รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สรรพคุณเเละประโชน์ ชุมเห็ดเทศ  (อ่าน 538 ครั้ง)

มม

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 20
    • ดูรายละเอียด
สรรพคุณเเละประโชน์ ชุมเห็ดเทศ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2018, 08:15:45 AM »


ชุมเห็ดเทศ
ชื่อสมุนไพร  ชุมเห็ดเทศ
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก , ลับมืนหลวง , หมากกะลิงเทศ ,หญ้าเล็บมือหลวง (ภาคเหนือ) , ส้มเห็ด (เชียงราย) ,จุมเห็ด (มหาสารคาม) , ชุมเห็ดใหญ่ (ภาคกลาง) , ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ตุ๊ยเฮียะเต่า , ฮุยจิวบักทง (จีน) , ตุ้ยเย่โต้ว (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Senna alata (L.) Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Cassia alata (L.) Roxb. , Cassia bracteata L.f.
ชื่อสามัญ  Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bush
วงศ์  FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideae
ถิ่นกำเนิด
ชุมเห็ดเทศ มีถิ่นเกิดในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา อเมริกาประเทศออสเตรเลีย และเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้บ่อยในประเทศไทย ดังที่ชุ่มชื้น ทุกภาวะดินแต่ว่าไม่ขอบที่ร่มมากมาย พบได้บ่อยทั้งรอบๆที่ราบแล้วก็บนเขาที่มีความสูงไม่เกิน 1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะทั่วไป
ชุมเห็ดเทศจัดเป็นพุ่มไม้ขนาดกึ่งกลาง สูง 1.5-3 เมตร ลำต้นแข็งมีแก่นไม้ ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นแนวขนานกับพื้นดิน กิ่งจะแบออกทางข้างๆ มีขนสั้นนุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงสลับ ใบย่อย 8-20 คู่ ยาว 5-15 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนาน ยาว5-15 เซนติเมตร ปนรูปรี โคนใบมน ปลายใบมน กลม หรือเว้าน้อย ไม่มีต่อม ฐานใบมนไม่เท่ากันทั้งคู่ด้าน ขอบใบเรียบมีสีแดง ศูนย์กลางใบดก ยาวราวๆ 30-60 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาวราว 2 ซม. หูใบรูปติ่งหู สามเหลี่ยม ยาว 6-8 มม. ติดทน ดอกย่อยมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 4 เซนติเมตร ก้านดอกย่อยสั้นมากมาย ใบแต่งแต้มเป็นแผ่นบางๆกลีบเลี้ยงสีเขียวปลายแหลมมี 5 กลีบ กลีบสีเหลืองปลายมนมี 5 กลีบ ลายเส้นที่กลีบดอกเห็นได้ชัด เกสรตัวผู้ยาว ไม่เท่ากัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปแถบ ยาว แบน และหมดจดไม่มีขน ฝักมีปริมาณยาวโดยประมาณ 10-20 เซนติเมตรและกว้างโดยประมาณ 1.5-2 ซม. มีสันหรือปีกกว้าง 4 ปีก ปีกกว้างราวๆ 5 มิลลิเมตรตามความยาวของฝัก ฝักมีผนังกั้น ฝักเมื่อแก่จะเป็นสีดำและก็แตกตามยาว ข้างในฝักมีเม็ดโดยประมาณ 50-60 เม็ด เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยมสีดำ มีผิวขรุขระ มีขนาดกว้างประมาณ 5-8 มม.และก็ยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร
การขยายพันธุ์ ชุมเห็ดเทศสามารถแพร่พันธุ์ได้ 2 แนวทางเป็นการใช้เม็ดแล้วก็การปักชำ แม้กระนั้นส่วนใหญ่จะนิยมแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ดมากกว่าซึ่งมีวิธีการปลูกดังต่อไปนี้
1. การเตรียมดินให้กำจัดวัชพืชแล้วก็เศษวัสดุ พร้อมด้วยไถลูกพรวนรวมทั้งตากดินไว้ 7-15 วัน ต่อจากนั้นใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 2 ตันต่อไร่
