ยอชื่อสมุนไพร ยอชื่ออื่น/ขื่อเขตแดน ยอบ้าน (ภาคกลาง) , มะตาเสื่อ (ภาคเหนือ) , แยใหญ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , Noni (ฮาวาย) , Meng kudu (มาเลเซีย) , Ach (ฮินดู)ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifoliaชื่อสามัญ Indian mulberryสกุล Rubiaceaeบ้านเกิดเมืองนอน ลูกยอ Morinda citrifolia เป็นผลไม้เขตร้อนพบได้บ่อยบันทึกว่ามีการกินลูกยอเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว โดยยอเป็นพืชพื้นเมืองในแถบโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) และได้แพร่ไปไปต่างประเทศโดยมีตำนานว่า คนในสมัยโบราณ (ที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่าขาว เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูรวมทั้งได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมของพวกเขามาด้วย พืชนั้นเป็นอาหารขึ้นฐานรากที่เสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายและก็เพื่อเป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนสมัยก่อนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ช่วยเหลือกันบันทึกรวมทั้งจดจำต่อมายังลูกหลานว่าผลของต้นโนนิช่วยบำบัดลักษณะของการป่วยเบื้องต้นได้ โดยชาวโพลิเนเซียน ชาวจีน คนประเทศอินเดีย รู้จักใช้ประโยชน์จากลูกยอมานานแล้ว ส่วนการแพร่ไปชนิดของยอนั้นเป็นผลมาจากถูกนำประจำตัวเข้าไปยังหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ โดยบรรดาผู้หลบภัย และมันสามารถเจริญงอกงามเจริญในดินภูเขาไฟที่ไร้มลภาวะ รวมทั้งมีการแพรกระจายประเภทไปยังดินแดนใกล้เคียง
แม้กระนั้นอีกตำราหนึ่งบอกว่าเป็นไม้ประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระนั้นมีผู้น าไปแพร่พันธุ์จนกระทั่งกระจัดกระจายไปทั่วอินเดีย และก็ตามหมู่เกาะต่างๆในห้วงสมุทรแปซิฟิครวมทั้งหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ 18 เดือน แล้วก็จะให้ผล
ซึ่งในขณะนี้พืชชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลก ในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ “ยอ” ในประเทศมาเลเซียรู้จักกันในชื่อ “เมอกาดู” (Mergadu) ในเอเชียได้เรียกว่า “นเฮา” (Nhau) แถบหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกเรียกกันว่า “โนนู” รวมทั้งในเกาะซามัว ทองกา ราราทองกา ตาฮิติ เรียกกันว่า “โนโน” หรือว่า “โนนิ”
ลักษณะทั่วไปลำต้น ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงราว 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มกำลัง 5-10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ แล้วก็ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบคายสากน้อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้ดูไม่เป็นทรงพุ่ม
ใบ ใบเป็นใบผู้เดียว (simple leaf) แทงออกตรงกันข้ามกันซ้ายขวา มีทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างโดยประมาณ 10-20 ซม. ยาวราวๆ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากมายจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวราว 1 เซนติเมตร โคนใบ รวมทั้งปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบของใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งคู่ด้าน ข้างบนใบพบมากเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย
ดอก ดอกออกเป็นช่อกลมคนเดียวๆสีขาว รูปทรงราวกับหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวราว 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกบริบูรณ์เพศที่มีเกสรตัวผู้ และก็เกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และก็โคนกลีบเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวประมาณ 8-12 มม. ผิวดอกข้างนอกเรียบ ภายในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาวราว 4-5 มม. เกสรตัวผู้ รวมทั้งเกสรตัวเมีย ยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวประมาณ 3 มม.
