   เบาหวานชนิดที่
    กลุ่มวัยมักเกิดกับผู้สูงวัยน้อยกว่า 40ปี     มักเกิดกับผู้สูงวัย 40 ปี ขึ้นไป
    น้ำหนักตัวผอมบางอ้วน
    ลักษณะการทำงานของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้           
    1.สามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง
    2.ผลิตได้ธรรมดาแต่อินซูลินไม่มีคุณภาพ
    3.เซลล์ร่างกายต้านทานอินซูลิน
    การแสดงออกของอาการ    กำเนิดอาการรุนแรง             
    1.ไม่มีอาการเลย
    2.มีลักษณะอาการเล็กน้อย
    3.อาการรุนแรง จนกระทั่งช็อกสลบได้
    การดูแลรักษา              เพิ่มปริมาณอินซูลินภายในร่างกาย            บางทีอาจใช้การควบคุมการรับประทานอาหารได้

  • ที่มาของโรคเบาหวาน ในคนปกติในระยะที่มิได้รับประทานอาหารตับจะมีการสร้างน้ำตาลออกมาตลอดเวลาเพื่อเป็นของกินของสมองรวมทั้งอวัยวะอื่นๆในพักหลังกินอาหารพวกแป้งจะมีการย่อยเป็นน้ำตาลเดกซ์โทรสเข้าสู่กระแสโลหิต ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อเพิ่มการนำน้ำตาลไปใช้ทำให้ระดับน้ำตาลน้อยลงมาปกติ ในผู้ป่วยเบาหวานที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการขาดอินซูลินหรือดื้อรั้นต่อฤทธิ์ของอินซูลินทำให้ไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ ขณะเดียวกันมีการเผาผลาญไขมันแล้วก็โปรตีนในเนื้อเยื่อมาสร้างเป็นน้ำตาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง จนถึงล้นออกมาทางไตและมีน้ำตาลในฉี่ เป็นที่มาของคำว่า”เบาหวาน”


ระดับน้ำตาลในเลือดคนปกติเป็นเท่าไร
ตาราง ค่าน้ำตาลในเลือด (มิลลิกรัมดล.)
                น้ำตาลในเลือดเมื่องดเว้นของกิน            น้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร
คนปกติ               60 – น้อยกว่า 100               น้อยกว่า 140
สภาวะมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน       100 – น้อยกว่า 126             140 – น้อยกว่า 200
เบาหวาน   126 ขึ้นไป              200 ขึ้นไป
เพราะฉะนั้นเบาหวาน ก็เลยมีเหตุที่เกิดจากความแตกต่างจากปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ที่มีผลทำให้ระดับ น้ำตาลในกระแสโลหิตสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีลักษณะอาการเกิดขึ้นเพราะว่าการที่ร่างกายไม่อาจจะใช้น้ำตาลได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้อำนาจบังคับของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด สูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลสำหรับในการทำลายเส้นโลหิต ถ้าเกิดมิได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาพการณ์แทรก ซ้อนที่ร้ายแรงได้

  • อาการโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลคนธรรมดาจะอยู่ในช่วง 60-99 มิลลิกรัม/ดล. ก่อนที่จะรับประทานอาหารรุ่งเช้า คนไข้เบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจากค่าธรรมดาไม่มากอาจไม่มีอาการชัดแจ้ง ต้องกระทำตรวจเลือดเพื่อการวิเคราะห์ ถ้าไม่ทราบว่าเป็นเบาหวานมาเป็นเวลานานคนป่วยอาจมาตรวจพบด้วยภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานได้
กลุ่มอาการเด่นของเบาหวานมีดังนี้