2. การเตรียมชนิด ระงับเลือดเม็ดที่แก่จัดแล้วเอามาแช่น้ำไว้ 1 คืน หลังจากนั้นคลุกกับทรายในอัตรา 1: 1-2 แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง รดน้ำให้เปียกแฉะ เก็บในที่ร่ม 1-2 วัน เมล็ดก็จะเริ่มแตกออก
3. การปลูก ถ้าปลูกแบบหยอดหลุมด้วยเม็ดที่เริ่มผลิออก ให้หยอดหลุมละ 5-6 เม็ดให้มีระยะห่างระหว่างต้น และก็ระหว่างแถว 3x4 เมตร เมื่อปลูกเสร็จใช้ผางคลุมบางๆรดน้ำให้เปียก ถ้าเกิดปลูกแบบใช้ต้นกล้าให้น้ำต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดที่แก่ 30 วัน หรือมีใบจริง 5-7 ใบ มาปลูกลงแปลง รดน้ำให้เปียก ปักไม้ค้ำจนกระทั่งไว้และผูกชิดกับต้นกล้าแล้วคลุมโคนต้นด้วยผางและควรรดน้ำให้เปียกแฉะเสมอในช่าง 2 เดือนแรก
ส่วนประกอบทางเคมี ชุมเห็ดเทศมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญประกอบด้วยสารกรุ๊ป Anthraquinone โดยในใบชุมเห็ดเทศ ควรมีสาระสำคัญ Hydroxy-anthracene derives ไม่น้อยกว่า 1.0% w/w (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) อาทิเช่น Aloe-emodin, Chrysophanol , Chrysophanic acid, lsochrysophanol, Physcion glycoside, Terpenoids, Sennoside, Sitosterols, Lectin, Rhein.

คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์

ตำราเรียนยาไทย: ใช้ภายในแก้ท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น สมานธาตุรักษากระเพาะอาหารอักเสบ แก้กษัยเส้น ทำหัวใจให้ปกติขับฉี่ ขับพยาธิ ใช้ภายนอก รักษาฝี แล้วก็แผลพุพอง รักษาขี้กลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง อมบ้วนปาก รักษาผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน เส้นประสาทอักเสบ โดยใช้ส่วนของ ใบ เป็นยาถ่าย ใช้ภายนอกรักษาขี้กลาก แก้แมลงสัตว์กัดต่อย และโรคผิวหนังอื่นๆใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด ใบสด ใช้รักษากลากโรคเกลื้อน ตำพอก รีบหัวฝี ใบรวมทั้งดอก ทำยาต้มกิน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกขับเสลดในรายที่หลอดลมอักเสบ รวมทั้งแก้โรคหืด เมล็ด มีกลิ่นเหม็นเบื่อ รสเอียนนิดหน่อยใช้ขับพยาธิ แก้ตานซาง แก้ท้องเฟ้อ แก้นอนไม่หลับ ฝัก มีรสเบื่อเบื่อ แก้พยาธิ เป็นยาระบาย ขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน ต้นและก็ราก แก้กษัยเส้น แก้ท้องผูก บำรุงหัวใจเปลือกแล้วก็แก่นไม้ ใช้ขับน้ำเหลืองเสีย ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ชุมเห็ดเทศเป็นยาระบายที่ดี เพราะว่ามีอีกทั้งแอนทราควิโนน ซึ่งเป็นยาระบาย แล้วก็แทนนิน ซึ่งเป็นยาฝาดสมาน จึงเป็นยาระบายที่สมานธาตุในตัว และก็ในชุมเห็ดเทศยังมีพฤกษเคมีที่เป็นยาแล้วก็สารต้านทานนุมูลิอิสระสำคัญหลายชนิด โดยมีการทดสอบสารสกัดหยาบจากใบ เปลือกลำต้น ดอก ผล สกัด โดยใช้เอทิลอะสิเตทแล้วก็เมทานอล พบสารฟลาโวนอยด์ แอนทราควิโนน คูมาริน ซาโปนิน แทนนิน เทอร์ปินอยด์ สเตอร์รอยด์ และก็คาดิแอคไกลโคไซด์ แต่ไม่พบสารแอลคาลอยด์ ในทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ และก็พบว่าสารสกัดทั้ง 8 ตัวอย่าง มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ นอกเหนือจากนี้ สารสกัดทั้งยัง 8 ตัวอย่างสารมารถต่อต้านเชื้อ Bacillus subtilis และก็ Staphy-lococcus aureus ได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นสารสกัดเมทานอลจากดอกชุมเห็ดเทศชนิดเดียวเพียงแค่นั้นที่ต้านทานเชื้อ Pseudomonas auroginosa ได้ แต่ว่าไม่มีสารใดที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ E.coli การศึกษาเล่าเรียนการออกฤทธิ์ของ Senna alata (L.) Roxb. หรือชุมเห็ดเทศสำหรับการยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคพบว่าสารสกัดจากชุมเห็ดเทศสามารถยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคได้หลายแบบ ดังเช่น เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และก็ยังมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต่อต้านการก่อยั้งเนื้องอก เป็นยาระบาย ขับฉี่ ลดการอักเสบ แก้ปวดอีกด้วย
แบบ/ขนาดวิธีใช้

อาการท้องผูก ใช้ใบปริมาณ 12-15 ใบย่อย ตากแห้ง คั่ว (ถ้าหากไม่คั่วเสียก่อน จะเกิดอาการข้างเคียง เป็นอาจมีอาการอ้วกอ้วก เมื่อคั่วความร้อนจะช่วยให้สารที่ออกฤทธิ์ทำให้อ้วกอ้วกสลายไป) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำพอสมควร ดื่มครั้งเดียวก่อนกินอาหารช่วงเช้ามืด หรือก่อนนอน หรือใช้ผงใบ 3-6 กรัม ชงน้ำเดือด 120 มล. เป็นเวลา 10 นาที ดื่มก่อนนอน อาจทำเป็นยาลูกกลอนก็ได้ หรือใช้ช่อดอกสด 1-3 ช่อดอก ลวก จิ้มน้ำพริก หรือใช้ดอก 1 ช่อ รับประทานใหม่ๆเป็นยาระบาย รวมทั้งใช้ใบและก็ก้านขนาดใหญ่ ประมาณ 3-5 ช่อ นำมาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน(1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำประมาณ 1/2 ขัน ใส่เกลือพอเพียงมีรสเค็มบางส่วน ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)ครั้งต่อมา รับประทานดอกครั้งละราว 1 ช่อ
การใช้ชุมเห็ดเทศรักษาขี้กลาก เกลื้อน นำใบสดมาตำให้ถี่ถ้วนใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือผื่นคัน หรือบางทีอาจนำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำอย่างถี่ถ้วนเติมน้ำมะนาวบางส่วน ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้ใบสดขยี้ถูนานๆและบ่อยๆตรงบริเวณที่เป็น
รวมทั้งใช้ใบสด 4-5 ใบ ตำรวมกับกระเทียม 4-5 กลีบ แล้วเพิ่มปูนแดงบางส่วน ทาบริเวณที่เป็นซึ่งได้ใช้ไม้ไผ่บางๆฆ่าเชื้อแล้วขูดผิวบริเวณที่นั้นให้มีสีแดง(กรณีขี้กลาก) ทาวันละ3-4 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย รวมทั้งเมื่อหายแล้วให้ทาไปอีก 1 สัปดาห์ หรือจะใช้ใบสดตำแช่เหล้า เอาส่วนสุราทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง กระทั่งจะหาย พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ว่าไม่ค่อยสำเร็จในขี้กลากที่ผมแล้วก็เล็บ
รักษาฝีแผลพุพอง ใช้ใบชุมเห็ดเทศ 1 กำมือ ต้มกับน้ำพอเพียงท่วม เคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 เอามาชะล้างฝีที่แตกแล้ว หรือแผลพุพอง วันละ 2 ครั้งเช้า เย็น ถ้าบริเวณที่เป็นกว้างมากมายใช้สมุนไพร 10-12 กำมือ ต้มกับน้ำใช้อาบเช้าเย็น จวบจนกระทั่งจะหาย
ใช้ใบสดตำพอก เพื่อเร่งให้หัวฝีออกเร็วขึ้น หรือจะใช้ใบผสมกับน้ำปูนใสหรือเกลือหรือน้ำมันตำพอก รักษากลาก แมลงสัตว์กัดต่อย โรคผิวหนัง ยิ่งกว่านั้นยังใช้ใบตำพอกหรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำปูนใสทาหรือผสมวาสลิน ใช้ทำเป็นยาขี้ผึ้งทาได้อีกด้วย