ผล ผลเป็นประเภทผลบวก (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า แล้วก็ขนุน เชื่อมติดกันสำเร็จใหญ่ดังที่พวกเราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างราว 3-5 เซนติเมตร ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และก็เมื่อสุกจะมีสีเหลือง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีขาวจนถึงเน่าตามอายุผล เม็ดในผลมีจำนวนไม่ใช่น้อย เม็ดมีลักษณะแบน ข้างในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
ยิ่งกว่านั้นยังสามารถแบ่งสายพันธุ์ของยอได้อีกดังต่อไปนี้
- M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด เจอได้บริเวณหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก ดังเช่นว่า ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
- M. citrifolia var. bracteata เป็นสายพันธุ์ที่มีผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย อย่างเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย รวมทั้งหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิก
- M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งยังสีเขียว และก็สีขาว เจอทั่วไปรอบๆหมู่เกาะในห้วงสมุทรแปซิฟิค
การขยายพันธุ์การปลูกยอนิยมปลูกด้วยการเพาะเม็ด แต่สามารถขายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่น การปักชำ การตอน แต่ว่าการเพาะเม็ดจะได้ผลที่ดีมากกว่ารวมทั้งอัตราการรอดจะสูงกว่าแนวทางอื่น โดยการเพาะเม็ดจะใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกมาจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ แล้วก็กรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ควรจะเป็นผลสุกจัดที่หล่นจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม เม็ดที่ได้จำเป็นต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน แล้วก็นำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงราวๆ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก
ต้นยอเป็นพันธุ์พืชที่ดูแลไม่ยากไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากมาย แล้วก็ยังเป็นพืชที่ทนต่อภาวะดินเค็มและก็สภาวะแห้งอีกด้วย ก็เลยทำให้มีการแพร่กระจายประเภทอย่างรวดเร็วองค์ประกอบทางเคมี สาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในยอ ในส่วนของ ผล ใบ แล้วก็ราก มีหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น scopoletin , octoanoic acid , potassium , vitamin C , terpenoids , Asperuloside , Proxyronine สารในกรุ๊ป anthraquinones ตัวอย่างเช่น anthraquinone glycoside , morindone รวมทั้ง rubiadin รวมทั้ง flavonoids, triterpenoids, triterpenes, saponins, carotenoids, vitamin E นอกจากนี้ยังมี vitamin A , amino acid , ursolic acid , carotene และ linoleic acid ซึ่งสารเหล่านี้สารประเภทได้มีการทดสอบคุณลักษณะของสารแล้วว่ามีผลที่สามารถประยุกต์ใช้ทางด้านการแพทย์ได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบสารจำพวกใหม่ที่ชื่อว่า flavone glycoside แล้วก็ iridoid glycoside ในใบยอขึ้นรถทั้งคู่ส่งผลยังยั้ง cell transformation ของ mouse epidermal JB6 cell line
คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ ประโยชน์ซึ่งมาจากยอนั้นมีในด้านการนำไป บริโภคเป็นของกินและการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ในร้านของ Asperulosideการนำมาบริโภคนั้น มีเยอะมากหลายแบบอย่างดังต่อไปนี้ มีการ
บริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆหรือแต่ง ได้แก่ บางหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค กินผลยอเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งคนท้องถิ้นประเทศออสเตรเลียรับประทานผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหรี่ และใช้เมล็ดของยอคั่วกินได้
ส่วนในประเทศไทยนั้นบริโภคยอโดย ลูกยอสุก นำมาจิ้มรับประทานกับเกลือหรือกะปิ ลูกห่ามใช้ทำส้มตำ ใบอ่อน นำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก แล้วก็ในขณะนี้มีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื้อกันว่ามีคุณประโยชน์ ทางด้านค่าของอาหารที่มี วิตามินซี วิตามินเอ และธาตุโปแตสเซียมสูง ยิ่งไปกว่านั้นจะมีลักษณะเหมือนผักผลไม้เยอะมากๆเนื่องจากว่ามีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งนับว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ และก็ต้านทานโรคมะเร็ง ได้
