มะขามชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะลูบ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ tamarindชื่อวิทยาศาสตร์ Tamarindus indica Linn.ตระกูล Fabaceaeบ้านเกิด เชื่อกันว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในขณะนี้ แล้วมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกในแถบประเทศอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียและประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่สำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และเป็นที่รู้จักดีมากว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏเนื้อความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่กล่าวถึงมะขามอยู่หลายที่ เป็นต้นว่า ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนใดกันสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เลยอาจจะบอกได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายประเภทเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นมะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ดังนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงแข็งแรง แล้วก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมาก ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนสามเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจสมภารวัดแค ว่า
“ตำราพิชัยสงครามล้วนความรู้บางทีก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งไปอีกทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน”
มีชาวสุพรรณฯ จำนวนมากมั่นใจว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในตอนนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกเสกใบมะขามเป็นต่อแตนในครั้งนั้น
ลักษณะทั่วไป มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมากมาย แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 เซลเซียสม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 เซลเซียสมัธยม กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือบางครั้งก็เว้าเข้าน้อย ฐานใบอีกทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบห่อดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดหล่นไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดแตกต่างกัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ริมกลีบมีรอยย่นๆกลีบดอก 2 กลีบล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเมล็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 ซ.ม. กว้าง 2 เซลเซียสมัธยม เปลือกสีเทา ด้านในมีเม็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลแดงเรียบเป็นมัน มีดอกในตอนเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวธ.ค.
การขยายพันธุ์ โดยธรรมดา มะขามสามารถเพาะพันธุ์จะได้ด้วยเม็ด แต่ว่าเดี๋ยวนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยนิยมนำมาปลูกจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการทำหมัน และการแทงยอดเป็นหลัก ด้วยเหตุว่าสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงแค่ไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก ทั้งยัง ต้นที่ปลูกด้วยแนวทางลักษณะนี้จะมีลำต้นไม่สูงเสมือนการเพาะเม็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดแจง รวมทั้งการเก็บผลิตผลซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้
- การเตรียมแปลง จัดเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และก็หญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน จากนั้น ค่อยไถกลบอีกที แล้วตากดินทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะกระทำขุดหลุมปลูกเอาไว้ในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 เซนติเมตร กว้างยาว 50 เซนติเมตร
- การปลูก ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเม็ด ควรจะเลือกขนาดต้นจำพวกที่สูงโดยประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยธรรมชาติหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 ซม. ก่อนนำต้นพันธุ์ลงปลูก พร้อมกลบดิน แล้วก็รดน้ำให้ชุ่ม จากนั้น ให้นำฟางข้าวมาวางคลุมรอบโคนต้น
- การดูแล การให้น้ำ ภายหลังจากการปลูกแล้วจะกระทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้ลดลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ทั้งนี้ บางทีอาจไม่ให้น้ำเลยหากเป็นตอนๆฤดูฝนไม่ต้อง
การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในช่วงนี้กระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งตอนนั้นก็เลยเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลิตผล ความถี่การใส่ปุ๋ยราว ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรจะใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกหนหลังจากการปลูกแล้วประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลตอบแทน
นอกจากนั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น ยกตัวอย่างเช่น ประเทศในแถบอเมริกากึ่งกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปอาฟริกา จึงถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นเมืองไทยและก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับมะขามจำนวนมาก
องค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลเบื้องต้นเม็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids) โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งนิดหน่อย (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นมูก (mucilaginous material) 60% อย่างเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณาดูองค์ประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกเม็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เมล็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % ขี้เถ้า 4.2% แล้วก็คาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเม็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) แล้วก็โกลบูลิน (globulins) โปรตีนจากเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบเป็นซิสเทอีนรวมทั้งเมทไธโอนีน อยู่สูงถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50% ยิ่งไปกว่านี้เปลือกหุ้มเม็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีรายงานว่าในเปลือกเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้แบ่งประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นคะเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid) แล้วก็ในใบมะขามเจอกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกจากนี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีหัวหน้าไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามชนิดแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามพันธุ์อื่นๆมีเม็ดสีประเภทแอนทอลแซนติน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) แล้วก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนติเตียนนบางส่วน ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เท่านั้น รวมทั้งในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) ฯลฯ
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้- พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
- น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia
- เส้นใย 5.1 กรัม
- ไขมัน 0.6 กรัม
- โปรตีน 2.8 กรัม
- วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 0.152 มิลลิกรัม Chrysanthemin : Wikipedia
- วิตามินบี 3 1.938 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
- โคลีน 8.6 มก.
- วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia
- วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
- วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
- ธาตุแคลเซียม 74 มก.
- ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia
- ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
- ธาตุฟอสฟอรัส 113 มก.
- ธาตุโพแทสเซียม 628 มก.
- ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia
- ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม
ผลดี/คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของมะขามอย่างแรกที่พวกเรามักใช้ประโยชน์กันหลายครั้งเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามแฉะไว้สำหรับประกอบอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมากมาย ใช้ประกอบอาหารไทยที่อยากได้รสเปรี้ยว ตัวอย่างเช่น แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง แล้วก็ต้มยำโฮกอือ ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้สำหรับเพื่อการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ ดังเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก รวมทั้งน้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็เอามาทำครัวได้เช่นกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำผลิตภัณฑ์แปรรูปได้อีกหลายประเภท อย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน ,
มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , รวมทั้งเหล้าองุ่นมะขาม ผงมะขาม , สบู่ , แล้วก็ยาสระผมมะขาม ฯลฯ ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกดังเช่นว่า แก่นไม้มะขาม สำหรับคนไทยแล้วเขียงกว่าจำนวนร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เนื่องจากมีคุณลักษณะสมควรกว่าไม้อื่นๆดังเช่นว่า เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังหาง่ายอละทนทานอีกด้วย เว้นเสียแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา และก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ ถ้าเกิดนำมาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง เม็ดมะขาม (แก่) ประยุกต์ใช้เป็นของกินได้หลายแบบ ดังเช่น คั่วให้สุกแล้วกินโดยตรง เอามาเพาะให้แตกออกก่อน (เหมือนถั่วงอก) แล้วก็ค่อยนำไปปรุงอาหาร หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกจากนั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวเจริญ
สำหรับคุณประโยชน์ทางยานั้น ตามตำรายาไทยระบุว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นของกินรับประทานแก้ร้อนในหน้าร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารและของกินไม่ย่อยในฤดูร้อนลดระดับความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยแล้วก็เยี่ยวทุกข์ยากลำบาก น้ำต้มจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ และก็มีประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกรอบๆหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ปวดเมื่อย, ฝี, ตาเจ็บ รวมทั้งแผลหิด ใบแห้งบดเป็นผง ใช้โรยบนแผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง และใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคบิด ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆใช้อาบข้างหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงแล้วก็แก้ไข้ ,แก้ท้องเดิน , รักษาแผล เนื้อหุ้มห่อเม็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แม้กระนั้นถ้าเกิดเอาไปต้มกระทั่งสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป ยิ่งกว่านั้นยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสมหะ ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากกินน้ำ ทำให้มีชีวิตชีวา ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย และก็เป็นยาฆ่าเชื้อ และให้กินในรายที่ท้องผูกบ่อยๆ แก้พิษสุรา ของกินไม่ย่อย คลื่นไส้ จับไข้และท้องเสีย เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเดิน ช่วยสำหรับเพื่อการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
แบบอย่าง/ขนาดการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน ไม่อยากอาหาร แพ้ท้อง อ้วกอาเจียน ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มเมล็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้รับประทาน แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลกิน แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้หิวช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย กินเนื้อห่อเมล็ด แล้วกินน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ ข้างหลังคลอดและก็ข้างหลังฟื้นใช้ ทำให้แจ่มใส หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้อาการท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนถึงเป็นเถ้าขาว รับประทานทีละ 60-120 มิลลิกรัม แล้วก็ยังคงใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากล้างคอ แก้คอเจ็บและปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ดกินทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน หรือ ใช้เนื้อมะขามรักษาอาการท้องผูก สามารถทำเป็น 3 แนวทาง เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลแดงเป็นเงา 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มเมล็ด รับประทานทีละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องร่วงและคลื่นไส้แล้วก็ใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนนิ่ม แล้วกินทีละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มเติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานรวมทั้งการบูรน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้รวมทั้งอาการอักเสบต่างๆดังเช่น ป่วย อาหารไม่ย่อย อาการเปลี่ยนไปจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องเสีย และก็ใช้แก้ลมแดดได้ดี ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมากิน แก้อาการเบื่อข้าว (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานแล้วก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อหุ้มเมล็ดกับนม เนื้อหุ้มห่อเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาว่ากล่าวสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากล้างคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ นำมะขามแฉะไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นทั้งวัน มะขามเปียกแล้วก็ดินสอพองผสมจนกระทั่งถูกกัน เอามาพอกหน้าทิ้งไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับแจ่มใสและก็สะอาดยิ่งขึ้น มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส
การเรียนทางเภสัชวิทยา ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.กรัม และสารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดแจ้ง ขณะที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. ได้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. แล้วก็สารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มิลลิลิตร ไม่มีผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ได้แก่ Bacillus subtilis, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonella typhi แต่ว่าสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่กล่าวถึงแล้วอย่างอ่อน
มีการทดสอบในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบรับประทานพบว่าเปลือกเม็ด
มะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรสำหรับในการบริโภคในไก่ คือ 100 มก.ต่อกก. โดยที่สามารถลดความเคร่งเครียดจากความร้อน (heat stress) และก็ลดภาวการณ์ออกสิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็แล้วแต่การเรียนอีกฉบับรายงานว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่รับประทานเมล็ดมะขามดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วพบผลกระทบคือ กินน้ำมากเพิ่มขึ้นและก็มีขนาดของตับอ่อนรวมทั้งความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยชี้แนะว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากโพลีแซคค้างไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา หนูถีบจักรเพศผู้รวมทั้งเพศเมียที่รับประทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคค้างไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่เจอพิษ แต่ว่าหนูถีบจักรเพศเมียที่กินอาหารผสมดังที่ได้กล่าวมาแล้วขนาด 1.2 แล้วก็ 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่อาทิตย์ที่ 34
ไก่ (Brown Hisex chicks) กินอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% และก็ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักต่ำลง (weight gain) รวมทั้ง feed conversion ratios ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพหมายถึงมีการเปลี่ยนของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 แล้วก็ 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะร้ายแรงกว่าไก่กรุ๊ปที่ทานอาหารผสม 2% ผลของการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มมากขึ้น total serum protein ต่ำลงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม (กรุ๊ปที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol รวมทั้ง total protein จะไม่กลับสู่ภาวะปกติในตอน 2 อาทิตย์หลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางเลือดวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศภรรยาและเพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 รวมทั้ง 12% นาน 2 ปี ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย การกินของกิน ผลทางชีวเคมีในเยี่ยวแล้วก็เลือด ผลของการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และก็พยาธิสรีระ
หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ พอๆกับ 1 กรัม/กิโลกรัม นน.ตัว
หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความผิดแปลกอะไรก็แล้วแต่ความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กก./วัน แล้วก็ในหนูเพศภรรยาเท่ากับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กก./วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงไปในกระเพาะของกินหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงไปยังกระเพราะของกินหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ กระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 รวมทั้ง TA98
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรพิจารณา
- ในการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะมะขามสุก)นั้นควรเลือกมะขามที่ไม่มีเชื้อรา ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
- การบริโภคมะขามมากจนเกินความจำเป็นอาจจะเป็นผลให้เป็นผลกระทบกับร่างกายได้อาทิเช่น ท้องเสีย ท้องเดิน
- การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลสำหรับในการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรจะบริโภคแต่พอดีและไม่ควรบริโภคติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- ยังมีส่งผลการค้นคว้าที่บ่งชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดความอ้วนได้ โดยเหตุนั้นจึงไม่สมควรใช้มะขามมาลดหุ่น
เอกสารอ้างอิง- สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
- ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
- กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
- Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
- เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
- Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F. Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties. J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
- บวร เอี่ยมสมบูรณ์. ดงไม้. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
- มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
- George M, Pandalai KM. Investigations on plant antibiotics. Part IV. Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants. Indian J Med Res 1949;37:169-81.
- ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
- ก. กุลฑล. ยาพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
- Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH. Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity. Fitoterapia 1980;51:303-8.
- Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edi