ตะพาบตะพาบ (mud turtle หรือ soft-shelled turtle) เป็นสัตว์คลานประเภทหนึ่งจัดอยู่ในสกุล Trionychidae มีลักษณะเหมือนเหมือนเต่าน้ำจืด แตกต่างตรงที่กระดองบน (carapace) และก็กระดองด้านล่าง (pastron) ไม่มีกระดูกเป็นแผ่นใหญ่ๆแต่ว่ามีหนังห่อหุ้มแทน มีนิ้วยาว ตีนด้านหน้ามีแผ่นพังผืดกว้าง ใช้สำหรับพุ้ยน้ำ มีเล็บเพียง ๒-๓เล็บ คอหดในกระดองได้มิด แต่ว่าสามารถยืดคอออกได้ยาวมากมายเมื่อจะงับเหยื่อหรือกัดศัตรู ตะพาบทุกประเภทเป็นสัตว์น้ำจืดชืด พบได้มากอยู่ตามห้วย บ่อน้ำ หนอง รวมทั้งตาม แม่น้ำลำคลอง ตะพาบน้ำสามารถขุดรูเป็นโพรงสำหรับอาศัย รวมทั้งยืดคอขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ หรือยืดคอออกไปฮุบกุ้งปลาที่ว่ายน้ำผ่าน โดยที่ตัวไม่ต้องออกมาจากโพรงเมื่อน้ำในบึงหนองแห้งลงในหน้าแล้ง ตะพาบจะทำโพรงอยู่ใต้ดินได้นาน จนถึงฝนตกจึงออกมาจากโพรงแล้วก็เริ่มหาสัตว์น้ำต่างๆรับประทานเป็นอาหาร ตะพาบน้ำรับประทานกุ้งแล้วก็ปลาใหม่ๆและก็เนื้อสัตว์ที่เปื่อยยุ่ย สามารถว่ายน้ำไปพบกินไกลๆสำหรับเพื่อการใช้มือจับตะพาบน้ำนั้นจับได้เฉพาะตรงที่ขอบกระดองข้างหน้าของต้นขาข้างหลัง ถ้าหากจับผิดตำแหน่งตะพาบซึ่งมีคอยาวจะยืดคอออกมาเหลียวกัดมือได้
ตะพาบในประเทศไทยตะพาบที่พบในประเทศไทยมีอย่างน้อง ๖ ชนิด คือ๑.ตะพาบปกติ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amyda cartilaginea (Boddart)สมุนไพร ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม เมื่อโตสุดกำลังกระดองบนบางทีอาจยาวได้ถึง ๘๓ เซนติเมตร ขอบข้างหน้าของกระดองบนเป็นปุ่มขรุขระ ขอบกระดองข้างล่างไม่มีสีเด่น ปากค่อนข้างแหลม ที่หนังบนข้างหลังเป็นริ้วเล็กๆนูนขึ้นมาทั่วหลัง ตัวอ่อนมีสีเขียวขี้ม้าแกมเทา บางตัวมีจุดเหลืองๆหรือจุดดำๆขอบเหลือง หัวมีจุดเหลืองๆเป็นจุดใหญ่ทางข้างๆ พอตัวแก่ จุดเหลืองบนข้างหลังมักหายไป จุดที่หัวก็เลือนไป ที่ใต้ท้องของเพศผู้มีสีขาว แต่ที่ใต้ท้องของตัวเมียเป็นสีเทา ตะพาบน้ำจำพวกนี้มีมาก พบทั่วๆไปในแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง ในภาคกลางของเมืองไทย บางทีอาจเจอตามสายธารและห้วยที่ตีนเขา นอกจากนี้ยังพบในภาคใต้ของประเทศพม่า ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย และตามหมู่เกาะมลายู
๒.ตะพาบหัวทื่อ หรือ ตะพาบหัวกบ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni Owenประเภทนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มกำลังมีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๐ เซนติเมตร จมูกสั้น หัวออกจะแบนและเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว ความยาวของหัวกะโหลกหัวใกล้เคียงกับความกว้าง ปากไม่แหลม ขาหน้าสั้น ตีนกว้าง กระดองหลังมีสีเขียวขี้ม้าอมเทามีรูบุบเล็กๆทั่วๆไป มีจุดเหลืองๆกระจายอยู่ทั่วๆไป กระดองด้านล่างสีขาว ในประเทศไทยพบอยู่ตอนใต้ นอกจากนั้นยังพบที่ประเทศ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และก็ภาคใต้ของจีน
๓.ตะพาบน้ำข้างหลังลายกะรัง หรือ ตะพาบน้ำม่านลาย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitra chitra Grayจำพวกนี้กระดองบนออกจะแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มกำลังมีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๒ เซนติเมตร เป็นประเภทที่มีตัวโตที่สุดของเมืองไทยแล้วก็ของโลก จมูกสั้น หัวค่อนข้างจะแบนแล้วก็เล็ก ความยาวของกะโหลกหัวเป็น ๒ เท่าของความกว้าง มีลวดลายบนหนังข้างบน เมื่อยังอายุยงน้อย กระดองบนมีสีเขียวอมเทา มีจุดลายดำเลอะๆพอเพียงแก่เยอะขึ้น รอบๆคอและก็กระดองบนจะมีลวดลายสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเหมือนหินกะรังแต่พอใช้แก่มากมาย ลายสีนี้กลับจางลงไปอีก เจอบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลองในประเทศไทยเขตที่ลุ่มอิระวดีในประเทศเมียนมาร์ ลุ่มแม่น้ำคงคาและก็แม่น้ำสินธุในประเทศอินเดีย