  • ปัสสาวะมากยิ่งกว่าปกติ เยี่ยวบ่อยครั้งช่วงเวลาค่ำคืน ด้วยเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นเมื่อเลือดไหลผ่านไตก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำตาลไว้ได้ ก็ถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้เสียน้ำออกไปทางเยี่ยว
  • กินน้ำหลายครั้งและมากกว่าผู้ที่ไม่มีอาการ เนื่องด้วยเยี่ยวมากและหลายครั้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำก็เลยเกิดความต้องการน้ำ
  • หิวบ่อยมากกินจุแม้กระนั้นผอมลง เนื่องจากว่าอินซูลินน้อยเกินไป ไหมสามารถออกฤทธิ์ได้เพียงพอ ก็เลยนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานมิได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหิว รับประทานได้มาก
  • เป็นแผลหรือฝีง่าย และหายยากเนื่องมาจากน้ำตาลสูง เยื่อรอบๆที่เป็นแผลมีความชื้นสูงทำให้ความต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง
  • คันตามตัว ผิวหนังและก็บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการคันกำเนิดได้หลายอย่าง ดังเช่น ผิวหนังแห้งเหลือเกิน หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบบ่อยในคนป่วยเบาหวาน ส่วนการคันรอบๆของลับมักเกิดจาการติดเชื้อรา
  • ตาฟางมัวต้องแปลงแว่นหลายครั้ง การที่ตามัวมัวในโรคเบาหวานสาเหตุอาจกำเนิดได้หลายประการ คือ อาจเกิดขึ้นจากสายตาเปลี่ยน (ตาสั้นลง) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงแล้วก็น้ำตาลไปคั่งอยู่ในตาหรือตามัว อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะต้อกระจก หรือเส้นเลือดในตาอุดตันก็ได้
  • มือชา เท้าชา หมดความรู้สึกทางเพศ เพราะว่าน้ำตาลในเลือดที่สูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม บางคนบางทีอาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้ พบได้บ่อยๆว่าคนไข้ที่ปล่อยปละละเลยไม่รับการวินิจฉัยแล้วก็รับการดูแลรักษาเบาหวานตั้งแต่ต้นจะทราบว่าเป็นโรคโรคเบาหวานก็เมื่อมีโรคแทรกขึ้นแล้ว
  • เบื่ออาหารเมื่อยล้า เหน็ดเหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
  • น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบต้นเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากว่าน้ำหนักเคยมากมายมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถที่จะนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้สุดกำลัง ก็เลยจำต้องนำไขมันรวมทั้งโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ตอบแทน


โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่มักพบในคนป่วยเบาหวาน  ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน                   ไตเป็นอวัยวะที่ปฏิบัติภารกิจกรองสารต่างๆที่อยู่ในกระแสเลือด  มีเส้นโลหิตขนาดเล็กมากบริเวณไต  เมื่อผนังเส้นเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน  แนวทางการทำหน้าที่สำหรับเพื่อการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง  ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในฉี่ คนป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานกว่า  10  ปี มักกำเนิดปัญหาไตเสื่อม  แต่ความรุนแรงและก็ระยะการเกิดจะมากมายหรือน้อยสังกัดการควบคุมน้ำตาลในเลือด
จอประสาทตาเสื่อรวมทั้งต้อกระจกจากเบาหวาน เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการสะสมรวมตัวกันของน้ำตาลบริเวณเลนส์ตา  ทำให้เลนส์ตาบวมรวมทั้งมัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดข้างในดวงตา  ซึ่งสามารถคุ้มครองปกป้องได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด บริเวณเรตินา  เป็นรอบๆที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย  เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองจนแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา  เมื่อรอยรั่วหายก็ดีเกิดแผลเป็นซึ่งจะกีดกั้นการไหลของเลือดข้างในตา  จึงเกิดการแตกหน่อใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยสำหรับในการไหลเวียนของเลือด  แม้กระนั้นเส้นเลือดฝอยที่ผลิออกใหม่จะบอบบาง  แตกง่าย  ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและจอตา  เวลานี้จะพบว่าคนเจ็บมีลักษณะตามัว  เมื่อแผลเป็นเกิดขึ้นมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา  เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว  เกิดการดึงรังแล้วก็ฉีกให้ขาดของเนื้อเยื่อบริเวณส่วนหลังของลูกตา  จะมีลักษณะอาการเสมือนมีม่านดำกางผ่านขวางตาหรือเหมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา  ซึ่งเมื่อมีลักษณะอาการแบบนี้ให้เจอหมอรักษาสายตาในทันทีเพราะเหตุว่าอาจจะส่งผลให้ตาบอดได้
ปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน เป็นโรคสอดแทรกที่พบได้บ่อยในคนไข้เบาหวาน  โดยไม่นำมาซึ่งอันตรายถึงแก่เสียชีวิต แต่ทำให้มีความรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วก็เจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส  เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย   ไม่อาจจะส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้  รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่รอบๆเส้นประสาทเองด้วย ก็เลยทำให้แนวทางการทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง   การรับรู้ความรู้สึกต่างๆลดลง  โดยเฉพาะบริเวณปลายมือปลายเท้า จะเกิดอาการชา  เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก  จึงเกิดอันตรายกับคนป่วยเบาหวาน  เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดแผลได้ง่ายโดยไม่ทันได้รู้สึกตัว  เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามลีบเล็กลง  ทำกิจวัตรที่ทำเป็นประจำได้ลดลง
 นับเป็นโรคสอดแทรกที่รุกรามต่อชีวิตได้  คนเจ็บจะมีลักษณะเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ  กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนถึงกล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด โรคหลอดเลือดหัวใจ มักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากควบคุมเบาหวานไม่ดี  ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย อ้วน ดูดบุหรี่ประวัติความเป็นมาโรคหัวใจในครอบครัว  และเป็นผู้ที่เครียดบ่อยๆ
โรคเส้นเลือดสมองแคบ เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากเส้นเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณสมองตีบตัน  นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการทุพพลภาพหรืออาการร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้  ช่องทางกำเนิดเส้นเลือดสมองตีบจะสูงมากขึ้น ในคนเจ็บเบาหวานที่มีความดันเลือดสูงร่วมด้วย  ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ อ่อนกำลังลงไปกำเนิดอัมพฤกษ์  หรืออัมพาต

