รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ เม่น  (อ่าน 499 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด
สัตววัตถุ เม่น
« เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 07:35:20 AM »


เม่น
เม่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จัดอยู่ในตระกูล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒  ชนิด  ดังเช่น
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix  brachyuran  Linnaeus
ชื่อสามัญว่า  Malayan  porcupine
เม่นประเภทนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐  เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว  ๓-๗ กิโล ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันตัว  หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ รวมทั้งไหล่  มีขนแข็ง  สั้น  สีดำ  ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนแล้วก็ปลายสีขาว ตรงกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนเหมือนหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นชนิดนี้ถูกใจออกหากินโดยลำพังในยามค่ำคืน รักสงบ เวลาเจอศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึก [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] แล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วถ้าเกิดหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ และก็ถ้าศัตรูใช้ตีนตะครุบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นเดียวกัน  ได้รับความปวดเจ็บมาก เมื่อศัตรูผละหนีไปแล้ว  เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ เม่นชนิดนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ และกระดูกสัตว์  เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี มีท้องนาน  ๔  เดือน  ตกลุกครั้งละ  ๑ -๓  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนที่อ่อน  แม้กระนั้นเมื่อถูกอากาศด้านนอกขนจะเบาๆแข็งขึ้น  อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างแดนเจอที่มาเลเชียรวมทั้งอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus  macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า  bush-tailed  porcupine
เม่นจำพวกนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง  ๔๐ – ๕๐  ซม. หางยาว ๑๕ – ๒๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕  กิโลกรัม จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งและก็ปลายแหลมมาก  เหมือนหนาม  ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่บริเวณกึ่งกลางข้างหลังขนแบน  มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกลางหางไม่ค่อยมีขน แต่เป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกครึ้มเป็นกระจุก มองเป็นพวง ขนดัตระหนี่ล่าวแข็งและก็คม ส่วนขนที่หัวบริเวณขาทั้ง ๔ และก็บริเวณใต้ท้อง แหลม แม้กระนั้นไม่แข็ง ขาค่อนข้างจะสั้น ใบหูกลมและเล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดตรง ทื่อ และแข็งแรงมากมาย เหมาะกับขุดดิน เม่นชนิดนี้ออกหากินในช่วงเวลากลางคืน  ช่วงเวลากลางวันมักแอบอยู่ในโพรงดิน  ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง  ใช้ขนเป็นอาวุธปกป้อง กินหัวพืช หน่อไม้  เปลือกไม้  รากไม้  ผลไม้  แมลง เขาและก็กระดูกสัตว์  ตกลูกครั้งละ ๓- ๕  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย  ลูกเม่นทารกมีขนอ่อนนุ่ม แต่จะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี เจอในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างถิ่นพบทางภาคใต้ของจีน รวมทั้งที่ลาว เวียดนาม  เขมร มาเลเซีย  และอินโดนีเซีย

ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง  แก้พิษรอยดำ  พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะอาหารของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยทำให้ลำไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระหนังสือปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาใช้ภายนอกตัวเด็ก ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งผอง รวมทั้งจะเป็นไข้อภิฆาฏดีแล้ว  โอปักกะมิกาพาธก็ดีแล้ว ท่านให้เอาใบมะชน คราบเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบนกแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง  บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมโค ทาตัวกุมาร จ่ายตราบาปโทษทั้งสิ้นดีนัก
บันทึกการเข้า