นกยุงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pavo muticus Linnaeusจัดอยู่ในสกุล Prasianidaeมีชื่อสามัญว่า Burmese peafowl หรือ green peafowlในประเทศไทยพบ ๒ จำพวกย่อยเป็นนกยูงใต้ (Pavo muticus muticus Linnaeus) พบทางภาคใต้ตั้งแต่คอคอดกระลงไป แล้วก็นกยูงเหนือ (Pavo muticus imperator Delacour) ซึ่งพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก นกยูงใต้มีขนาดเล็กกว่านกยูงเหนือ หนังบริเวณหูและแก้มของนกยูงใต้มีสีเหลืองสดกว่า
ชีววิทยาของนกยูงนกยุงเป็นนกจำพวกไก่ฟ้าขนาดใหญ่ ความยาวของตัววัดจากปลายปากถึงปลายหางราว ๑๒๐ – ๒๑๐ เซนติเมตร เพศผู้มีหงอนเป็นพู่สูง และมีแผ่นหนังที่หน้าสีฟ้าสลับกับสีเหลืองเห็นได้ชัด ขนตามตัวมีสีเขียวเป็นประกายแววชำเลืองสีน้ำเงินบนปีกรวมทั้งสีทองแดงทางข้างๆลำตัว ดูเป็นลายเกล็ดแพรวพราวไปทั้งตัว ขนปีกบินสีน้ำตาลปนแดง ขนหุ้มโคนหางมีสีเขียวยื่นยาวออกมา มีดวงกลมที่แต้มด้วยสีฟ้าและสีน้ำเงิน(ดวงกลมนี้ทางยาเรียกว่า แววนกยูง) ส่วนตัวภรรยามีลักษณะคล้ายตัวผู้ แต่ว่าขนมีสีเหลือบเขียวน้อยกว่า แล้วก็มีประสีน้ำตาลเหลืองอยู่ทั่วๆไป ขนหุ้มโคนหางไม่ยื่นยาวเหมือนตัวผู้ นกประเภทนี้ออกหากินตามหาดทรายรวมทั้งสันทรายขอบสายธารในตอนเวลาเช้าตรู่ถึงบ่าย รับประทานเมล็ดพืชและก็สัตว์เล็กๆเป็นของกิน แล้วบินกลับไปเกาะบนยอดไม้สูงๆเหมือนเคยอยู่เป็นฝูงเล็กๆ๒ – ๑๐ ตัว และก็สืบพันธุ์ในช่วงพฤศจิกายนถึงม.ย. ขนหุ้มโคนหางของเพศผู้จะก้าวหน้าเต็มที่ในตุลาคม และก็จะผลัดขนนั้นในราวกุมภาพันธ์ ทำรังที่กอต้นกกหรือกอต้นอ๋อริมสายธาร ออกไข่สีขาว ๒ – ๕ ฟอง
สมุนไพร นกยูงถูกใจอาศัยตามริมสายธารในป่าดงดิบแล้งและก็ป่าผลัดใบผสม มีเขตการแพร่กระจายจากภาคเหนือจากภาคเหนืออินเดียไปทางตะวันออก ผ่านพม่า ตอนใต้ของจีน ไทย ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย และชวา เคยเจอมาทั้งประเทศที่ระดับความสูงน้อยกว่า ๙๐๐ เมตร นอกจากบริเวณที่ราบสูงภาคกึ่งกลาง แต่ว่าปัจุบันจำนวนประชาชนนกยูงลดลงกระทั่งอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ไปธรรมชาติ รัฐบาลประกาศให้นกยูงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองป้องกันจำพวกที่ ๑ นกยูงอีกชนิดหนึ่งคือนอกยูงประเทศอินเดีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pavocristatus Linnaeus เป็นนกยูงอินเดียเป็นสีน้ำเงิน รวมทั้งขนที่หงอนบนหัวแผ่เป็นรูปพัด
