รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 409 ครั้ง)

gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 14
    • ดูรายละเอียด


มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
วงศ์  Fabaceae
ถิ่นเกิด เชื่อกันว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน ต่อจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกในแถบอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียรวมทั้งประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นเกิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา แล้วก็มีชื่อเสียงดีมากว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏข้อความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 ยุคบิดาขุนรามคำแหง ที่เอ๋ยถึงมะขามอยู่หลายแห่ง ได้แก่ ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนไหนสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น  จากหลักฐานดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยอาจจะบอกได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจัดกระจายจำพวกเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งกว่านั้นมะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามเป็นต้นไม้แข็งแรงคงทน และเป็นต้นไม้ที่แก่ยืนยาวมากประเภทหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ มั่นใจว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจจะสมภารวัดแค ว่า
“อีกทั้งพิชัยสงครามล้วนวิชาความรู้บางทีอาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกอย่างไปทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะๆเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในตอนนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่สามเณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตนในครั้งกระโน้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.ม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.ม. กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือครั้งคราวก็เว้าเข้าเล็กน้อย ฐานใบทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบห่อดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงอ่อนๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ขอบกลีบดอกมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกันจากส่วนกลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนน้อย ยาว 3-14 ซ.ม. กว้าง 2 เซลเซียสมัธยม เปลือกนอกสีเทา ข้างในมีเม็ด 3-10 เม็ด เมล็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบเป็นมัน มีดอกในตอนพ.ค.เป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถขยายพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยนิยมนำมาปลูกจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการทำหมัน แล้วก็การแทงยอดเป็นหลัก เนื่องจากว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก อีกทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ และก็การเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง เตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และก็ต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน หลังจากนั้น ค่อยไถกลบอีกรอบ แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนจะทำการขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 ซม.
  • การปลูก ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเมล็ด ควรเลือกขนาดต้นประเภทที่สูงราว 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยหมักหรืออุปกรณ์ทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 ซม. ก่อนนำต้นจำพวกลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียก ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางปกคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังการปลูกแล้วจะกระทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในระยะต้นเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรจะให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อจากนั้น ค่อยให้น้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยถ้าหากเป็นตอนๆฤดูฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมได้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อรีบผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกหนภายหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลประโยชน์
                นอกจากนี้มะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น ดังเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา  จึงถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยและก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับมะขามจำนวนไม่ใช่น้อย
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเม็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งเล็กน้อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% ดังเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณามองส่วนประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามประกอบด้วยโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเม็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) และโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ สิสเทอีนและเมทไธโอนีน อยู่สูงถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้เท่ากับ 2.50%  นอกจากนี้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นขาเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) ยิ่งไปกว่านี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามพันธุ์แดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามจำพวกอื่นๆมีเม็ดสีพวกแอนทอลแซนตำหนิน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามโดยประมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนติเตียนนนิดหน่อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น แล้วก็ในเปลือกเม็ดมะขามมีลิวโคแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มก.
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มก.
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม


คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของมะขามสิ่งแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับปรุงอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมากมาย ใช้ประกอบอาหารไทยที่อยากได้รสเปรี้ยว ได้แก่ แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง และต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกจากยังคงใช้สำหรับเพื่อการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายอย่าง อย่างเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก และน้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนและใบมะขามอ่อน ก็เอามาปรุงอาหารได้สิ่งเดียวกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าดัดแปลงได้อีกหลายแบบ อาทิเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และก็ไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , และก็แชมพูมะขาม ฯลฯ  ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกเช่น เนื้อไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าจำนวนร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เนื่องจากมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าไม้อื่นๆดังเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังหาง่ายอละทนทานอีกด้วย นอกเหนือจากใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา แล้วก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือสลัก ถ้าเกิดเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นอาหารได้หลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่น คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง เอามาเพาะให้แตกออกก่อน (เหมือนถั่วงอก) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปปรุงอาหาร หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกจากนั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวเจริญ
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบและก็ฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารกินแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารแล้วก็อาหารไม่ย่อยในฤดูร้อนลดความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยแล้วก็ฉี่ลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ รวมทั้งเป็นประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยในการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต นำมาต้มผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องเดิน , สมานแผล เนื้อหุ้มห่อเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แต่ถ้าหากเอาไปต้มจนถึงสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกนั้นยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยย่อย ขับลม ขับเสมหะ , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้มีชีวิตชีวา ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย  และเป็นยาฆ่าเชื้อ และให้กินในรายที่ท้องผูกเสมอๆ แก้พิษเหล้า อาหารไม่ย่อย อาเจียน จับไข้รวมทั้งท้องเดิน เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเดิน ช่วยสำหรับในการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่อข้าว แพ้ท้อง คลื่นไส้อ้วก ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มห่อเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายกิน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเมล็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ ข้างหลังคลอดและหลังฟื้นใช้ ทำให้ชื่นบาน หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้ท้องเฟ้อแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินกระทั่งเป็นขี้เถ้าขาว รับประทานทีละ 60-120 มิลลิกรัม แล้วก็ยังใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากบ้วนปาก แก้คอเจ็บแล้วก็ปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มเม็ดรับประทานครั้งละ 15 กรัม ช่วยย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 วิธี คือใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือเล็กน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนกิน แก้ท้องเดิน ท้องเดิน ใช้เปลือกเม็ดสีน้ำตาลปนแดงเป็นมัน 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการไม่ปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ด กินครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียและอาเจียนและก็ใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนนุ่ม แล้วกินทีละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานรวมทั้งการบูรเล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้และก็อาการอักเสบต่างๆยกตัวอย่างเช่น เจ็บป่วย อาหารไม่ย่อย อาการไม่ปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องร่วง แล้วก็ใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการไม่อยากกินอาหาร (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อห่อเม็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อหุ้มเม็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาตำหนิสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากบ้วนปากแก้เจ็บคอ กระเพาะอาหารอักเสบ  นำมะขามแฉะไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดวัน มะขามเปียกรวมทั้งดินสอพองผสมกระทั่งถูกกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูสวยสดใส

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.กรัม แล้วก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ให้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus คลุมเครือ เวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. ได้ผลยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและก็สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มิลลิลิตร และสารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มล. ไม่เป็นผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง เป็นต้นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonella typhi แต่สารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอย่างอ่อน
มีการทดสอบในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดลองรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าจำนวนที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการบริโภคในไก่เป็น100 มิลลิกรัมต่อกิโล โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดภาวการณ์ออกซิเดทีฟสเตรทได้ แม้กระนั้นการเรียนอีกฉบับแถลงการณ์ว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่กล่าวมาข้างต้นเจอผลกระทบในด้านที่เสียหายเป็น ดื่มน้ำมากยิ่งขึ้นและมีขนาดของตับอ่อนแล้วก็ความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเสนอแนะว่ามีต้นเหตุมาจากโพลีแซคค้างไรด์ที่ไม่สามารถที่จะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้แล้วก็เพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคค้างไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศเมียที่ทานอาหารผสมดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นขนาด 1.2 รวมทั้ง 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่อาทิตย์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% รวมทั้ง 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักน้อยลง (weight gain) และ feed conversion ratios ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ คือ มีการเปลี่ยนของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 และก็ 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase แล้วก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol รวมทั้ง total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ปกติในช่วง 2 อาทิตย์ภายหลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศภรรยารวมทั้งเพศผู้ทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเม็ดมะขาม 4, 8 และ 12% นาน 2 ปี ไม่พบความเคลื่อนไหวของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินของกิน ผลทางวิชาชีวเคมีในเยี่ยวแล้วก็เลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ แล้วก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความไม่ปกติอะไรก็แล้วแต่ความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้พอๆกับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กก./วัน แล้วก็ในหนูเพศเมียพอๆกับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่เจอพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กิโลกรัม ไม่พบพิษต่อตัวอ่อนในท้อง รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารเข้าไปยังกระเพาะอาหารหนูขาวเพศเมีย ขนาด 200 มก./กิโลกรัม ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ว่าไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และ TA98
ข้อแนะนำ/ข้อควรคำนึง

  • ในการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะมะขามสุก)นั้นควรที่จะทำการเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อโรครา เพราะบางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
  • การบริโภคมะขามมากจนเกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อย่างเช่น ท้องเดิน ท้องร่วง
  • การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลสำหรับการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรบริโภคแต่ว่าพอดิบพอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการค้นคว้าที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ ฉะนั้นก็เลยไม่ควรใช้มะขามมาลดน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเ
บันทึกการเข้า