รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรพิกัดเกสรมี เเละรวมทั้ง สมุนไพรอื่นๆ  (อ่าน 481 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด


สมุนไพรพิกัดเกสร
คำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น สื่อความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ บางทีอาจหมายความว่าโครงสร้างที่ใช้ขยายพันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งจัดโชว์อยู่ในวงของดอก เป็นเกสรผู้แล้วก็เกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง ต่อจากนั้นออกมาจะเป็นกลีบดอกไม้และกลีบเลี้ยงตามลำดับ แม้กระนั้นในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ได้แก่ เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้อีกทั้งดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบ เกสรเพศผู้ รวมทั้งเกสรเพศเมีย) (เช่น ดอกกระดังงา ดอกมะลิ ฯลฯ) หรือบางทีอาจเป็นช่อดอกทั้งช่อ (ดังเช่นว่า ดอกลำเจียก )พิกัดเกสรที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัด คือ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ พิกัดเกสรทั้ง ๗ และก็พิกัดเกสร ๙ พิกัดเกสรทั้งยัง ๕ ได้แก่ เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ และดอกสารภี มีคุณประโยชน์ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะแล้วก็เลือด แก้ไข้เพ้อกลุ้มใจ แก้ลมตาลาย แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงครรภ์ เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากมายในยาแก้ลมหน้ามืด ยาหอมบำรุงหัวใจ พิกัดเกสร ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕  โดยมีดอกจำปา และก็ดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีคุณประโยชน์โดยรวมชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสลดและโลหิต แก้ไข้เพพ้อกลุ้ม แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ แก้โรคตาพิกัดเกสรทั้งยัง ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในพิกัดเกสรทั้งยัง ๗ โดยมีดอกลำเจียก และดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
                   
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสร
เครื่องยา                ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของมูลเหตุ สกุล   ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง        Nelumbo nucifera Gaertn.           Nelumbonaceae      เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค           Mesua ferrea L.                Guttiferae           ทั้งดอก
ดอกพิกุล                Mimusops elengi L.         Sapotaceae        ทั้งยังดอก
ดอกมะลิ                Jasminum sambac Ait.   Oleaceae             ทั้งยังดอก
ดอกสารภี              Mamea siamensis (T.and) Kosterm.        Guttiferae           อีกทั้งดอก
ดอกจำปา              Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.)        Magnoliaceae       ทั้งยังดอก
ดอกกระดังงา        Cananga  odorata Hook.f. & Th. Annonaceae      ดอก
ดอกลำเจียก          Pandanus odoratissimus L.f         Pandanaceae     ช่อดอกทั้งยังช่อ
ดอกลำดวน           Melodorum fruiticosum Lour.    Annonaceae      ดอก
เกสรบัวหลวง
เกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงชนิดดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท บัวหลวง ฯลฯ) บัวหลวงเป็นบัวน้ำจำพวกก้านแข็ง (ปทุมชาติ) มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในตระกูล Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า มีกลิ่นหอม รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสร ๕ เกสรอีกทั้งเจ็ดรวมทั้งเกสรทั้งยัง ๙
ดอกบุนนาค
ดอกบุนนาค ได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชจำพวกนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนนิดหน่อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลผสมเทารวมทั้งคละเคล้าแดง มีรอยแตกตื้นๆภายในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบลำพัง เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบของใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ข้างล่างมีรอยเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบครึ้ม ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มม. ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองแขวนเป็นพู่ ดอกออกลำพังๆหรือออกเป็นกระจุก กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อบานเต็มกำลังมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๕-๑๐ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบดอกมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานรวมทั้งเว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีเยอะมากๆ ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ เซนติเมตร ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบหุ้มผล ๔ กาบ มีเม็ด ๑-๒ เม็ด พืชนี้มีเนื้อไม้สีแดงคล้ำ เป็นมันเลื่อม เศษไม้ค่อนข้างจะตรง เนื้อค่อนข้างจะหยาบแข็ง และก็ทนดีเลิศ เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาเจริญ ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้สร้างเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานท้ายหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเมล็ดทำเครื่องแต่งตัว ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอมยวนใจ เย็น รสขมนิดหน่อย ช่วยบำรุงใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยแดง แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด เวียนหัว หน้ามืด ลายตา แล้วก็ว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้ง ๕ และเกสรทั้งยัง ๗ และเกสรทั้งยัง ๙ ยิ่งกว่านั้นส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังคงใช้ประโยชน์ทางยาได้ เป็นต้นว่า รากใช้แก้ลมในลำไส้ เปลือกต้นมีคุณประโยชน์กระจายหนอง และกระพี้แก้เสลดในลำคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุล
ดอกพิกุล เป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในสกุล Sapotaceae พืชประเภทนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางป่า (จังหวัดลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ เซนติเมตร ยาว ๕-๑๕ ซม. วัวนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกคนเดียว หรือออกเป็นกลุ่ม ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันบางส่วน ตกง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมสดชื่นเย็น กลิ่นยังคงอยู่แม้ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้บริบูรณ์มี ๘ อัน และเกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบดอกไม้มี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ ซม. เมื่ออ่อนสีเขียว รวมทั้งสุกมีสีแดงแสด มีรสหวานเล็กน้อย เมื่อต้นพิกุลมีอายุมากมายๆเนื้อไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย ก็เลยไม่นิยมปลูกไว้ในบริเวณบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในแก่นไม้ ทำให้แก่นไม้มีกลิ่นหอมหวน โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านค้ายาสมุนไพรเป็นแก่นไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมหวนฝรั่งเรียก “bullet wood” เพราะเหตุว่าแก่นไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆราวกับรอยกระสุน
ขอนดอก
เป็นเครื่องยาไทย บางทีอาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะหาม(Lagerstroemia calyculata Kurz. วงศ์ Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อราเจริญรุ่งเรืองเข้าไปในเนื้อไม้ แต่โบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะแบกจะมีคุณภาพด้อยกว่า หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น รสจืด มีสรรพคุณบำรุงตับ ปอด และหัวใจ บำรุงทารกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจสดชื่น ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้เจ็บคอและแก้ร้อนใน ตำราสรรพคุณยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสร ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ แล้วก็เกสรทั้งยัง ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมสดชื่นเพื่อทำบุหงา เว้นเสียแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังใช้ผลดีทางยาได้หนังสือเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อน เข้ายาบำรุงเลือด แก้เสลด แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมฝาด เข้ายาบำรุงโลหิต ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้หืด แก้กามโรค
ดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นดอกของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในวงศ์ Oleaceae  หากมีกลีบดอกชั้นเดี่ยวเรียก มะลิลา ถ้าเกิดมีกลีบดอกทับกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แต่ว่าดอกมะลิที่ระบุในตำราเรียนยามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มรอคอยเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ ซม.ยาว ๕-๗ เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าเกิดเป็นพันธุ์ดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ รวมทั้งสีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมยวนใจแรง ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบเป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มกำลังจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แม้กระนั้นจะ ดกในฤดูร้อนแล้วก็ฤดูฝน ตำราคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมยวนใจเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย บำรุงท้อง แก้ร้อนในกระหายน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ และเกสรทั้งยัง ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ประเภทอื่นๆที่มีกลิ่นหอมยวนใจ สำหรับทำบุหงา นอกเหนือจากนี้ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด แพทย์ตามชนบทใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวตูดกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง แล้วก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยแผลเป็น รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำ แก้ปวดปวดศรีษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มาก (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้สลบ ตำพอกหรือแก้เคล็ดลับปวดเมื่อยจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภี
ดอกสารภีได้จากต้นสารภีอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในวงศ์ Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่สำนึกในบุญคุณ (เมืองจันท์) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวรวมทั้งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับทิศทางกัน รูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ เซนติเมตรยาว ๑๕-๒๐ เซนติเมตร โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทื่อๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบดก ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมยวนใจมาก กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมชิดกัน ติดทนรวมทั้งขยายโตตามผล กลีบดอกมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีมากไม่น้อยเลยทีเดียว ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ ซม. เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มเมล็ด
สารภีแนน
สารภีแนน เป็นชื่อถิ่นทางพายัพของพืชที่มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในสกุล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า สารภีทะเล (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) กากะทิง (ภาคกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วๆไป พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดที่กว้างเป็นพุ่มไม้กลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลคละเคล้าเทา ภายในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ ซม. ยาว ๘-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้ากึ่งกลางน้อย ขอบของใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่รวมทั้งขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีจำนวนไม่ใช่น้อย ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๕-๓ เซนติเมตร ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวย่นย่อ เปลือกค่อนข้างครึ้ม แพทย์แผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากคีมจับได้จากเมล็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ และก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องแต่งตัวแบบเรียนสรรพคุณยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมหวน รสขมเย็น แก้โลหิตพิการ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ และก็ยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีไว้ภายในพิกัดเกสรอีกทั้ง ๕ เกสรทั้ง ๗ และก็เกสรอีกทั้ง ๙
ดอกจำปา
ดอกจำปา ได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในสกุล Magnoliaceae พืชประเภทนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนและใบอ่อนมีขน ใบแก่หมดจด ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงอุตสาหะสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ เซนติเมตร ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมยวนใจแรง กลีบ
จำปาดอกขาว
เนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ไปถึงจนถึงเวียดนาม จึงอาจมีการคลายภายในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดและสีของดอกแตกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเหมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ชาวบ้านเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาอายุมากต้นนี้เอง ส่วนวลี ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย อพยพมาตั้งถิ่นฐานต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พ. ศ. ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาว
จำปา เป็นชื่อที่ชาวไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae คนไทยภาคกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ เซนติเมตร ปลายและโคนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงเล็กน้อย เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่รู้ลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ ระทม อันหมายความว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืชสมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า กลีบดอกจำปามีกลิ่นหอม มีรสขม ช่วยทำให้เลือดเย็น กระจายโลหิต อันร้อน ขับปัสสาวะ ขับลม แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงโลหิต ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้หอบหืด และเมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากนั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำดื่มแก้โรคหนองใน ขับระดู ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสเฝื่อนขม ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่นมีรสเฝื่อนขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย
ต้นจำปา ที่ซับจำปา
บริเวณที่ปัจจุบันเป็นบ้านซับจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานถึงแต่ในปัจจุบันถูกชาวบ้านแผ้วถางเป็นพื้นที่ทำกินโดยเฉพาะเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและเรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าซับจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดและชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะศึกษาจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมวิธานพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีรายงานว่าพบที่ใดมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกชนิดว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่ออนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งพันธุกรรมและระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดัง
ดอกกระดังงา เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในวงศ์ Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งก้านแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ เซนติเมตร ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมักจะม้วนหรืออยากเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกแรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย นอกจากนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะพิการเช่นกัน
กระดังงาสงขลา
กระดังงาสงขลา หรือ กระดังงาเบา มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในวงศ์ Annonaceae
 เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและดอกคล้ายต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกเดี่ยวๆ บนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และเป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียก
ดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชชนิดพืชนี้ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยทะเล มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆ กระจายอยู่ทั่วไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็น ๓ เกลียวที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ราว ๒ เมตร ขอบใ
บันทึกการเข้า