ส่วนยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติที่แนะนำให้ใช้คือ กินทีละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน บรรเทาท้องผูก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเสมอกันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/กิโล ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ปริมาณร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มล. สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 10 และ 20 กรัม/กก. ส่งผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดสอบ ในช่วงเวลาที่สารกลัยวัวไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเรียบในไส้
ฤทธิ์ในการรักษาอาการท้องผูก เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 และก็ 800 มก./กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย และก็เมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 และ 20 กรัม/โล จะทำให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/โล) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 และ 20 กรัม/กิโล) สาร anthraquinone glycoside จากใบเป็นต้นว่า isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, และก็ aloe-emodin มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อจุลชีวิน สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเมทานอล และก็สาร aloe-emodin, rhein emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone และก็ chrysophanol จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราที่ผิวหนังเป็นต้นว่า Epidermophyton floccosum , Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum , T. mentagrophytes และ M. canis เมื่อเทียบกับยา tolnaftate สารสกัดด้วยน้ำและก็เอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะได้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร แต่ว่าสารสกัดจากใบด้วยน้ำและก็เอทานอลไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อยีสต์ น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ที่ความเข้มข้นมากยิ่งกว่า 21.8 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
ผลการวิเคาะห์ทางคลินิก (clinical pharmacology) การเล่าเรียนฤทธิ์สำหรับในการรักษาท้องผูก การเล่าเรียนทางคลินิกแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมระหว่างชงชาชุมเห็ดเทศ มิสท์แอลบา และยาหลอก ในโรงหมอชุมชน 5 ที่ แล้วก็โรงหมอทั่วๆไป 1 แห่ง คนไข้ที่ไม่ขี้ต่อเนื่องกันเกิน 72 ชั่วโมง ปริมาณ 80 ราย แบ่งเป็น 3 กรุ๊ป กรุ๊ปแรก รับยาหลอกเป็นน้ำ เพิ่มสีคาราเมล 120 มิลลิลิตร จำนวน 28 ราย กลุ่มลำดับที่สองรับยามิสท์แอทบา 30 มิลลิลิตร น้ำ 90 มิลลิลิตร จำนวน 28 รายแล้วก็กรุ๊ปที่สามรับน้ำละลายชุมเห็ดเทศ ได้จากการชงผงชุมเห็ดเทศปริมาณ 3-6 กรัม ในถุงกระดาษ แช่ลงไปในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที ปริมาณ 24 ราย คนป่วยทั้ง 3 กรุ๊ปมีลักษณะไม่ได้แตกต่างกัน ได้รับยารับประทานก่อนนอนให้คะแนนจากการอุจจาระไหมอึด้านใน 1 วัน พบว่า ได้ผลอึภายใน 1 วัน จำนวนร้อยละ 18,86 แล้วก็ 83 ตามลำดับ ซึ่งพบว่าผลของกลุ่มชุมเห็ดเทศและมิสท์แอลบาดีกว่ายาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติแต่เจออาการท้องร่วงในกรุ๊ปที่ได้รับมิสท์แอลบามากยิ่งกว่า คนป่วยกลุ่มที่ได้รับชุมเห็ดเทศมีความพอใจมากกว่ายาหลอก สรุป ยาชงชุมเห็ดเทศมีคุณภาพที่ดีสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องผูก
