รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง  (อ่าน 528 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


เพกา
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (วัวราช,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (นราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุมึง ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
วงศ์             Bignoniaceae
บ้านเกิด เพกาเป็นพืชพื้นถิ่นที่มีมาตั้งแต่เริ่มแรกของทวีปเอเชีย ซึ่งพบในประเทศอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารพบได้หลายประเทศ ดังเช่นว่า อินเดีย ประเทศพม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมทั้ง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะพบเพกาตามป่าเบญจพรรณ รวมทั้งป่าเปียกชื้นทั่วๆไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถเจอเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็ดีในการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนไทยแค่นั้นที่เอามาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลสำหรับในการเอามาบริโภคเป็นอาหารแต่อย่างใด
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลางรวมทั้งเป็นไม้ ครึ่งหนึ่งผลัดใบไหมผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นโดยประมาณ 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่ตรงกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกลุ่มกึ่งกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งเกะกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม แล้วก็แผลของใบยาวถึง 150 ซม. เป็นผลมาจากใบที่หล่นไปแล้ว ลำต้นแล้วก็แขนงมีรูระบายอากาศ กระจายอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดร่วงของใบ ใบประกอบแบบขน 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงกันข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 เซนติเมตร ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆด้านล่าง ท้องใบนวล ก้านใบข้างบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง รวมทั้งก้านใบล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดเป็นสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมกันคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มไม้ของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 เซนติเมตร กลีบดอกสีนวลปนเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงข้างนอก หลอดกลีบดอกไม้ยาว 2-4 ซม. รูปแตร กลีบหนา ขอบย่น ไม่มีพู หรือพูแตกต่างกัน มีต่อมกระจายอยู่ด้านนอก ข้างในมีขนหนาแน่น ดอกบานช่วงเวลากลางคืน มีกลิ่นสาบฉุน และก็ตกช่วงเวลาเช้า มักจะมีดอกรวมทั้งผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ใกล้กับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างชัดแจ้ง เมื่อเป็นผล กลีบเลี้ยงนี้จะก้าวหน้าเป็นเนื้อแข็งมากมาย ผลเป็นฝัก แบน โค้งบางส่วนที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ เหมือนรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 ซม. สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปกระบี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ส่วน เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 ซม. มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เม็ดลอยละลิ่วตามกระแสลมให้ตกห่างต้นเพื่อขยายพันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด  โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เพราะว่าหลังจากฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ตอนหนึ่ง ถ้าหากนำเม็ดมาเพาะในพักหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรจะเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อให้ย้ายต้นลงปลูกเอาไว้ภายในแปลงได้สบาย โดยนำเม็ดออกจากฝัก รวมทั้งผึ่งแดดสัก 2-3 วันก่อน จากนั้นค่อยเอามาเพาะ  สำหรับวัสดุเพาะ ควรที่จะใช้ดินผสมกับอุปกรณ์อินทรีย์ ยกตัวอย่างเช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก แล้วก็แกลบดำ แต่ว่าแม้ไม่สะดวกให้ใช้เพียงแต่ปุ๋ยธรรมชาติอย่างเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนบรรจุลงถุงเพาะชำ หลังจากนั้น นำเม็ดลงกลบ รวมทั้งรดน้ำให้ชุ่ม พร้อมกับดูแลด้วยการรดน้ำบ่อยๆทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง กระทั่งต้นจะแตกหน่อ แล้วก็แตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกในแปลง  การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดราวๆ 30 ซม. ลึกราวๆ 30 เซนติเมตร ก่อนจะรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยธรรมชาติราว 3-5 กำ แล้วก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ราว 1 จับมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก
ส่วนประกอบทางเคมี
ในฝักพบสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเมล็ดพบสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเม็ดเจอสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบเจอสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นเจอสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากเจอสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของด้วยเหตุว่านั้นมีดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มก. วิตามินบี2 0.69 มก.แล้วก็วิตามินบี3 2.4 มิลลิกรัม  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มก. วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มก., ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ประโยชน์/สรรพคุณ  คุณประโยชน์ของเพกานั้นโดยมากนิยมเอามารับประทานเป็นของกิน ดังเช่น ฝักอ่อน อายุฝักโดยประมาณ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักท้องถิ่นที่นิยมเอามากินด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก เมนูลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อรับประทานจะมีรสขมอ่อนๆดังนี้ การย่างไฟ นิยมย่างไฟจากเตาถ่าน แต่บางทีอาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยปิ้งให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และอ่อนตัวจนไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ จากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนเอามาหั่นกิน    ใบ และยอดอ่อน ประชาชนนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ แล้วก็รายการอาหารลาบต่างๆรวมถึงนำมาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ทั้งนี้ ใบอ่อน และก็ยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานมากเท่าไรนัก เพราะจำเป็นให้ยอดเติบโต และก็ติด ดอกบานนิยมนำมาลวกเพียงแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม รวมทั้งให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และก็ยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด และก็มักจะใช้สำหรับรับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้คุณประโยชน์อื่นๆนั้น เช่น แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคอีสาน นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ดังนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ทั้งในรูปไม้สด เพราะเหตุว่าเนื้อไม้สดค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว รวมทั้งเผาในรูปท่อนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่า แม้กระนั้นปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เนื่องจาก ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น และหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง รวมทั้งส่งออกต่างประเทศเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกเหนือจากนี้ชาวเขายังใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้เพกายังมีคุณประโยชน์ทางยาอีกด้วย ดังต่อไปนี้  แบบเรียนยาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำกิน แก้ไอและก็ขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ เม็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน หิวน้ำ ฝักแก่ มีรสขมรับประทานได้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ระงับไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำกินแก้ปวดท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และก็ขมเล็กน้อย เป็นยาสมานแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงโลหิต แก้เสลดจุกคอ ขับเสลด แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมนิดหน่อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยของกิน เจริญอาหาร   แก้ท้องเดิน แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกา 5    ได้แก่การใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณสมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด

