วันนี้
ทนายความเชียงใหม่ จะได้นำเสนอ การค้าขายสินค้าไม่มีหลักฐาน แต่ฟ้องร้องได้สำหรับการค้าขายผลิตภัณฑ์นั้น ผลิตภัณฑ์ที่จะนำเสนอในวันนี้เป็นชนิด สังหาริมทรัพย์ โดยปกติแล้ว พวกเราจะการค้าขายสินค้ากับลูกค้าโดยได้มีการส่งผลิตภัณฑ์แล้วเรียกเก็บเงินจากลูกค้า แต่ว่าปรากฏว่า ลูกค้าไม่จ่ายเงินให้แด่คุณทำให้คุณได้รับความเสียหายตามราคาสินค้านั้นๆเนื่องจากว่าบางท่านบางครั้งก็อาจจะกู้หนี้ยืมสินธนาคารมาเพื่อประกอบกิจการ ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แม้กระนั้นเงินดังที่ได้กล่าวมาแล้วปริมาณหนึ่งกลับมาติดอยู่กับ ลูกค้า ก็เลยมีปัญหาอีกว่า ท่านมิได้ลงลายลักษณ์อักษรจำหน่ายสินค้า หรือผลิใบเสร็จให้แก่ลูกค้า หรือ ใบมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า หรือเรียกเงินมัดจำ ทำให้คุณมิได้รับการจ่ายเงินค่าสินค้าจากลูกค่าของท่าน แต่ว่าท่านทราบหรือไม่ว่า การที่ท่านได้ส่งผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าของท่าน ก็สามารถเอามาเป็นหลักฐานในการฟ้องได้ โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ข้อบังคับว่า
มาตรา 456 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย
ซึ่งเคยมีกรณีว่า มีกสิกรขายอ้อยให้แก่นายทุน จำนวนหนึ่ง แต่ว่าไม่ได้รับจ่ายเงินค่าอ้อยทำให้ชาวไร่นั้นได้รับความเสียหายจึงอยากได้ฟ้องร้อง จึงมีปัญหาว่า กสิกรสามารถฟ้องร้องได้หรือไม่ ศาลได้ตัดสินว่า การที่ได้มีการมอบสินค้าให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ยอมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ เพราะมีหลักฐานเป็นการชำระหนี้นิดหน่อยแล้ว โดยเป็นคำพิพากษาคดีดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7735/2555
ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม นอกจะบัญญัติให้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติอีกว่า "...หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว..." ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เช่นกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการซื้อขายต้นอ้อย โจทก์และจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายหรือมีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ แต่ในวันที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ได้ส่งมอบกรรมสิทธิ์ต้นอ้อยให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อันถือได้ว่าโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือส่งมอบต้นอ้อยให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาต้นอ้อยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 115,195 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 112,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 112,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันที่ 31 มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,695 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ศาลฎีกาพิพากษายืน
https://web.facebook.com/nopnapatlawyer/คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
ทนายจังหวัดเชียงใหม่ขอบคุณบทความจาก :
https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/Tags : ทนายเชียงใหม่ , ทนายความ , ที่ปรึกษาทางกฎหมาย