  • ปัจจัยเสี่ยง/กรุ๊ปเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน โรคเบาหวามมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ ตัวอย่างเช่น
  • พันธุ์กรรม สาเหตุหลักของคนไข้เบาหวานคือ พันธุ์กรรม พบว่าราวหนึ่งในสามของคนไข้โรคเบาหวานมีประวัติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน ลักษณะยีนของการเป็นโรคเบาหวานเป็นลักษณะทางประเภทบาปที่ตกทอดกันผ่านโครโมโซมในนิวเครียสของเซลล์เหมือนกันกับการสืบทองคำของประเภทกรรมอื่นๆ
  • ความอ้วน ความอ้วนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการเกิดเบาหวานเนื่องจากว่าจะทำให้เซลล์ของร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินลดน้อยลง อินซูลินจึงไม่สามารถพาน้ำตาลไปสู่เซลล์เจริญอย่างเดิม จนถึงกลายมาเป็นภาวการณ์ขาดน้ำตาลในเลือดสูง
  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆย่อมต้องเสื่อมลง และตับอ่อนที่มีบทบาทสังเคราะห์แล้วก็ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ก็จะทำหน้าที่ได้ต่ำลงจึงเป็นต้นเหตุหนึ่งของโรคเบาหวาน
  • ตับอ่อนไม่สมบูรณ์ อีกปัจจัยหนึ่งของเบาหวานอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ตับอ่อนได้รับการกระทบสะเทือนหรือเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลเสียต่อตับอ่อน และอาจเป็นเพราะเนื่องจากโรค เป็นต้นว่า ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากการดื่มสุรามากเกินไป ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องผ่าตัดเอาบางส่วนของตับอ่อนออก หกบุคคลนั้นมีทิศทางว่าจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อตกอยู่ในภาวการณ์นี้ก็จะออกอาการของโรคเบาหวานได้เร็วขึ้น
  • การตำหนิดเชื้อไวรัสบางจำพวก เชื้อไวรัสบางชนิด เมื่อไปสู่ร่างกายแล้วมีผลข้างๆในการเกิดโรคเบาหวาน ยกตัวอย่างเช่น คางทูม หัดเยอรมัน
  • ยาบางประเภท ยาบางชนิดก็มีผลต่อการเกิดโรคเบาหวานสิ่งเดียวกัน อย่างเช่น ยาขับปัสสาวะ ยาคุม เหตุเพราะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นได้ จำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำหมอก่อนใช้ยา โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อจำต้องใช้ยาติดต่อกันนานๆ
  • ภาวการณ์มีครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนหลายอย่างที่รกสังเคราะห์ขึ้นมานั้น มีผลยังยั้งแนวทางการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน คนที่ตั้งครรภ์จึงมีโอกาสที่จะเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มียีนโรคเบาหวานอนยู่ในร่างกาย และก็ภาวะโรคเบาหวานสอดแทรกในระหว่างท้องทำให้เป็นอันตรายอย่างมาก จึงจำต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

กลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวาน

  • ผู้ที่มีลักษณะอาการต่างๆของโรคเบาหวานจากที่กล่าวมา
  • แก่กว่า 40 ปี
  • มีพี่น้องสายตรงเป็นโรคโรคเบาหวาน
  • เคยหรูหราน้ำตาลอยู่ในระยะก่อนโรคเบาหวาน
  • เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • คลอดลูกหนักมากกว่า 4 กก.
  • ความดันโลหิตสูง
  • มีไขมันในเลือดไม่ดีเหมือนปกติ
  • มีโรคเส้นโลหิตตีบแข็ง
  • มีโรคที่แสดงว่ามีภาวการณ์ดื้อรั้นต่ออินซูลินดังเช่นโรครังไข่มีถุงน้ำหลายถุง


ผู้ที่มีภาวะดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วแม้ไม่มีลักษณะของโรคเบาหวานควรจะพิจารณา ถ้าหากระดับน้ำตาลอยู่ในข่ายสงสัยควรจะตรวจซ้ำในระยะ 1 ปี

  • ขั้นตอนการรักษาโรคโรคเบาหวาน เนื่องมาจากราวๆครึ่งเดียวของคนเจ็บเบาหวานไม่มีอาการ ผู้ที่มีการเสี่ยงที่จะกำเนิดโรค เบาหวานจำเป็นต้องตรวจคัดกรองโรคเบาหวานทุกปี แพทย์วินิจฉัยโรคเบาหวานได้จาก ประวัติอาการ เรื่องราวป่วยต่างๆเรื่องราวเจ็บ เจ็บไข้ของคนภายในครอบครัว การตรวจร่างกาย และที่สำคัญคือ การพิสูจน์เลือดเพื่อดูจำนวนน้ำตาลในเลือด แล้วก็/หรือ มองสารที่เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C: Glycated hemoglobin)


ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเป็นวิธีที่จะทำให้พวกเรารู้ได้อย่างชัดเจนว่าหรูหราน้ำตาลสูงแค่ไหน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นเบาหวานไหมค่อนข้างที่จะแน่ๆ ในคนปกติระดับน้ำตาลในเลือดจะคงเดิม เป็นราวๆ 80-110 มก./ดล. โดยระดับน้ำตาลก่อนที่จะกินอาหารรุ่งเช้าจะมีค่าราว 70-115 มก./เดซิลิตร เมื่อทานอาหาร อาหารจะถูกสลายตัวเป็นน้ำตาลกลูโคสและถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแต่จะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังรับประทานอาหารตอนเช้าแล้ว 2 ชั่วโมง แต่ถ้าหากตรวจเจอระดับน้ำตาลที่สูงเกิน 140 มก./ดล. ขั้นต่ำ 2 ครั้งขึ้นไปก็จะถือว่าผู้นั้นเป็น “เบาหวาน”
ตรวจหา ฮีโมโกบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) คือการตรวจจำนวนน้ำตาลที่จับอยู่กับฮีโมโกบินซึ่งเป็นสารโปรตีนในเม็ดเลือดแดงมีบทบาทนำออกซิเจนไปสู่เซลล์ การตรวจด้วยวิธีการแบบนี้จะใช้ข้างหลังการรักษาแล้วเพื่อตรวจผลของการควบคุมโรคมากกว่าตรวจเพื่อหาโรค  กรณีที่ป่วยเป็นเบาหวานในภาวการณ์ที่ควบคุมได้ยากหรือมีโรคแทรกซ้อนควรจะได้รับการตรวจทุกๆ2 สัปดาห์ถ้าอยู่ระหว่างช่วงตั้งครรภ์และก็เป็นเบาหวานควรจะตรวจจำนวนฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hb A1 C) ทุกๆ1 – 2 เดือนเพื่อบอกจำนวนน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในภาวการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายไหม นอกนั้นอาจมีการตรวจอื่นๆประกอบด้วย เป็นต้นว่า  ตรวจระดับน้ำตาลในเยี่ยว กรณีที่วัดระดับน้ำตาลในเยี่ยวและก็พบว่ามีน้ำตาลปนออกด้วยนั้น ย่อยมีความหมายว่าผู้นั้นป่วยเป็นเบาหวาน โดยมองประกอบกับการหรูหราน้ำตาลในเลือดสูงยิ่งกว่า 180-200 มก./ดล. เหตุที่เป็นแบบนี้เหตุเพราะไตของคนเรามีความสามารถกรองน้ำตาลได้ราว 180-200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร  ดังนั้นถ้าหากร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับนี้ ไตก็จะไม่สามารถกรองน้ำตาลเอาไว้ได้น้ำตาลส่วนที่เกินออกมาเหล่านั้นก็จะถูกขับออกมากับเยี่ยว
Glucose tolerance test (GTT) การตรวจด้วย GTT มักทำในเด็กที่ยังไม่มีอาการของโรคเบาหวานแจ่มชัด ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลหลังงดอาหารกับการตรวจเยี่ยวยังไม่พบความไม่ปกติ GTT มักทำในเด็กที่มีครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เป็นโรคเบาหวานหรือตรวจฝาแฝดเสมือน (identical twins) ที่คนหนึ่งเป็นโรคโรคเบาหวานแล้ว
การดูแลรักษาโรคค่อยหวน ตอนนี้โรคเบาหวานมีแนวทางการรักษา 4 วิถีทางประกอบกันคือ  การฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายโดยตรง  การใช้ยาเม็ดควบคุมน้ำตาลในกระแสโลหิต การควบคุมอาหาร การบริหารร่างกาย
การดูแลรักษาโดยการฉีดอินซูลิน การใช้อินซูลินในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 1 โรคเบาหวานประเภทที่ 1 มีเหตุที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างพอเพียง โดยทั่วไปหมอมักกำหนดให้ฉีดอินซูลินไปสู่ร่างกายวันละ 2 ครั้ง การใช้อินซูลินในคนไข้เบาหวานชนิดที่ 2  ในผู้เจ็บป่วยเบาหวานจำพวกที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงทำหน้าที่ผลิตอินซูลินได้ แต่ว่าร่างกายกลับต้านอินซูลินหรืออินซูลินที่ได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอทำให้ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ จุดมุ่งหมายของการดูแลและรักษาโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 ในตอนนี้ ก็เลยมุ่งเน้นไปที่การลดระดับน้ำตาบในกระแสเลือดทั้งยังในตอนก่อนและก็หลังรับประทานอาหารเพื่อคุ้มครองป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดแดง
การดูแลและรักษาโดยการใช้ยา ยารักษาโรคเบาหวาน ยาที่ใช้สำหรับการรักษาเบาหวานนั้น แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มเป็น ยาที่มีผลในการกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งปริมาณอินซูลินมากเพิ่มขึ้น เป็นต้นว่า Sulfonylureas (Chlorpropamide, Acetazolamide, Tolazamide, Glyburide หรือ Glipizide) โดยการทำหน้าที่ลดจำนวนน้ำตาลในเลือด ด้วยการกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินในจำนวนมากขึ้น ยาที่ส่งผลในการยั้งการเผาไหม้คาร์โบไฮเดรตในลำไส้ ตัวอย่างเช่น Alpha-Glycosides inhibitors (Acarbose รวมทั้ง Meglitol) ชวยชะลอกรรมวิธีการยอยแล้วก็ดูดซมน้ำตาลและ แปงในลําไสซึ่งจะมีผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหลังมื้ออาหาร ยาที่มีผลสำหรับการลดการสร้างเดกซ์โทรสในตับและก็เพิ่มการใช้น้ำตาลเดกซ์โทรส ยกตัวอย่างเช่น Biguanide (Metformin) เป็นยาที่ช่วยลดปริมาณการสร้างเดกซ์โทรสจากตับและก็ช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นลักษณะการทำงานของอินซูลินซึ่งผลิตโดยตับอ่อน ยาที่ปฏิบัติภารกิจลดภาวะการต้านอินซูลินภายในร่างกาย ดังเช่น ยาในกลุ่ม Thiazolidine diones  Thiazolidinediones (Rosiglitazone รวมทั้ง Pioglitazone) ยาชนิดนี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตับอ่อน แต่ปฏิบัติหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพแนวทางการทำงานของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมา การควบคุมของกิน การควบคุมอาหารชนิดแป้ง แล้วก็น้ำตาล เป็นการช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี และแม้ทำควบคู่ไปกับการใช้ยาด้วยและจะมีผลให้กำเนิดความสามารถ/ประสิทธิผลสำหรับในการรักษาโรคเบาหวานได้ดิบได้ดียิ่งขึ้น
การดูแลและรักษาโดยการออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ เช่น  มีการใช้พลังงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีการดำเนินการของปอดและหัวใจมากขึ้น มีการปรับระดับฮอร์โมนหลายชนิด ความเคลื่อนไหวพวกนี้จะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับเหตุหลายชนิด อาทิเช่น ระยะเวลาของการบริหารร่างกาย ความหนักเบาของการบริหารร่างกาย ภาวการณ์โภชนาการรวมทั้งภาวะความสมบูรณ์ของปอดแล้วก็หัวใจ