ส่วนอีกการทดสอบหนึ่งพบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในอาหารในขนาดจำนวนร้อยละ 2 รวมทั้ง 10 ของอาหาร แล้วให้หนูแรทกินนาน 4 สัปดาห์ จะพบแผลในลำไส้ ตับ แล้วก็ไต และก็มีระดับฮีโมโกลบินและก็ packed cell volume (PCV) สูงมากขึ้น แต่จำนวนเม็ดเลือดแดงลดลงใน 2 อาทิตย์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำให้หนูแรทรับประทานนาน 14 วัน พบว่าเกิดแผลในตับ เซลล์ตับตายเกลื่อนกลาดเรี่ยราดเรี่ยแล้วก็มีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสารemodin และก็ kaemferol ขนาด
10 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องหนูแรทต่อเนื่องกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มิลลิกรัม สาร rhein ขนาด 70 มก. เข้าท้องนาน 4 วัน พบว่ากำเนิดแผลในตับของหนูทุกกรุ๊ป กลุ่มที่ได้รับ aloe-emodin จะเจอเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกลุ่มหรูหราฮีโมโกลบิน รวมทั้ง PCV น้อยลงข้างใน 14 วัน เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 รวมทั้ง 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะเจอระดับฮีโมโกลบินรวมทั้ง เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันหนูมีลักษณะอาการเบื่อข้าว ซูบซีดและก็น้ำหนักลด
การศึกษาเล่าเรียนในคนไข้ที่เป็นโรคขี้กลากรวมทั้งเกลื้อนสารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์รวมทั้งครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นร้อยละ 20 สามารถรักษาคนเจ็บโรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ได้ดีเสมอกันกับยาขี้ผึ้ง whitfield แม้กระนั้นไม่มีผลรักษาราที่เล็บและก็หนังหัว ยาเตรียมชุมเห็ดเทศในรูปแบบทิงเจอร์แล้วก็ครีม(ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ให้ผลสำหรับในการรักษาคนป่วยโรคกลากโรคเกลื้อนที่ผิวหนังได้เหมือนกันกับยาครีมวัวลไตรมาโซลจำนวนร้อยละ 1 สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มล.) ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน แล้วก็ขา หรือความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ รวมทั้งมือ รวมทั้งความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง ส่งผลรักษาโรคขี้กลากโรคเกลื้อนประเภท Pityraisis versicolor ที่มีต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อรา Malassezia furfur ในผู้ป่วยจำนวน200 คนได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษฉับพลัน พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ในขนาด 15 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แม้กระนั้นมีความเป็นพิษเล็กน้อยเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ แล้วก็เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ85 เข้าทางท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/กิโลกรัมก็ไม่เจอความเป็นพิษ สารสกัดจากใบด้วยน้ำแล้วก็สารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์
โดยขนาดของสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ 50 ที่ทำให้หนูถีบจักรตายจำนวนร้อยละ 50 (LD50) เป็น ขนาดที่ให้ทางปากรวมทั้งทางผิวหนังมากยิ่งกว่า 15 กรัมต่อกิโลกรัมแล้วก็ทางท้อง 8.03 กรัมต่อกิโลกรัม