รูปแบบ/ขนาดการใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม บวมช้ำ แล้วก็ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทาบริเวณฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับเหล้า     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กรูปแบบเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นเรียกตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟมิได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทารอบๆฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือบก    กินขับลมในไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อาเจียนไม่หยุด    กินแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสลด) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
ยิ่งไปกว่านี้ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากต้นหญ้าคา รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนรับประทานอาหาร ยามเช้าและเย็น  ช่วยแก้แล้วก็บรรเทาอาการไอ และก็ขับเสมหะโดยใช้เม็ดแก่เพการาวครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ด้านในหม้อที่เพิ่มเติมน้ำ 300 มล. แล้วต้มไฟอ่อนๆกระทั่งเดือดราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว เช้าตรู่ กลางวัน เย็น จวบจนกระทั่งอาการจะดียิ่งขึ้น  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย ต้นหญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันอย่างรอบคอบ แล้วก็ค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวขัดถู ใช้ขนไก่ชุบพาด นำมาทาลูกอัณฑะ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้บวมด้วย dextran รวมทั้งจะมีผลลดบวมเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน แล้วก็ฮีสตามีน แม้กระนั้นไม่เป็นผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูธรรมดา
           จากการเรียนรู้ฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดสอบ พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบเป็นPGE2 รวมทั้ง NF-kB รวมทั้งยังออกฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยการขัดขวางวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น รวมทั้งรากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase แล้วก็พบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกาก็มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี 5-lipoxygenase ได้เหมือนกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับเพื่อการทดลองฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ  นอกนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งแก้ท้องเดินสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น แล้วก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์ดังเช่นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และ Pseudomonas aeruginosa รวมทั้งยังมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราCandida albicans แล้วก็เจอสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis แล้วก็ S. aureus ได้เทียบเท่ากับยา streptomycin  สารสกัดเพกาทั้งต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC เท่ากับ 125 มก./มิลลิลิตร) แต่มีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC เท่ากับ 15.13 มก./มล.) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และก็ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ แล้วก็ใช้ทุเลาอาการท้องเสียที่มิได้เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องร่วงในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง แล้วก็มีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  ยิ่งกว่านั้นยังมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่กระตุ้นให้เกิดอุจจาระตก 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบหมายถึงBacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และ แบคทีเรียที่แยกได้จากของกิน ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดียิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์แล้วก็สารสกัดของสมุนไพรลำพังแต่ละชนิดที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้ามเนื้อ  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านทานการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้เล็ก เมื่อทำทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกทำให้เกิดการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine แล้วก็ histamine
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การเล่าเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับเพื่อการต้านทานสารอนุมูลอิสระ DDPH รวมทั้งยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร รวมทั้ง ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มล. ของสารทั้ง 2 ตามลำดับ
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การเล่าเรียนทดสอบสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับเพื่อการต้านทานเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยั้งเซลล์มะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าจำนวนร้อยละ 50 ข้างใน 36-48 ชั่วโมง
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดสอบกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กิโลกรัม มีกล่าวว่าทำให้มีการเกิดพิษ Dhar แล้วก็แผนก ทำทดลองฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) และสารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) เข้าท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose)เป็น100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และก็ 1 กรัม/กิโลกรัม เป็นลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำการทดสอบความเป็นพิษกระทันหันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าท้องแล้วก็กรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่กระตุ้นให้เกิดพิษกระทันหันในหนู รวมทั้งเมื่อทดสอบความเป็นพิษรุนแรงโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงมากขึ้นเป็น400 รวมทั้ง 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่นำมาซึ่งพิษกะทันหันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แม้กระนั้นนำไปสู่พิษรุนแรงได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มก./กิโล สำหรับความเป็นพิษกึ่งรุนแรงของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 รวมทั้ง 800 มก./กก.น้ำหนักตัว วันแล้ววันเล่าเป็นเวลา 30 วัน  พบว่าไม่ก่อให้เกิดพิษฉับพลันในหนู
และก็เมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียวให้หนูแรท พินิจการกระทำภายใน 14 วัน ไม่พบพิษแบบรุนแรงรวมทั้งความไม่ดีเหมือนปกติของอวัยวะภายใน แล้วก็เมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 รวมทั้ง 4 กรัม/กก./วัน แก่สัตว์ทดลองติดต่อกันตรงเวลา 90 วันไม่พบพิษแบบครึ่งหนึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และทางวิชาชีวเคมี และความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) แล้วก็รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดลองความเป็นพิษแบบฉับพลันในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยแนวทาง Ames’ test จากผลของการทดสอบพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดสอบ (2 มก./จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 รวมทั้ง TA100 พบว่าไม่มีคุณสมบัติในการนำมาซึ่งการ กลายพันธุ์ อมรศรี และภาควิชา พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดลองโดยแนวทาง Ames’ test
การวัดความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยแนวทาง somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สามารถทำให้เกิด somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กรุ๊ปควบคุม รวมทั้งมีแถลงการณ์ว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสถานการณ์โอบล้อมที่เป็นกรดแล้วเอามาทดสอบการกลายพันธุ์ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรคำนึง

  • หญิงตั้งครรภ์ไม่สมควรรับประทานฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากมีฤทธิ์ร้อน โดยอาจจะทำให้แท้งบุตรได้
  • ควรระวังสำหรับการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านทานการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ดังเช่นว่า แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจจะส่งผลให้เป็นผลใกล้กันได้ ดังเช่นว่า มีการระคายกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบา
บันทึกการเข้า