รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 663 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะคลำ (โคราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
บ้านเกิด เช้าใจกันว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในตอนนี้ แล้วต่อจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ในแถบประเทศอินเดีย รวมถึงในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียและก็ประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้จะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นเกิดเริ่มแรกอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และก็มีชื่อเสียงดีเยี่ยมว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏใจความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่เอ่ยถึงมะขามอยู่หลายแห่ง เช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้ผู้ใดสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายประเภทเข้ามาสู่ประเทศไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  นอกเหนือจากนั้นมะขามยังเป็นพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ดังนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงคงทน แล้วก็ฯลฯไม้ที่แก่ยืนยาวมากมาย ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจเจ้าวัดวัดแค ว่า
“ตำราพิชัยสงครามล้วนความรู้บางทีก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งไปเสกใบมะขามได้เปรียบแตน”
มีชาวสุพรรณฯ ไม่น้อยเลยทีเดียวเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในตอนนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกเสกใบมะขามได้เปรียบแตนในครั้งกระโน้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมากมาย แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.มัธยม มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.มัธยม กว้าง 4.5-9 มัธยมม. ปลายใบมน หรือบางทีก็เว้าเข้าเล็กน้อย ฐานใบ 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบสีแดงเข้ม ขอบกลีบดอกไม้มีรอยย่นๆกลีบดอก 2 กลีบล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรชิดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมาก ฝักทรงกระบอก แบนนิดหน่อย ยาว 3-14 ซ.มัธยม กว้าง 2 ซ.มัธยม เปลือกนอกสีเทา ด้านในมีเม็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบวาว ออกดอกในตอนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถแพร่พันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบันนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายมากยิ่งขึ้น ก็เลยนิยมปลูกจากต้นประเภทที่ได้จากการทำหมัน และการเสียบยอดเป็นหลัก เพราะว่าสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีหลังการปลูก ทั้งยัง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีแบบนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดแจง และการเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง ตระเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และก็ต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน ต่อจากนั้น ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ก่อนจะกระทำขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 เซนติเมตร กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นจำพวกที่ได้จากการทำหมัน หรือการเพาะเมล็ด ควรเลือกขนาดต้นพันธุ์ที่สูงราวๆ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหรือวัสดุทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 เซนติเมตร ก่อนนำต้นประเภทลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียก ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังจากการปลูกแล้วจะกระทำให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะเริ่มต้นเพื่อต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อไป ค่อยให้น้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ทั้งนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยถ้าเกิดเป็นตอนๆฤดูฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมได้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยราวๆ ปีละ 2-3 ครั้ง ดังนี้ ควรจะให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกครั้งหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลตอบแทน
                ยิ่งไปกว่านี้มะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น ดังเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเซียอาคเนย์ และก็แอฟริกา  ก็เลยถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะขามเยอะมากๆ
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลพื้นฐานเม็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งบางส่วน  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% ได้แก่ โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์มองส่วนประกอบหลักๆพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามมีโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเมล็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) แล้วก็โกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบหมายถึงสิสเทอีนและก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกนั้นเปลือกเม็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีรายงานว่าในเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นค่ะเตวัวแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และก็ในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) นอกนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามชนิดแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามประเภทอื่นๆมีเม็ดสีชนิดแอนทอลแซนติเตียนน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และอาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนติเตียนนนิดหน่อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น และในเปลือกเม็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) ฯลฯ
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มก.
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มก.
  • วิตามินบี 5 0.143 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.066 มก.
