รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้  (อ่าน 627 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด
รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้
« เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2018, 08:07:39 AM »


รางจืด
ชื่อสมุนไพร  ยาเขียว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกลาง) , รางจืด , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (ปัตตานี) , น้ำนอง (จังหวัดสระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (ยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (จังหวัดเพชรบูรณ์) จอลอดิเออ , กร่ำถะ ,พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ  Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl
สกุล    Acanthaceae
ถิ่นเกิด รางจืดเป็นพืชเถาในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งบริเวณกวางตุ้ง เมืองจีน แล้วก็ไตหวัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วไป ในทุกภาคของประเทศ รวมทั้งเป็นพืชที่มักจะเติบโตได้เร็วมาก แต่ตอนนี้นิยมนำมาปลูกตามบ้านเรือนทั่วไป เพราะมีการศึกษาค้นคว้าออกมาว่าสามารถขจัด/ล้างสารพิษภายในร่างกายได้
ลักษณะทั่วไป
ต้นรางจืดเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพาดพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆได้ทั้งยังต้น เถามีลักษณะกลม ยกตัวอย่างเช่น ข้อปล้อง สีเขียว เป็นเงา เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลเยอะขึ้น รวมทั้งยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบผู้เดียวสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงกันข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะเหมือนใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 เซนติเมตร (เซนติเมตร) ยาว 8-15 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบของใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน  ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4  ดอก กลีบแผ่ขยายออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 เซนติเมตร มักมีน้ำหวานบรรจุอยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงปนน้ำเงิน ผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 1 เซนติเมตร เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ซีก จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในช่วงฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-กุมพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกบางทีอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ส่วน เม็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆคล้ายหนามอยู่บนเปลือกเม็ด แล้วก็สามารถนำไปเพาะเพาะพันธุ์ต่อไปได้
การขยายพันธุ์
รางจืดสามารถแพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือปักชำ สำหรับการปักชำจะใช้กิ่งจำพวกที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งชนิดแก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 ซม. โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาอย่างต่ำ 1-2 ตา แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้ชุ่มจนกระทั่งรากแตกออกแล้วจากนั้นจึงค่อยนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกต่อไป หรือปักชำลงดินรอบๆที่ต้องการปลูก และรดน้ำบ่อย 1-2 ครั้ง/วัน กระทั่งกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน
ในการปลูกจากการเพาะเม็ดนั้น ถือเป็นวิธีซึ่งสามารถได้ต้นที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เพราะจะได้ต้นซึ่งสามารถแตกกิ่งกิ่งก้านสาขาได้มาก กิ่งกิ่งก้านสาขายาวได้หลายเมตร และก็ลำต้นแก่เป็นเวลานานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่ว่าการขยายพันธุ์ยาเขียวโดยมากมักจะนิยมใช้แนวทางการปักชำมากยิ่งกว่า เพราะว่าจังหวะสำหรับในการแตกออกมีมากกว่า และใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปลูกยาเขียวนั้นมีดังนี้  นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเม็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกราวๆ 1x1 ฟุต แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักราว 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินบางส่วน วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกึ่งกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้เปียกแฉะ ควรปลูกขอบรั้วหรือกำแพงเพื่อให้เถารางจืดสามารถยึดเกาะแล้วก็เลื้อยพาดไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถายาเขียวเกาะเลื้อย  ยาเขียวเป็นไม้ซึ่งสามารถรุ่งเรืองก้าวหน้าในดินเกือบทุกจำพวก และก็เป็นไม้ที่ต้องการแสงอาทิตย์ปานกลางหมายถึงไม่ได้อยากต้องการแสงแดดที่จัดมากจนเกินไป และมีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะแรกปลูกจะต้องรดน้ำให้ดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในเช้าตรู่ ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยมูลสัตว์ ใส่รอบๆโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการพรวนดินโคนต้นให้ร่วนเสียก่อนก็เลยใส่ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบรางจืด  สำหรับใบรางจืดที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรเก็บจากต้นที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป และก็ให้ทยอยเก็บจากใบด้านล่างบริเวณโคนกิ่งก่อน และค่อยเก็บไปจนกระทั่งกลางกิ่ง ไม่สมควรเก็บให้ถึงบริเวณปลายกิ่งหลังจากเก็บมาแล้ว ถ้าไม่ใช้ทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปผึ่งแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังไม่ให้โดนน้ำ เนื่องจากว่าอาจเกิดเชื้อราได้
ส่วนประกอบทางเคมี ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein – Chlorophyll a Chlorophyll b  Pheophorbide a  Pheophytin a
ประโยชน์ / คุณประโยชน์
                รางจืดจัดเป็นยารสเย็นใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง และก็พิษอื่นๆใช้แก้ร้อนใน กระหายน้ำ รักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง แล้วก็แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆใช้แก้พิษเบื่อเมาเหตุเพราะเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง
                ตำรายาไทย: ใบ ราก รวมทั้งเถา รสจืดเย็น ตำคั้น หรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำยาดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ทำลายพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้รอบเดือนเปลี่ยนไปจากปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม เถาและก็ใบ รับประทานแก้ร้อนในหิวน้ำ แก้พิษร้อนต่างๆราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวม แก้เมาค้าง แก้อาการปวดหัวมึนหัวสาเหตุจากพิษเหล้า ทำลายพิษสุรา พิษหลงเหลือภายในร่างกาย ใช้รากเข้ายารักษาโรคอักเสบและก็ปอดบวม รากแล้วก็เถา ใช้รับประทานเป็นยารักษาอาการร้อนในอยากดื่มน้ำ รักษาพิษร้อนทั้งหมด ต้น รสจืดเย็น ถอนพิษยาเบื่อเมา หรือใช้ปรุงเป็นยาเขียว ถอนพิษไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง พิษเบื่อเมาเพราะว่าเห็ดพิษ สารหนู หรือยากำจัดแมลง และพิษทั้งสิ้น  รักษาหอบหืดเรื้อรัง แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆปรุงยาแก้มะเร็ง หมอยาแผนไทยใช้เพื่อช่วยจับพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
           สมุนไพรพื้นเมืองล้านนา: ใช้ ใบและก็ราก ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟลุก ทำลายพิษสารกำจัดศัตรูพืช พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ(บอกว่ารากยาเขียวมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า))
           ตำราเรียนยาท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา: ใช้ ใบ แก้โรคเบาหวาน
           ประเทศมาเลเซีย: ใช้ใบแก้ระดูผิดปกติ แก้ปวดบวม
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการทำการค้นคว้าเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของยาเขียวมานานแล้ว ซึ่งส่งผลการศึกษาเรียนรู้วิจัย ดังต่อไปนี้

  • พุทธศักราช 2521 นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มัธยมมหิดล เป็นกรุ๊ปแรกที่ทดสอบป้อนผงรากรางจืดให้ตัวทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแม้กระนั้นพบว่าไม่ได้เรื่อง หนูชักรวมทั้งตาย แต่ว่าถ้าผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แปลว่าผงรากรางจืดสามารถซึมซับสารพิษชนิดนี้ไว้
  • พุทธศักราช 2523 คุณครูพระสรัสวดี เตชะเสนรวมทั้งภาควิชา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบรางจืดป้อนตัวทดลองที่กินสารกำจัดศัตรูพืช“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือเพียงแค่ 5% เท่านั้น ในตอนที่กรรมวิธีฉีดกลับไม่ได้เรื่อง
  • พุทธศักราช 2551 สุชาสินี คงกระพันธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบยาเขียวป้อนตัวทดลองที่ได้รับยาฆ่าแมลงกรุ๊ปออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยได้ 30%
  • พ.ศ. 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวงกลมลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใบรางจืดช่วยคุ้มครองป้องกันการถึงแก่กรรมของเซลล์ประสาทของหนูทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว ก็เลยสามารถคุ้มครองป้องกันสูญเสียการเรียนและก็ความจำได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง


มีการวิจัยเรื่องใบยาเขียวสามารถคุ้มครองปกป้องตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดสารพิษภายในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของคนที่ได้รับสารพิษ พุทธศักราช 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบรางจืดน่าจะส่งผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พ.ศ. 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงมือณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำยาเขียวแสดงฤทธิ์ดังที่กล่าวมาแล้ว อีกทั้งในหลอดทดลองแล้วก็ในหนูทดลอง  แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบรางจืดมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระด้วย
นอกเหนือจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากยาเขียวอีกดังเช่น ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้กินเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงกิน ก็ทำเป็นอย่างกับผักพื้นเมืองทั่วๆไป นอกเหนือจากนี้เด็กๆตามชนบทยังนิยมดื่มน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่ทำให้เป็นอันตรายใดๆก็ตามแม้กระนั้นแต่ การกินยาเขียวในจำนวนต่อเนื่องกันอย่างสม่ำเสมอ อาจจะจะต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวของโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิกที่บางทีอาจเกิดขึ้นถัดไปด้วย
ชารางจืด ใบรางจืดสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วเอามาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ และก็ยังมีกลิ่นหอมหวนรวมทั้งยังช่วยล้างพิษภายในร่างกายได้อีกด้วย  ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรยาเขียวมาดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลยาเขียวหรือรางจืดแคปซูล เพื่อความสบายรวมทั้งไม่ยุ่งยากต่อการใช้ประโยชน์  ดอกรางจืด เอามาบดอย่างรอบคอบผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำขนมหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามชนิดสีของดอก
คนโบราณมีความเห็นว่า การกินน้ำต้มจากรางจืดสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่ผู้อื่นทำแก่ตนได้  ใบรางจืดตากแห้งแล้ว นำมาบดอย่างรอบคอบ ใช้ผสมในอาหารสัตว์ อาทิ ของกินหมู อาหารไก่ เป็นต้น ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อโรค แล้วก็ช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอคอยดสูงมากขึ้นภายหลังที่ได้รับเชื้อโรค

แบบอย่าง/ขนาดการใช้ สำหรับเพื่อการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ เอามาตำกระทั่งละเอียดผสมกับน้ำแช่ข้าวราวครึ่งแก้ว ส่วนการใช้คุณประโยชน์จากรากยาเขียวสำหรับเพื่อการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้นำมาฝนหรือนำมาตำกับน้ำซาวข้าว แล้วเอามาดื่มให้หมดเมื่อมีลักษณะ แล้วก็อาจจะต้องใช้ซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเหมือนกันกับการใช้ใบยาเขียว  หรือใช้ใบรางจืดทำเป็นชาแล้วกินครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 ครั้งที่แล้วของกินหรือเมื่อมีลักษณะอาการ รักษาโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบยาเขียวราว 58 ใบ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำซาวข้าวกินครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาปริมาณยาว 10 ซม. ต้มในน้ำราว 10 ลิตร อาบทุกวี่วัน ราวๆ 5-7 วัน  แก้เมื่อย โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่เหล้าดื่มทุกส่วนนำมาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ยับยั้งอาการปวด ลดอาการบวม แล้วก็กำจัดพิษจากสัตว์ต่อย เช่น งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล           ทุกส่วนออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลและรักษาแผล อาทิเช่น รักษาไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำบางส่วน ก่อนนำไปประคบบริเวณรอยแผลเริม  ทุกส่วนเอามาบดผสมน้ำนิดหน่อย ก่อนเอามาประคบหรือทาแผลสด แผลเป็นหนอง ซึ่งจะช่วยทำให้แผลแห้งเร็ว ลดการตำหนิดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล  ทุกส่วนนำมาต้มน้ำหรือคั้นน้ำดื่มสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน และก็ช่วยบรรเทาอาการกระหายน้ำ  น้ำต้มจากทุกส่วน เอามาดื่มอุ่นๆสำหรับรักษา รวมทั้งบรรเทาอาการท้องเดินหรือของกินเป็นพิษ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา  มีรายงานศึกษาค้นคว้าในสัตว์ทดสอบพบว่า สารสกัดน้ำจากใบยาเขียว ขนาด 2 และ 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม แล้วก็ขนาด 3.5 ก./กิโลกรัม ส่งผลลดพิษจากสารกำจัดแมลงในกรุ๊ปออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยทำให้อัตราการตายต่ำลง  รวมทั้งยังมีมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยทางสถานพยาบาลที่เกี่ยวพันกับการขับยากำจัดศัตรูพืชออกจากร่างกาย พบว่ารางจืดจะทำลายพิษเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษที่เกิดขึ้นจากสารกำจัดศัตรูพืช ”โฟลิดอล” และพิษออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับหลักการทำงานของ Cholinergic system โดยการเรียนรู้ในเกษตรกรกรุ๊ปเสี่ยงและตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงในร่างกาย ปริมาณ 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครกินชารางจืดขนาด 8 กรัม/วันหรือยาหลอก นาน 21 วัน พบว่าขนาดยาฆ่าแมลงในเลือดของสมัครใจมัครที่ได้รับรางจืดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 7, 14 แล้วก็ 21 ของการทดสอบ และก็จากการเรียนของดวงรัตน์รวมทั้งแผนก พบว่าโดยยาเขียวมีผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับสารกำจัดแมลง
สาขาวิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรพิโรฒ จึงได้เรียนรู้ฤทธิ์ของสารสกัดรางจืดต่อเซลล์สมอง พบว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสิ่งเสพติดแอมเฟทามีน รวมทั้งโคเคน โดยทั่วไปเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากมายในขณะที่ผู้เจ็บป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมทั้งไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวข้องกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในผู้ป่วย ที่เข้ารับการดูแลและรักษา/บรรเทาสิ่งเสพติด ที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยสารสกัดรางจืด อาจเกิดความพิงพึงพอใจเช่นเดียวกับการรับสิ่งเสพติด หากใช้ประโยชน์สำหรับเพื่อการรักษาคนไข้จะทำให้คนเจ็บไม่ต้องทุรนทรายมากมาย ก็เลยบางทีอาจเป็นสาเหตุหนึ่งครั้งการดูแลรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรเห็นผล
แผนกเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ของรางจืดสำหรับเพื่อการต่อต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วย คุ้มครองการถึงแก่กรรมของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ทั้งในหลอดทดสอบและก็ในหนูแรตทีได้รับแอลกอฮอล์ โดยการทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและสามกลีเซอร์ไรด์ในตับต่ำลง แล้วก็ลดความเคลื่อนไหวสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว
                เพราะว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด และก็เพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase แล้วก็ aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ของยาเขียวต่ออาการขาดสุรา พบว่าสารสกัดยาเขียวให้ผลลดภาวะไม่มีชีวิตชีวาแล้วก็ทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ แต่ว่าไม่มีผลลดความรู้สึกหนักใจ ขึ้นรถสกัดราถงจืดชืดช่วยลดการเช็ดกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเพราะว่าขาดเหล้าในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยยิ่งไปกว่านั้นที่บริเวณ  nucleus accumbens รวมทั้ง ventral tegmental area
ในหนูโรคเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบยาเขียวสดในขนาด ๕๐ มิลลิกรัม/มล.ที่ให้หนูโรคเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีการทดสอบพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ความดันเลือดของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนใดส่วนหนึ่งบางทีอาจผ่าน Cholinergic receptor รวมทั้งทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว
การใช้สมุนไพรในคนเจ็บโรคเบาหวานรวมทั้งความดันนี้พึงรำลึกว่าต้องมีการดูแลและรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและก็มีการวัดระดับน้ำตาลและก็ระดับความดันอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุว่าการศึกษาเล่าเรียนยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดสอบเพียงแค่นั้น รวมทั้งต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
มีการค้นคว้าทำการวิจัยว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อต้านการอับเสบสูงขึ้นยิ่งกว่ามังคุดราวๆ 2 เท่า(ทดสอบด้วยวิธี Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและก็ยังมีความปลอดภัยสูงขึ้นมากยิ่งกว่าอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นยังพบว่า สารสกัดยาเขียวในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบได้ดิบได้ดีเท่ากับสตีรอยด์ครีม
ฤทธิ์สำหรับการต้านทานโรคมะเร็ง มีการเล่าเรียนฤทธิ์ต้านการก่อกลายประเภท กล่าวคือสารใดๆก็ตามมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีสมรรถนะสูงสามารถก่อโรคมะเร็งได้ แต่ว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านทานไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการเรียนโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและการสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง พูดอีกนัยหนึ่งนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น แล้วก็มีการแบ่งตัว โน่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ว่าถ้าหากให้สัตว์ทดสอบกินยาเขียวร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งยาเขียวแบบสดและก็แบบแห้งสามารถใช้ได้ผลด้วยเหมือนกัน นับเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของรางจืด
โดยพบว่าสารออกฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก เช่น caffeic acid และ apigenin และสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ อาทิเช่น chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และก็ pheophytin a ซึ่งสารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมากมาย
สารสกัดน้ำ เอทานอล รวมทั้งอะสิโทน มีฤทธิ์ต้านทานการก่อกลายจำพวก โดยยั้งการเกิดมะเร็ง เพราะเหตุว่าสาร 2-aminoanthracene ได้จำนวนร้อยละ 87 เมื่อวิเคราะห์ด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 แล้วก็สามารถเพิ่มการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ใช้สำหรับในการกำจัดเซลล์ของมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า ทั้งยังมีรายงานการดูแลและรักษาคนป่วยพิษแมงดาทะเล ตอนวันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ 2522 โดยมีกล่าวว่ามี  คนไข้ 4 ราย รับประทานยำไข่แมงดาทะเล อาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ ทุกรายมีลักษณะชารอบปาก รวมทั้งอ้วกคลื่นไส้ อาการชาจะลามไปกล้ามเนื้อมัดต่างๆที่ก่อให้เกิดอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ ผู้ป่วย 2 รายสลบ จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มออกอาการตั้งแต่ 40 นาที จนถึง 4 ชั่วโมง หลังรับประทาน เนื่องมาจากพิษของแมงดาทะเล คือเทโทรโดทอกซิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษจำเป็นต้องรักษาตามอาการ หลังจากได้น้ำสมุนไพรยาเขียว 50 มล. ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะอาหาร ผู้เจ็บป่วยเริ่มรู้ตัว รวมทั้งอาการตามลำดับ หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที ผู้เจ็บป่วยอีกรายได้รับการกรอกน้ำยาเขียวเช่นกัน ในขนาด 50 มล. ทุก 1 ชั่วโมง 5 ครั้ง ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชั่วโมง ผู้เจ็บป่วยเริ่มรู้ตัว และก็อาการตามลำดับ
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษกระทันหันที่ป้อนตัวทดลองครั้งเดียว ทั้งขนาดปกติและขนาดสูง ไม่พบความไม่ปกติใดๆแล้วก็ป้อนต่อเนื่องกัน 28 วัน ขนาด 500 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่พบอาการไม่ปกติเหมือนกัน แต่อาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงกว่ากรุ๊ปควบคุม  ค่าวิชาชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงมากขึ้น และก็ AST สูงมากขึ้น
          การเรียนพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20  200  1,000  2,000 มิลลิกรัม/กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 แล้วก็ 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าไม่เป็นผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร ความประพฤติปฏิบัติ รวมทั้งสุขภาพทั่วไปของหนู อวัยวะภายในระดับมหพยาธิวิทยาและจุลพยาธิยังคงปกติ และไม่ทำให้เกิดพิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย
มีการเล่าเรียนความเป็นพิษของยาเขียวต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากรางจืดไม่เป็นผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์แต่อย่างใด อีกทั้งยังพบว่า สารสกัดจากยาเขียวสามารถต่อต้านการกลายพันธุ์ได้ด้วย
คำแนะนำ/ข้อควรคำนึงมี

  • การเรียนระบุว่า รากของยาเขียวนั้นจะมีสรรพคุณ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
  • ควรที่จะใช้ให้ละเอียดและไม่ควรใช้ชิดกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกิน 30 วัน
  • พึงระวังในการใช้ในคนป่วยโรคเบาหวาน เพราะว่าอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่ควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเนื่องมาจากบางทีอาจขับสารเคมี หรือตัวยาในร่างกายออก โดยยิ่งไปกว่านั้นคนป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง
  • รางจืดบางทีอาจได้ผลใกล้กัน สำหรับผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคอาการหอบหืดได้โดยเมื่อกำเนิดอาการแพ้ยาเขียวก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีผลต่อระบบทางเท้าหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ามีระดับอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน หากมีลักษณะแพ้ไม่มากก็บางครั้งก็อาจจะเป็นเพียงแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง

  • ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
  • วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
  • ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
  • รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
  • รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย
  • Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
  • ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในการป้องกันการสะสมของส
บันทึกการเข้า