  • การติดต่อของโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคในระบบเมตาบอลิซึมภายในร่างกายจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยเบาหวาน พฤติกรรมการบริโภค เลือกบริโภคอาหารให้ครบ 5กลุ่ม โดยคำนึงถึงพลังงานที่ได้จากของกินคร่าวๆจากคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)ประมาณ 55 - 60%โปรตีน (เนื้อสัตว์) โดยประมาณ 15-20%ไขมัน โดยประมาณ 25% คนที่มีน้ำหนักตัวมากมายน่าจะจำเป็นต้องลดปริมาณการรับประทานลง โดยบางครั้งอาจจะค่อยๆลดน้อยลงให้เหลือเพียงครึ่งเดียวของปริมาณที่เคยกินปกติ และเพียรพยายามงดเว้น อาหารมันรวมทั้งทอด ทานอาหารที่มีกากใยมากเพื่อช่วยในการถ่าย. หลีกเลี่ยงการรับประทานเล็กๆน้อยๆและทานอาหารไม่ตามกำหนด บากบั่นรับประทานอาหารในปริมาณที่เป็นประจำกันในทุกมื้อ แม้มีลักษณะเกี่ยวกับโรคไตหรือความดันเลือดสูง ควรเลี่ยงอาหารรสเค็ม ควบคุมเรื่องการกินอาหารแม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะปกติและจากนั้นก็ตาม งดบริโภคของกินต่างๆพวกนี้ น้ำตาลทุกประเภท รวมถึงน้ำผึ้ง ผลไม้กวนชนิดต่างๆของหวานเชื่อม ของหวานต่างๆผลไม้ที่มีรสหวานมากๆน้ำหวานประเภทต่างๆขนมทอดกรอบหรือชุบแป้งทอด ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ กินยาให้ถูกต้องครบสมบูรณ์ ไม่ขาดยา รู้จักผลกระทบจากยาโรคเบาหวาน และการดูแลตนเองที่สำคัญเป็นสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ รักษาสุขลักษณะเสมอ เนื่องจากว่าคนป่วยจะติดเชื้อต่างๆได้ง่าย จากเบาหวานเป็นสาเหตุที่ทำให้มีภูมิต้านทานต้านโรคน้อยลง รักษาสุขภาพเท้าเสมอ เลิกสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่เพิ่มจังหวะเกิดผลข้างๆของเบาหวาน เลิกเหล้า หรือจำกัดสุราให้เหลือต่ำที่สุด เนื่องจากเหล้าอาจมีผลต่อยาที่ควบคุมโรคเบาหวานรวมทั้งโรคต่างๆทำให้ควบคุมโรคต่างๆได้ยาก ไม่ซื้อยากินเอง และไม่ใช้สมุนไพรเมื่อกินยาโรคเบาหวาน เพราะว่าบางทีอาจต่อต้านหรือเพิ่มฤทธิ์ของยาโรคเบาหวาน กระทั่งอาจก่อให้เป็นผลข้างๆจากยาเบาหวานที่รุนแรงได้ ดังเช่น ผลต่อไต หรือภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ ฉีดวัคซีนปกป้องโรคต่างๆตามหมอแนะนำ ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่พบหมอรักษาตาเป็นประจำตามหมอเบาหวานและก็หมอรักษาสายตาแนะนำ เพื่อการวินิจฉัย รวมทั้งการดูแลรักษาภาวการณ์โรคเบาหวานขึ้นตาแม้กระนั้นเนิ่นๆคุ้มครองตาบอดจากเบาหวาน เจอหมอตามนัดหมายเสมอ หรือรีบพบหมอก่อนนัดหมาย เมื่อมีลักษณะอาการต่างๆไม่ดีเหมือนปกติไปจากเดิม


เป้าหมายการควบคุมของคนเจ็บโรคเบาหวาน ตามคำแนะนำของสมาคมเบาหวานที่สหรัฐฯ
                เป้าหมาย
น้ำตาลก่อนที่จะกินอาหาร (มิลลิกรัม/ดล.)
น้ำตาลหลังอาหาร
บันทึกการเข้า