การทดลองพิษครึ่งเรื้อรังของผงใบชุมเห็ดเทศในหนูขาววิสตาร์ 4 กรุ๊ป กลุ่มละ 24 ตัว (เพศผู้ 12 ตัว เพศภรรยา 12 ตัว) เป็นกลุ่มควบคุมรวมทั้งกรุ๊ปที่ได้รับยาใช้ภายนอกงปากขนาด 0.03 , 0.15 และก็0.75 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน (ซึ่งเปรียบได้กับได้รับ 1 5 แล้วก็ 25 เท่า ของขนาดที่รักษาในคน) ผลเป็น ไม่พบพิษทุกกรุ๊ป มีการเจริญวัยธรรมดาการตรวจทางเลือดวิทยาและวิชาชีวเคมีปกติ ไม่เจอพยาธิสภาพและก็จุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายในที่ไม่ดีเหมือนปกติ
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 เข้าช่องท้องหนูแรทในขนาด 125 มิลลิกรัม/กิโล ไม่เป็นผลทำให้แท้งและไม่พบพิษต่อตัวอ่อนแม้กระนั้นผลต่อการเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนไม่ชัดแจ้ง ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด300ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดสอบแล้วก็มีฤทธิ์เสริม oxytocin
พิษต่อเซลล์ การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปครึ่งเดียว และสารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เซลล์ Vero ตายไปกึ่งหนึ่ง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ในSalmonella typhimurium strain TA98 และพบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 และก็TA100 โดยสำหรับในการออกฤทธิ์อยากได้เอนไซม์จากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

1. ระมัดระวังการใช้ในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 12 ปี ผู้ป่วย inflammatory bowel disease แล้วก็ภาวการณ์ทางเดินอาหารตัน คนชรา หญิงให้นมบุตร เพราะสารmetabolite บางตัวยกตัวอย่างเช่น rhein ถูกคัดหลั่งทางน้ำนม
2. ควรจะใช้ยาระบายเป็นบางโอกาส ไม่สมควรใช้ติดต่อกัน เพราะว่าสารแอนทราควิโนนในใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ทำให้ไส้บีบตัวและก็ขยับเขยื้อนเร็ว ใช้ติดต่อนานจะทำให้ลำไส้คุ้นชินต่อการใช้ยา ถัดไปถ้าเกิดไม่ใช้จะทำให้ไส้ไม่บีบตัวไม่เคลื่อนไหวเกิดท้องผูกhttps://www.disthai.com/
3. การกินยาในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดไตอักเสบ มีเลือดหรือโปรตีนในฉี่มากยิ่งกว่าธรรมดา
4. การใช้สม่ำเสมอนานๆอาจมีผลลดจำนวนเม็ดเลือดแดง และฮีโมโกลบิตและก็อาจส่งผลให้เกิดแผลที่ตับ
5. การใช้สม่ำเสมอในขนาดสูงนานๆอาจกำเนิดระบบการดูดซึมแตกต่างจากปกติ มีการดูดกลับของเหลวลดลง เกิดภาวะระดับโพเทสเซียมรวมทั้งแคลเซียมในเลือดต่ำ
6. ห้ามใช้ในสตรีมีท้อง
7. การใช้ชุมเห็ดเทศในตอนแรกๆอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการไม่พึงประสงค์ ตัวอย่างเช่น ลักษณะของการปวดมวนท้องเนื่องด้วยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่และก็อาจมีอาการคลื่นไส้ ของกินไม่ย่อยรวมทั้งปวดท้องได้
หนังสืออ้างอิง
1. ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.ชุมเห็ดไทย/ชุมเห็ดเทศ.คอลัมน์ สมุนไพรน่ารู้.วารสารแพทย์ประชาชน.เล่มที่ 26 .กรกฎาคม .2524
2. ฉัตรโย สวัสดิไชย,สุรศักดิ์ อิ่มใหม่.ชุมเห็ดเทศ.ยาน่ารู้.นิตยสารศูนย์การเรียนรู้แพทยศาสตร์สถานพยาบาล โรงพยาบาลพระปกเกล้า.ปีที่ 34 ฉบับที่4.เดือนตุลาคม-เดือนธันวาคม.2560 หน้า.352-355
3. ดร.วิทย์ เที่ยงตรงบูรณธรรม.“ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 271-274.
