รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรบุกมีสรรพคุณเเละประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์  (อ่าน 603 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แม้กระนั้นต่างชนิดกัน ซึ่งมีคุณลักษณะและก็สรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็สามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราว 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราว 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกรวมทั้งผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกคุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (จังหวัดปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว แก่ได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นราวๆ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะซึ่งคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นเพาะพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้ชนิดนี้จะเจริญเติบโตในช่วงฤดูฝน และก็จะร่วงโรยไปในช่วงต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบบ่อยขึ้นเองตามป่าราบชายทะเลและก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างชาติบุกคางคกนั้นเป็นพืชท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมแล้วก็มีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นมูกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด ถ้าหากสัมผัสเข้าจะมีผลให้เกิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นของกินนั้นก็เลยจำต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ว่า 1 กรัม ไปจนถึง 35 กิโล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าพบเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและก็ยาวได้ราว 150-180 เซนติเมตร
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินรอบๆของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบแต่งแต้มเป็นรูปห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นรวมทั้งบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางเรือนจำ
ผลบุกคางคก ผลเป็นผลสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นทรงรียาว ขนาดยาวราวๆ 1.2 ซม. ผลมีเป็นจำนวนมากชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดโดยประมาณ 1-3 เม็ด โดยมีสันขั้วเม็ดของแต่เม็ดแยกออกจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
คุณประโยชน์ของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน เป็นพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด (หัว)
ใช้เป็นของกินสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและก็คนเจ็บโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำ โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำกินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสลด ช่วยกระจายเสลดที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน รวมทั้งเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ระดูไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับเมนส์ของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้ฟกช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มความสามารถทางเพศ โดยคุณนิล ปักษา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อ.ลำปลายกนก จังหวัดบุรีรัมย์) แนะนำให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดนำมาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้ห้อยจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนกระทั่งเม็ดบุกหล่นลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วหลังจากนั้นก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลพอสมควรลงไปต้มให้พอเพียงหวาน ต่อจากนั้นทดลองลองมอง ถ้าหากยังมีลักษณะคันคออยู่ก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลเพิ่มและหลังจากนั้นก็ค่อยลองใหม่ หากไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่เคยรู้ล้มใส่เข้าไปด้วยราว 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นรวมทั้งเก็บเอาไว้ในตู้แช่เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก โดยประมาณ 30 นาที จะปวดท้องเยี่ยวโดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำกิน ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถนำมากินได้ ถ้าหากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่กระตุ้นให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะมีผลให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
แนวทางการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก และจากนั้นจึงนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับตัวกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังกล่าวสำหรับในการทำกับข้าวหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เนื่องด้วยวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกคราวหลังการกิน แต่ให้กินก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตจากวุ้น เช่น วุ้นก้อนและเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังอาหารได้ เพราะว่าวุ้นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านกรรมวิธีการและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินรวมทั้งแร่ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเลยกลูวัวแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง (อย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แล้วก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดโทษและส่งผลเสียรวมทั้งไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ดังเช่นว่า วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจก่อให้มีลักษณะอาการท้องเสียหรือท้องขึ้น มีอาการอยากกินน้ำมากกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการอ่อนแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ยกตัวอย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และยังพบสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 รวมทั้งหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ร้อยละ 5-6 และก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงปริมาณร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญหมายถึงกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีเดกซ์โทรส แมนโนส และฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะว่ามีความเหนียว ช่วยยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมเดกซ์โทรส ด้วยเหตุนั้น กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนป่วยโรคเบาหวานและสำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราวๆ 90% รวมทั้งสิ่งปลอมปนอื่นๆเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็สารพิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองจำพวกเป็นกลูโคส 2 ส่วน รวมทั้งแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วไป ก็เลยไม่ถูกย่อยโดยกรดและก็น้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อน้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นแต่กลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและก็ขยายตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการขยายตัวจนถึงทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วรวมทั้งอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรารับประทานได้ลดน้อยลงกว่าปกติด้วย ทั้งยังกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมากมาย กลูโคแมนแนนจึงช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักแล้วก็เป็นของกินของคนที่ต้องการลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูต่ำลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ต่ำลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ซับน้ำในกระเพาะและลำไส้เจริญมากมาย รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้เยอะขึ้น ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีอาการบวมที่ขารับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 โล พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูต่ำลง6
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากบุกคนไทยเรานิ http://www.disthai.com/
บันทึกการเข้า