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มก. Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มก. Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม


ผลดี/สรรพคุณ ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากมะขามสิ่งแรกที่พวกเรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากคือใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานสดๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับปรุงอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมากมาย ใช้เข้าครัวไทยที่ต้องการรสเปรี้ยว ได้แก่ แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง รวมทั้งต้มยำโฮกอือ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้สำหรับการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายแบบ ดังเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแดนนรก และก็น้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ดังนี้มะขามฝักอ่อนแล้วก็ใบมะขามอ่อน ก็นำมาปรุงอาหารได้เช่นเดียวกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำผลิตภัณฑ์ดัดแปลงได้อีกหลายอย่าง อย่างเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , แล้วก็ไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , แล้วก็ยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกเป็นต้นว่า แก่นไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าปริมาณร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เพราะว่ามีคุณลักษณะเหมาะสมกว่าไม้อื่นๆเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร นอกจากยังหาง่ายอละทนอีกด้วย เว้นแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา และก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ ถ้าหากเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) ประยุกต์ใช้เป็นอาหารได้หลายสิ่งหลายอย่าง เป็นต้นว่า คั่วให้สุกแล้วกินโดยตรง เอามาเพาะให้ผลิออกก่อน (เสมือนถั่วงอก) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปเข้าครัว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ ยิ่งกว่านั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดี
สำหรับคุณประโยชน์ทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบรวมทั้งฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการเบื่ออาหารและก็อาหารไม่ย่อยในช่วงฤดูร้อนลดระดับความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้ของกินไม่ย่อยและปัสสาวะทุกข์ยากลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ รวมทั้งมีคุณประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ และก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเน่าเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต นำมาต้มผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องร่วง , รักษาแผล เนื้อหุ้มเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แต่หากเอาไปต้มกระทั่งสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยสำหรับการย่อย ขับลม ขับเสมหะ , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้อยากดื่มน้ำ ทำให้แจ่มใส ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  รวมทั้งเป็นยาฆ่าเชื้อ และให้กินในรายที่ท้องผูกเสมอๆ แก้พิษเหล้า ของกินไม่ย่อย คลื่นไส้ ไม่สบายรวมทั้งท้องเดิน เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยสำหรับการรักษาแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่อข้าว แพ้ท้อง คลื่นไส้อ้วก ท้องผูก เด็กเป็นต้นตานขโมย ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อห่อเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายรับประทาน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อหุ้มเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ ข้างหลังคลอดและก็ข้างหลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้ท้องขึ้นแน่น อาหารไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนเป็นขี้เถ้าขาว กินทีละ 60-120 มก. และยังใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากกลั้วคอ แก้คอเจ็บรวมทั้งปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ดกินทีละ 15 กรัม ช่วยสำหรับในการย่อยอาหาร  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำได้ 3 วิธี เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือบางส่วน แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเสีย ท้องเสีย ใช้เปลือกเม็ดสีน้ำตาลแดงวาว 600 มิลลิกรัม เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มเมล็ด กินครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียและก็อ้วกรวมทั้งใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เม็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำเกลือกระทั่งนิ่ม แล้วกินครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและก็การบูรเล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้และอาการอักเสบต่างๆดังเช่น เป็นไข้ ของกินไม่ย่อย อาการผิดปกติเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ท้องเดิน รวมทั้งใช้แก้ลมแดดเจริญ ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม เตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมากิน แก้อาการเบื่ออาหาร (ความสามารถของยาชง จะมากขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและการบูร ช่วยเพิ่มรส) และก็ในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อหุ้มห่อเมล็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเม็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อเม็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาติเตียนสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากกลั้วคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดวัน มะขามเปียกและดินสอพองผสมกระทั่งเหมาะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับผ่องใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและก็นมสด ใช้พอกผิว ช่วยทำให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่กำหนดขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่กระจ่าง ในตอนที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. ได้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาข้างต้นต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่ระบุขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนแล้วก็สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. และก็สารสกัดน้ำ ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli แล้วก็ Salmonella typhi แม้กระนั้นสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังที่กล่าวถึงแล้วอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดสอบกินพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่สมควรสำหรับการบริโภคในไก่หมายถึง100 มิลลิกรัมต่อกิโล โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) แล้วก็ลดสภาวะออกซิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็ดีการเรียนอีกฉบับกล่าวว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกเมล็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่ได้กล่าวมาแล้วเจอผลเสียคือ ดื่มน้ำเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มีขนาดของตับอ่อนและความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาวิจัยชี้แนะว่าเป็นผลมาจากโพลีแซคค้างไรด์ที่ไม่อาจจะย่อยได้
การเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้และเพศเมียที่ทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศภรรยาที่กินอาหารผสมดังที่กล่าวถึงมาแล้วขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% แล้วก็ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักลดลง (weight gain) และก็ feed conversion ratios ลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ คือ มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 รวมทั้ง 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กรุ๊ปที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase แล้วก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และ total protein จะไม่กลับสู่ภาวะปกติในตอน 2 อาทิตย์หลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลของการตรวจทางเลือดวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศเมียรวมทั้งเพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 และ 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติปฏิบัติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินอาหาร ผลทางวิชาชีวเคมีในปัสสาวะรวมทั้งเลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF กินอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 แล้วก็ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความแตกต่างจากปกติใดๆก็ตามความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้พอๆกับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน และก็ในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่สารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงสู่กระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กิโลกรัม ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารเข้าไปยังกระเพาะอาหารหนูขาวเพศภรรยา ขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต้านทานการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
คำแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • สำหรับการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยยิ่งไปกว่านั้นมะขามสุก)นั้นควรจะเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อโรครา ด้วยเหตุว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากจนเกินความจำเป็นอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อย่างเช่น ท้องร่วง ท้องร่วง
  • การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลสำหรับเพื่อการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรบริโภคแต่พอดิบพอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีมีผลการค้นคว้าที่บ่งชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรใช้มะขามมาลดหุ่น
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเทพวิมลโมลี.  ตำรายากลางบ้าน.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์มงกุฏราช
บันทึกการเข้า