4. เปี่ยม บุณยะโชติ. แบบเรียนโบราณกล่าวถึงโรคเด็กรวมทั้งคุณผู้หญิง. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์เฟื่องอักษร, 2514. หน้า 39.
5. กองศึกษาค้นคว้าด้านการแพทย์. สมุนไพรท้องถิ่น ในตอนที่ 1. กรุงเทพมหานคร: กรมวิทยาศาตร์การแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, 2526. หน้า 34.
6. ดร.นิจศรี เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละระอุปต์. “ชุมเห็ดเทศChumhet Tet)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1 หน้า 108.
7. พระเทวดากระจ่างผมจุก. ตำรายากลางบ้าน. จ.กรุงเทพฯ: สถานที่พิมพ์มงกุฏราชวิทยาลัย, 2524. หน้า 140.
8. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
9. วิทยา บุญวรพัฒน์. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยครั้งในประเทศไทย. หน้า 208.
10. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ กำเนิดดอนแฝก. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสมุนไพรบำบัดรักษาโรคเบาหวาน 150 ประเภท. หน้า 74-75.
11. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ชุมเห็ดเทศ Ringworm Bush”. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. หน้า 75.
12. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ม.อบ..
13. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา. บัญชียาจากสมุนไพร พุทธศักราช 2549 ตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2549 เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติพ.ศ. 2547 (ฉบับที่ 4). จ.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ประชุมสหกรณ์การกสิกรรมที่ประเทศไทยจำกัด, 2549
14. วันดี กฤษณพันธ์ แม้สรวง วุฒิอุดมเลิศเลอ มัลลิกา สามเดชะ สุภาวี อาชวาคม. การศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราของสารแอนทราควิโนนจากใบชุมเห็ดเทศ. การสัมมนาวิชาการวิทยาศาสตร์รวมทั้งเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 24, 19-21 ต.ค. ณ. ศูนย์สัมมนาแห่งชาติสิริกิตติ์ กรุงเทพฯ, 2541.
15. Harrison J, Garro CV. Study on anthraquinone derivatives from Cassia alata L. (Leguminosae). Rev Peru Bioquim 1977;(1):31-2.
16. จินตนา สุทธชนาความรื่นเริง และก็ภาควิชา. ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราของใบชุมเห็ดเทศ. รวมข้อสรุปย่องานค้นคว้าวิจัยการแพทย์แผนไทยและแนวทางการศึกษาเรียนรู้ในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
17. Akah PA. Abortifacient activity of some Nigerian medicinal plants. Phytother Res 1994;8(2):106-8.
18. Plengvidhya P, Suvagondha C. A study of diagnostic contents of leaves of some members in genus Cassia. J Pharm Assoc Siam, Third series 1957;10(1):10-2.
19. เกษร นันทจิต. ฤทธิ์ต้านทานจุลชีวันของใบชุมเห็ดเทศ (Cassia alata Linn.). รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการศึกษาค้นคว้าแห่งชาติ, 2538.
20. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร. ฤทธิ์ต่อต้านจุลชีวันของสารสกัดจากพืชสกุล Cassia sp. รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2543.
21. Thamlikitkul V, Dechatiwonges T, Chantrakul C, et al. Randomized controlled trial of Cassia Alata Linn. for constipation. J Med Assoc Thai 1990;73(4):217-21.
22. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
23. Rao JVLN, Sastry PSR, Poa RVK, Vimaladevi M. Occurrence of kaempferol and aloe-emodin in the leaves of Cassia alata. Curr Sci 1975;44(20):736-7.
24. นาถฤดี สิทธิสมสกุล ทรงพล ชีวะพัฒน์ เอมมนัส หวังหมัด สุบุตรี ไชยราช พัชรินทร์ รักษามั่น จรินทร์ จันทรฉายะ. พิษของใบชุมเห็ดเทศ. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์2534;33(4):145-54.
25. Somchit MN, Reezal I, Nur IE, Mutalib AR. In
บันทึกการเข้า