ส่วนในด้านการนำมาใช้เป็นสมุนไพรนั้น ยอได้ถูกบอกว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ดังต่อไปนี้ แบบเรียนยาไทย: ผลมีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมในลำไส้ ขับผายลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ผสมในยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกยุ่ย เหงือกบวม ขับรอบเดือนเสีย ขับเลือดลม ฟอกโลหิต ขับน้ำคร่ำ แก้เสียงแหบ แก้ตัวเย็น แก้ร้อนในอก แก้กษัย แก้อาเจียน โดยเอามาหมกไฟหรือต้มกับน้ำกิน หรือเอามาจิ้มกับน้ำผึ้งทาน หนังสือเรียนสรรพคุณยาไทยกล่าวว่าผลอ่อนกินเป็นยาแก้คลื่นเหียนอาเจียน ผลสุกงอมเป็นยาขับประจำเดือนสตรี ผลดิบเผาเป็นถ่านผสมเกลือเล็กน้อย อมแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุมบวม หั่นปิ้งไฟเพียงพอเหลืองทำกระสายยา เมล็ดเป็นยาระบาย
ตำรายาไทยมีการใช้ ผลยอ ใน”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่ส่งผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง ส่งผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา คุณประโยชน์แก้สมุฎฐานแห่งตรีทูต ขับลมต่างๆแก้โรคไตพิการ ส่วนอีกตำราหนึ่งระบุว่าคุณประโยชน์ของส่วนต่างๆของยอไว้ดังต่อไปนี้
ราก คุณประโยชน์เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก ใบยอ รสขมขื่น สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา ปวดข้อ คั้นน้ำทา แก้โรคเกาต์ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกบวม คั้นน้ำทาแก้แผลเรื้อรัง แก้กษัย ผสมยาอื่นแก้วัณโรค ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ด คุณประโยชน์ขับลม บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเลือด เมนส์ของสตรี ฟอกโลหิต แก้คลื่นเหียนอาเจียน ผสมยาแก้สะอึก อมแก้เหงือกยุ่ย แก้เสียงแหบ แก้ร้อนในอก ผลสุก ของยาม้าน มีกลิ่นแรง คุณประโยชน์ผายลมในลำไส้ ต้น ใช้เป็นส่วนผสมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาวัณโรค ดอก เป็นส่วนประกอบของสมุนไพรตัวอื่นเป็นยารักษาวัณโรค
แบบอย่าง/ขนาดวิธีการใช้แก้อาเจียนที่เกิดจากธาตุไม่ปกติ ใช้ผลดิบหรือห่าม(ยังไม่สุก) ฝานเป็นชิ้นบางๆย่าง หรือคั่วไฟอ่อนๆให้เหลือง ใช้ทีละ 2 กำมือ น้ำหนักประมาณ 10-15 กรัม ต้มหรือชงน้ำจิบแต่ว่าน้ำเสมอๆระหว่างที่มีลักษณะ ถ้าเกิดดื่มทีละมากมายๆจะมีผลให้อาเจียน
ใบสดใช้ต้มน้ำหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมทั้งใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กระษัย แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า แก้ท้องเสีย ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน คุ้มครองป้องกันโรคในระบบหัวใจ และเส้นโลหิต แก้โรคมะเร็ง
ดอกใช้ต้มน้ำหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน คุ้มครองปกป้องโรคหัวใจ แล้วก็หลอดเลือด ต้านทานโรคมะเร็ง
เนื้อผลมีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์เป็น asperuloside ใช้แก้คลื่นไส้ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร และก็ไส้ ช่วยขับเมนส์ แก้รอบเดือนมาเปลี่ยนไปจากปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสลด
รากเอามาต้มหรือดองเหล้ารับประทานเป็นยาระบาย แก้กษัย ช่วยเจริญอาหาร ปกป้องโรคมะเร็ง โรคในระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นโลหิต
ไอระเหยจากลูกยอ ใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบ ใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลตกสะเก็ดรอบปากหรือด้านในปาก ลูกยอสุก ใช้กิน ลูกยอบดละเอียดใช้บ้วนปากแก้คอเจ็บ ใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือกินเพื่อฆ่าพยาธิภายในร่างกาย
ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู สิ่งแรกให้เลือกลูกยอห่าม เอามาหั่นเป็นแว่นๆไม่บางหรือหนาจนถึงเกินไป แล้วก็ค่อยนำไปย่างไฟอ่อนๆโดยย่างให้เหลืองกรอบ สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาท่อนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวหญ้าแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอมยวนใจ เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนกระทั่งเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองประเภทลงไปต้มพร้อม ใส่น้ำตาลกรวดพอเพียงหวาน ทิ้งเอาไว้สักพักแล้วยกลงจากเตา รอคอยกระทั่งอุ่นแล้วนำมากิน ที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่เอาไว้ภายในตู้แช่เย็นและหลังจากนั้นก็ค่อยอุ่นรับประทาน ให้ดื่มต่อเนื่องกัน 1 อาทิตย์ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกรวมทั้งแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำกินเพื่อบรรเทาอาการ