ผลดีทางยาแพทย์แผนไทยรู้จัก ใช้แววนกยูงรวมทั้งดีชูยูงเป็นยา ดังที่มีบันทึกเอาไว้ใน พระตำราปฐมจินดาร์ ๓ ขนาน ดังต่อไปนี้๑.แววนกยูง เอามาปิ้งไฟให้เหลืองกรอบก่อน แล้วจึงใช้เป็นเครื่องยา เช่น ที่ใช้ใน “ยากวาดเจีนรไนเพชร์”ขนานหนึ่ง รวมทั้ง “ยากวาดทรางสกอทรางกระตัง” อีกขนานหนึ่ง ดังนี้ ยากวาดชื่อเจีรไนเพ็ชร์ ขนานนี้ ท่านให้เอา มูลแมลงสาบคั่ว ๑ รากดินคั่ว ๑ หนังกระเบนเผา ๑ น้ำประสานทองสตุ ๑ แววนกยูงเผา ๑ ศีร์ษะงูเห่า ๑ กระดองปูทเล ๑ กระดองปูนา ๑ กระตังมูตร ๑ เปลือกไข่ฟัก ๑ ลิ้นทะเล ๑ ผลเบ็ญกานี ๑ กำมะถันแดง ๑ เบี้ยผู้เผา ๑ หมึกหอม ๑ ชาดก้อน ๑
ชะมดเชียง ๑
อำพัน ๑ ทองคำเปลว ๑๐ แผ่น ๑ รวมยา ๑๙ สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน ทำเป็นจุณ บดปั้นแท่งไว้ ละลายน้ำมะนาวกวาดทรางกะแหนะ หายยอดเยี่ยมนักรวมทั้ง ยากวาดทรางสกอทรางกระตัง ขนานนี้ ท่านให้เอา แววนยูงเผา ๑ หางปลาช่อนเผา ๑ มูลแมลงสาบเผา ๑ หัวตะใคร้ ๑ เปลือกแมงดา ๑ ตรีกฏุก ๑ หญ้ายองไฟ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ เกลือสินเธาว์ ๑
ดอกผักคราด ๑
กระเทียม บดปั้นแท่งไว้กวาดทรางสกอทรางกระตังหายดีนัก ยาลางขนานบางทีอาจใช้ “หางนกยูงเผา” แม้หนังสือเรียนระบุแบบนั้น ให้เป็น “ขนหางนกยูงเพศผู้” ที่มี “ แวว” อยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น “ยากวาดแก้ทรางขโมยทรางเพลิง|” ขนานหนึ่งในพระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ เช่นเดียวกัน ดังนี้ ขนานหนึ่งเอา
มูลแมลงสาบ ๑
เขากวาง ๑ หางนกยูงเผา ๑ หวายตะค้า ๑
พริกไทย ๑ หัวกระเทียม ๑ เข้าไหม้ ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ทำผงก็ได้ ทำแท่งก็ได้แก้ลิ้นกุมาร
๒.ดีนกยูง เป็นพิษมาก แล้วก็มีที่ใช้ร่วมกับดีสัตว์อื่นๆ สำหรับแทรกเป็นกระยาตัวอย่างเช่นใน “ยาแสนผสานทองคำ” ดังต่อไปนี้ ยาชื่อแสนประสานทอง ขนานนี้ท่านก็เอา ชะมด ๑ ชะมดเช็ด ๑ เอาสิ่งละเฟื้อง
พิมเสน ๑ สลึง ๒ สลึง กรุงเฉมา ๑
อำพัน ๑
ดอกบุนนาค ๑ น้ำประสารทองคำ ๑ ลิ้นทเลปิ้งไฟ ๑ เอาสิ่งละ ๒ สลึง ตรีกฏุก ๑ โกฐ ๙ ผลจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑
กระวาน ๑
กานพลู ๑ จันทน์ทั้งสอง ๑
กฤษณา ๑ กระลำภัก ๑
ชะลูด ขอนดอก ๑ เปราะหอม ๑ ผลราชดัด ๑ ผลสารพันพิษ ๑ พระยารากขาว ๑
ปลาไหลเผือก ๑ เหม็นตุมกาทั้งยัง ๒ คุคะ ๑ มหาสดำ ๑ มหาละลาย ๑ รายย่อม ๑ รากไคร้เครือ ๑ หวานว่านกีบม้า ๑
อบเชยเทศ ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท ทองคำเปลว ๒๐ แผน รวมยา ๖๑ สิ่งนี้ ทำให้เป็นจุน แล้วเอา
งูเหลือม ๑
ดีจรเข้ ๑
ตะพาบน้ำ ๑
ดีหมูเถื่อน ๑
ดีปลาซ่อน ๑
ดีนกยูง ดีทั้ง ๖ นี้แซก เอาน้ำเป็นกระสาย บดปั้นแท่งไว้แก้พิษทรางแลแก้ไข้สันนิบาต ละลายน้ำดอกไม้รับประทาน หากจะแก้พิษฝีดาษ พิษฝีดวงเดียว พิษงูร้าย ละลายเหล้ารับประทานหาย ทุกอย่างประสิทธิ์ดีนัก