๔.ตะพาบหลังยาว หรือ ตะพาบแก้มแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dogania subplana Geoffreyประเภทนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ยาว ขอบสองข้างออกจะขนานกัน สีเขียวหม่นแกมน้ำตาล ไม่กลมอย่างตะพาบน้ำจำพวกอื่นๆขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบเมื่อโตสุดกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๖ ซม. หัวค่อนข้างจะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ปากแหลม กระดองด้านล่างไม่มีจุดสีดำกระจ่างแจ้ง ที่ข้างคอและก็แก้มมีสีแดงเรื่อๆเจอได้ตามแหล่งน้ำสายธารบนที่สูงทางภาคตะวันตกรวมทั้งภาคใต้ของเมืองไทยยิ่งไปกว่านั้นยังบางทีอาจเจอในประเทศประเทศพม่ามาเลเซีย และฟิลิปปินส์
๕.ตะพาบน้ำไต้หวัน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelodiscus sinensis sinensis Wiegmannชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างแบนขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๕ ซม. กระดองบนมีสีเขียวขี้ม้าหรือสีน้ำตาล กระดองข้างล่างมีจุดสีดำแจ่มแจ้ง และมีสีส้มในระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์ ที่รอบตามีเส้นเล็กๆเป็นรัศมีเป็นตะพาบน้ำชนิดท้องถิ่นของจีน เอามาเลี้ยงเป็นสัตว์อาสิน นิดหน่อยหลุดมาขยายพันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ
๖.ตะพาบหับ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys punctate scutata (Peters)เป็นตะพาบที่พบใหม่และมีขนาดเล็กที่สุดของประเทศไทย เมื่อโตสุดกำลังกระดองหลังบางทีอาจยาวได้ถึง ๑๖ ซม. กระดองข้างหลังโค้ง นูน สีเขียวหม่นหรือสีน้ำตาล สามารถหับหรือปิดกระดองได้ทั้งสิ้น เจอทีแรกรอบๆชายแดนไทยประเทศพม่า แถบจังหวัดตาก เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มีจำนวนน้อยรวมทั้งหายาก
คุณประโยชน์ทางยาตะพาบน้ำที่พบในยาไทยมักหมายถึงตะพาบน้ำปกติ หมอแผนไทยใช้ดีตะพาบ เป็นเครื่องยา แบบเรียนยาสรรพคุณโบราณว่า ดีตะพาบมีรสขม คาวมีสรรพคุณแก้ไข้สันนิบาต แก้พิษรอยดำ แก้โรคตา แล้วก็แก้ลมกองละเอียด (ลมหน้ามืด หน้ามืดลายตา) ในตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์มียาขนานหนึ่งเข้า “ดีตะพาบ” เป็นเครื่องยาด้วยดังนี้น้ำมันภาลาธิไตล ให้เอารากหญ้าขัดหมอน รากขี้เหล็ก รากปะคำไก่ รากปะคำกระบือ รากมัน รากรักขาว รากลำโพงทั้งยัง ๒ รากชุมเห็ด รากฝักส้มป่อย ขมิ้นอ้อย ขิง ข่า ยาทั้งนี้ควรต้มให้ต้ม ควรจะตำให้ตำ เอาน้ำสิ่งละทนาน น้ำมันพรรณผักกาด น้ำมันพิมเสน น้ำมันละหุ่ง น้ำมันงา สิ่งละทนาน หุงให้คงแม้กระนั้นน้ำมัน แล้วจึงเอา ดีตะพาบน้ำ ดีงูงูเหลือม พริกหอม พริกหาง พริกล่อน ฝิ่น สิ่งละสลึง เทียนทั้ง ๕ สิ่งละบาท ๑ บดปรุงลงในน้ำมันไว้ ๓ วัน จึงทาแลนวดแก้พระเส้นอันทพฤกให้หย่อนยาน แลฟกบวม เป็นขั้วเป็นหน่วยแข็งอยู่นั้นให้ละลายออกสม่ำเสมอแลฯ
พระคู่มือปฐมจินดาร์ให้ยาแก้ซางเด็กขนานหนึ่งที่เขา “ดีตะพาบน้ำ” เป็นเครื่องยาด้วยดังต่อไปนี้ขนานหนึ่ง ท่านให้เอาฟันกราม
แรด ๑ กล้วยกรามช้าง ๑ งา
นอแรด ๑ เขี้ยวเสือ ๑ เขี้ยวจระเข้ ๑ เขี้ยวหมู ๑ กระดูกงูทับทาง ๑ โกฏอีกทั้ง ๕ ขมิ้นอ้อย ๑
ไพล ๑
ดีตะพาบ ๑ ดีงูงูเหลือม ๑
พิมเสน ๑ รวมยา ๑๘ สิ่งนี้เอาส่วนเสมอกัน ตำเป็นผงบดปั้นแท่งไว้ ละลายน้ำเหล้า รับประทานแก้ทรางทั้งมวล หาย
Tags : สมุนไพร