วิธีการใช้ยอรักษาอาการอ้วก ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน) นำผลยอดิบที่โตเต็มที่แล้วมาฝานเป็นแผ่นบางๆหลังจากนั้นเอามาตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะบนไฟอบอวลๆให้แห้งเกรียม นำมาบดเป็นผง แล้วก็ใช้ผงมาราว 20 กรัม ชงกับน้ำเดือดใหม่ๆ1 ลิตร แช่ทิ้งเอาไว้ราวๆ 15 นาที กรองมัวแต่น้ำใส่กระติกที่มีไว้ใส่น้ำร้อนไว้ จิบน้ำยาประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง เวลาอาเจียน อ้วก
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับแก้อ้วก อาเจียน การศึกษาเล่าเรียนการใช้น้ำผลยอสำหรับการระงับคลื่นไส้ โดยเปรียบเทียบกับยา metoclopramide ซึ่งเป็นยาแก้อ้วก แล้วก็น้ำชาซึ่งใช้ในกรุ๊ปควบคุม ในคนไข้มาลาเรีย 92 ราย ที่มีลักษณะอาการอาเจียนคลื่นไส้ ชาย 68 ราย หญิง 24 ราย อายุระหว่าง 15 -55 ปี แบ่งเป็นกลุ่มใช้น้ำผลยอ 30 มล. กินทุก 2 ชั่วโมง กรุ๊ปที่ 2 กินชา 30 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง รวมทั้งกลุ่มที่ 3 ใช้ยา metoclopramide 1 เม็ด (5 มก.) เวลามีลักษณะคลื่นไส้อาเจียนทุก 4 ชั่วโมง จดบันทึกปริมาณครั้งการอาเจียนก่อนและก็หลังการให้ยาทุกราย จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการอ้วกก่อนให้ยาทั้ง 3 กรุ๊ป มีค่าไม่ได้ต่างอะไรกัน แต่ว่าจำนวนการอ้วกกลุ่มที่ใช้ยา metoclopramide มีน้อยที่สุดรองลงมาคือยอ และชามีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด หมายความว่ายอลดอาการคลื่นไส้ได้มากกว่าน้ำชา
เมื่อเรียนรู้กลไกการออกฤทธิ์พบว่าผลยอมีฤทธิ์ต้านทาน dopamine อย่างอ่อน สารสกัดน้ำของผลยอสามารถรีบการบีบตัวของลำไส้เล็กในหนูเม้าส์ที่ได้ถูกกระตุ้นให้อาเจียนด้วย apomorphine แต่ไม่อาจจะต้านฤทธิ์ของ apomorphine สำหรับในการลดการบีบตัวของกระเพาะได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) มีรายงานว่าสาร acubin L-asperuloside และก็ alizarin ในผลลูกยอเป็น antibacterial agent สามารถปกป้องการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียต่างๆได้ เป็นต้นว่า Pseudomonas aeruginosa Proteus morgaii S Staphylococcus aureus Bacillus subtilis Escherichia coil Salmonella และก็ Shigella
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส (Antitviral activity) มีรายงานการค้นพบสารประเภทหนึ่งจากรากของต้นยอชื่อว่า 1-methoxy-2-formyl-3-hydroxy anthraquinone ซึ่งมีฤทธิ์ในการยังยั้งการเกิด cytopathic effect ของเชื้อ HIV ต่อการ infect MT4 cell โดยไม่มีการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรค (Antitubercular effects) มีการรายงานพบว่าลูกยอสามารถกำจัดการต่อว่าดเชื้อวัณโรคได้ถึง 97% เปรียบเทียบกับยา antibiotic ได้แก่ Rifampcin
ฤทธิ์ยับยั้งความปวด (Analgesic activity) มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดจากรากยอมีฤทธิ์ยับยั้งปวดในสัตว์ทดสอบ และผลที่เกิดจากการวิจัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ทัศนีย์ ปัญจานนท์ พบว่าสารสกัดจากผลยอไทยมีฤทธิ์ระงับปวดในสัตว์ทดสอบ
การเรียนทางพิษวิทยาการทดสอบความเป็นพิษ สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินฉีดเข้าทางช่องท้องหนูพบว่า ค่า LD50 พอๆกับ 0.75 กรัม/กก. สารสกัดเมทานอลกับน้ำจากผลฉีดเข้าทางท้องหนูเพศผู้พบว่า ค่า LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กก.น้ำหนักตัว ส่วนอีกการทดลองพบว่า สารสกัดเอทานอลกับน้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินขนาด 10 ก./กิโลกรัม ให้ทางสายยางสู่กระเพาะหนูหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่แสดงความเป็นพิษ
การทดลองพิษกึ่งเรื้อรังในหนูแรทโดยป้อนสารสกัดจากผลยอ ไม่พบความผิดแปลกอะไรก็ตามในค่าตรวจทางชีวเคมีในเลือด แล้วก็ค่าตรวจทางเลือดวิทยา นอกจากนี้การทดสอบความเป็นพิษโดยใช้สารสกัดด้วยน้ำจากผล
ยอแห้ง ก็ไม่เจอความเป็นพิษทั้งยังแบบทันควันรวมทั้งแบบเรื้อรัง
พิษต่อเซลล์ น้ำคั้นจากผลขนาด 6.25 มก./มล.ทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลส์ CAa-IIC ขณะที่สารสกัดเม-ทานอลจากใบ ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่เจอความเป็นพิษต่อเซลล์ CFI IS-RA II สารสกัดคลอโรฟอร์มแล้วก็น้ำจากรากทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ ในตอนที่สารสกัดเฮกเซนและเมทานอลจากรากไม่มีผลต่อความเคลื่อนไหวรูปร่างของเซลล์
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากผลไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อทดลองใน Bacillus subtilis
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง- สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ อยากน้ำย่อยเปปสิน (Pepsin) และก็ภาวะความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน โดยเหตุนี้ ถ้าเกิดกินน้ำลูกยอในช่วงเวลาที่ท้องอิ่มแล้วจะมีผลให้มีผลทาเภสัชของสารซีโรนินลดลง
- คุณประโยชน์ และก็คุณประโยชน์น้ำลูกยอจะลดลงเมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์
- การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่สมควรกระทำให้เมล็ดยอแตก เพราะเหตุว่าสารในเม็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจส่งผลให้ถ่ายหลายครั้งได้
- ผู้เจ็บป่วยโรคไตไม่ควรดื่มน้ำลูกยอ ด้วยเหตุว่ามีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
- สตรีตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับเลือด อาจจะเป็นผลให้แท้งลูกได้
เอกสารอ้างอิง- มากคุณค่าน้ำลูกยอ.สภาภรณ์ ปิติพร.2545.
- อัญชลี จูฑะพุทธิ ปุณฑริกา ณ พัทลุง อุไรวรรณ เพิ่มพิพัฒน์ เย็นจิตร เตชะดำรงสิน. การศึกษาฤทธิ์ต้านอาเจียนของผลยอ. ไทยเภสัชสาร 2539;20(3):195-202.
- ผลของใบยอและฟ้าทะลายโจรต่อการเปลี่ยนแปลงสีและอัตราการจับกินเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวในปลาทอง (Carasius auratus.) ชฎาธาร โทนเดียว,2527.
- วิชัย เอกพลากร สำรวย ทรัพย์เจริญ ประทุมวรรณ์ แก้วโกมล และคณะ. การศึกษาทางคลินิกของผลยอในการระงับอาการอาเจียน. รายงานการวิจัยโครงการสมุนไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน กระทรวงสาธารณสุข.
- ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คระเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ลูกยอ/ใบยอ น้ำลูกยอและสรรพคุณยอ.พืชเกษตรดอทคอม
- ยอ.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/
- ยอ.สมุนไพรไทยสรรพคุณสารพัดที่หลายคนมองข้าม.ศูนย์ปฏิบัติการช่างเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดนราธิวาส
- ยอ.สมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ. การพัฒนายาเพิ่มภูมิคุ้มกันจากสมุนไพร: ยอบ้าน (Morinda citrifolia L.). รายงานการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2546.
- Khurana H, Junkrut M, Punjanon T. Analgesic activity and genotoxicity of Morinda citrifolia. Thai J Pharmacol 2003;25(1):86.
- Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;122/4:36-65.
- Charoenpiriya A, Phivthong-ngam L, Srichairat S, Chaichantipyuth C, Niwattisaiwong N, Lawanprasert S. Subacute effects of Morinda citrifolia fruit extract on hepatic cytochrome P450 and clinical blood chemistry in rats. Thai J Pharm Sci 2003;27(suppl):69.
- Hiramatsu T,Imoto M,Koyano T, Umezawa K. Induction of normal phenotypes in ras- transformed cell by damnacanthal from Morinda citrifolia. Cancer Lett 1993;73(2/3):161-6.
- Dhawan BN,Patnalk GK, Rastogi RP, et al. Screening of Indian plant for biological activity. VI. Indian J Exp Biol 1977;15:208-19.
- Hirazumi A, Furusawa E. An immunomodulatory polysacharide-rich substance from the fruit juice of Morinda citrifolia (Noni) with antitomour activity. Phytother Res 1999;135:380-7.
- Nakahishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al. Phytochemical survey of Malaysian plant preliminary chemical and phramacological screening. Chem Pharm Bull 1965;137:882-90.
- Murakami A, Kondo A, Nahamura Y, Ohigashi H, Koshimizu K. Possible anti-tumor promoting properties of edible plants from Thailand and identification of an active constituent, cardamomin, of Boesenbergia pandurata. Biosci Biotech Biochem 1993;57(11):1971-3.
Tags :