รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง  (อ่าน 370 ครั้ง)

gggggg020202

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 14
    • ดูรายละเอียด


เพกา
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (โคราช,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุแก ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
ตระกูล             Bignoniaceae
ถิ่นกำเนิด เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งพบในอินเดียแล้วก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารพบได้หลายประเทศ เป็นต้นว่า ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย รวมถึง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งชอบเจอเพกาตามป่าเบญจพรรณ และป่าชื้นทั่วไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเพกาได้ทุกภาคของประเทศ แม้กระนั้นสำหรับเพื่อการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนประเทศไทยเท่านั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลในการเอามาบริโภคเป็นของกินอะไร
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลางแล้วก็เป็นไม้ ครึ่งผลัดใบไหมผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นประมาณ 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่กึ่งกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกรุ๊ปตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม หลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งเกะกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และแผลของใบยาวถึง 150 เซนติเมตร มีเหตุมาจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้นและแขนงมีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายอยู่ทั่วๆไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขน 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงกันข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบเกลี้ยง หรือมีขนสีขาวสั้นๆด้านล่าง ท้องใบนวล ก้านใบเหนือสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบด้านล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดทั้งปวงเป็นรูปสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก็ก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานแล้วก็ที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มไม้ของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 ซม. กลีบสีนวลปนเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงภายนอก หลอดกลีบดอกไม้ยาว 2-4 ซม. รูปแตร กลีบหนา ขอบย่น ไม่มีพู หรือพูไม่เท่ากัน มีต่อมกระจัดกระจายอยู่ภายนอก ข้างในมีขนหนาแน่น ดอกบานตอนค่ำ มีกลิ่นสาบฉุน รวมทั้งหล่นเช้าตรู่ ชอบมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ชิดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างชัดแจ้ง เมื่อได้ผล กลีบเลี้ยงนี้จะรุ่งเรืองเป็นเนื้อแข็งมากมาย ผลเป็นฝัก แบน โค้งนิดหน่อยที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ คล้ายรูปลิ้น แขวนอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปดาบ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ด้าน เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 เซนติเมตร มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เมล็ดลอยละล่องตามแรงลมให้ตกห่างต้นเพื่อแพร่พันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถเพาะพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด  โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนเอามาเพาะเมล็ด เนื่องจากว่าภายหลังฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ช่วงหนึ่ง แม้นำเมล็ดมาเพาะในช่วงหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรจะเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อย้ายต้นลงปลูกไว้ในแปลงได้สะดวก โดยนำเมล็ดออกจากฝัก แล้วก็ผึ่งแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อจากนั้นค่อยเอามาเพาะ  สำหรับวัสดุเพาะ ควรใช้ดินผสมกับสิ่งของอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยธรรมชาติ ปุ๋ยธรรมชาติ และก็แกลบดำ แต่ว่าหากไม่สบายให้ใช้เพียงแค่ปุ๋ยหมักสิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนใส่ลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเม็ดลงกลบ และรดน้ำให้เปียก กับดูแลด้วยการรดน้ำเป็นประจำวันแล้ววันเล่า ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้ง จนกว่าต้นจะผลิออก รวมทั้งแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกไว้ในแปลง  การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นฤดูฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกโดยประมาณ 30 ซม. ก่อนที่จะรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักประมาณ 3-5 กำ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 ถือมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนที่จะนำกล้าเพกาลงปลูก
ส่วนประกอบทางเคมี
ในฝักเจอสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดพบสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเม็ดพบสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบพบสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นเจอสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของเนื่องจากว่านั้นมีดังนี้
ค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมแล้วก็วิตามินบี3 2.4 มก.  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มิลลิกรัม วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
คุณประโยชน์/สรรพคุณ  คุณประโยช์จากเพกานั้นส่วนใหญ่นิยมเอามากินเป็นอาหาร เช่น ฝักอ่อน อายุฝักโดยประมาณ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักพื้นเมืองที่นิยมเอามารับประทานด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก รายการอาหารลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆดังนี้ การย่างไฟ นิยมปิ้งไฟจากเตาถ่าน แต่อาจปิ้งจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และอ่อนตัวกระทั่งไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ ต่อจากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นรับประทาน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ชาวบ้านนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ รวมทั้งเมนูลาบต่างๆรวมทั้งเอามาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ทั้งนี้ ใบอ่อน รวมทั้งยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานเท่าไรนัก ด้วยเหตุว่าจำเป็นให้ยอดเติบโต และติด ดอกบานนิยมนำมาลวกแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนิ่ม แล้วก็ให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และยอดอ่อน นับได้ว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด และชอบใช้สำหรับรับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้คุณประโยชน์อื่นๆนั้น เป็นต้นว่า แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคอีสาน นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ดังนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้อีกทั้งในรูปไม้สด เนื่องจากแก่นไม้สดค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว และเผาในรูปท่อนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายยิ่งกว่า แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เพราะเหตุว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น รวมทั้งหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง และส่งออกต่างประเทศเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกเหนือจากนี้คนภูเขายังใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้เพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังนี้  ตำรายาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำดื่ม แก้ไอแล้วก็ขับเสลด ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสลด เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากดื่มน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และขมเล็กน้อย เป็นยาสมานแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงเลือด แก้เสมหะจุกคอ ขับเสลด แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมนิดหน่อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยของกิน เจริญอาหาร   แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกา 5    คือการใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีคุณประโยชน์สมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเดิน บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด

ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำ แล้วก็ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทาบริเวณฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับเหล้า     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กแบบเป็นเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นตามตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือสินเธาว์    กินขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อ้วกไม่หยุด    รับประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสลด) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
ยิ่งไปกว่านี้ ช่วยรักษาโรคโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากต้นหญ้าค้าง รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำทีละ 1 แก้วเล็ก ก่อนกินอาหาร เช้าตรู่และเย็น  ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ และขับเสลดโดยใช้เมล็ดแก่เพการาวครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ไว้ในหม้อที่เพิ่มน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆจนถึงเดือดโดยประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดียิ่งขึ้น  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย ต้นหญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันให้ถี่ถ้วน แล้วก็ค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวถู ใช้ขนไก่ชุบพิง นำมาทาลูกอัณฑะ
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้บวมด้วย dextran รวมทั้งจะส่งผลลดบวมมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกทำให้มีการเกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน รวมทั้งฮีสตามีน แม้กระนั้นไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
           จากการเล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบเป็นPGE2 และก็ NF-kB รวมทั้งยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการหยุดยั้งวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น แล้วก็รากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase และก็พบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกาก็มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เช่นกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานในการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ  นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและแก้ท้องเสียสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น รวมทั้งรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์เป็นต้นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และ Pseudomonas aeruginosa และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราCandida albicans แล้วก็เจอสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ B. subtilis และ S. aureus ได้เสมอกันกับยา streptomycin  สารสกัดเพกาอีกทั้งต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC พอๆกับ 125 มก./มิลลิลิตร) แต่ว่ามีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC พอๆกับ 15.13 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มก./มล. มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus รวมทั้ง Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ และก็ใช้ทุเลาอาการท้องร่วงที่มิได้มีเหตุมาจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง และมีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งอุจจาระร่วง 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบ คือ Bacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 แล้วก็ แบคทีเรียที่แยกได้จากของกิน ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และสารสกัดของสมุนไพรเดี่ยวแต่ละประเภทที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้ามเนื้อ  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านทานการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อกระทำการทดลองในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการหดเกร็งของกล้ามส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine แล้วก็ histamine
ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH รวมทั้งยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของสารทั้ง 2 ตามลำดับ
ฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็ง การเล่าเรียนทดลองสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับเพื่อการต้านทานเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าปริมาณร้อยละ 50 ด้านใน 36-48 ชั่วโมง
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดลองกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กก. มีรายงานว่ากระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษ Dhar รวมทั้งคณะ กระทำการทดสอบฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose) คือ 100 มก./กิโลกรัม แล้วก็ 1 กรัม/กก. ตามลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำการทดลองความเป็นพิษทันควันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าท้องรวมทั้งกรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่นำมาซึ่งพิษรุนแรงในหนู รวมทั้งเมื่อทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้น คือ 400 และก็ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้มีการเกิดพิษกระทันหันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่นำไปสู่พิษกะทันหันได้เมื่อฉีดเข้าท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับความเป็นพิษกึ่งรุนแรงของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 รวมทั้ง 800 มก./กก.น้ำหนักตัว ทุกเมื่อเชื่อวันตรงเวลา 30 วัน  พบว่าไม่นำไปสู่พิษฉับพลันในหนู
และเมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียวให้หนูแรท พินิจพฤติกรรมภายใน 14 วัน ไม่พบพิษแบบกะทันหันและก็ความแตกต่างจากปกติของอวัยวะภายใน และเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และ 4 กรัม/โล/วัน แก่สัตว์ทดสอบต่อเนื่องกันเป็นเวลา 90 วันไม่เจอพิษแบบกึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และทางวิชาชีวเคมี รวมทั้งความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และรางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านโรคมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยสำหรับการทดลองความเป็นพิษแบบกะทันหันในสัตว์ทดสอบ
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยแนวทาง Ames’ test จากผลของการทดสอบพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดสอบ (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะในการก่อให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี รวมทั้งภาควิชา พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดลองโดยวิธี Ames’ test
การประมาณความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยวิธี somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มิลลิกรัม/มล. สามารถก่อกำเนิด somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกลดน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และก็มีกล่าวว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาพการณ์โอบล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดลองการกลายพันธุ์ พบว่าสินค้าที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • หญิงมีครรภ์ไม่ควรกินฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากมีฤทธิ์ร้อน โดยอาจจะเป็นผลให้แท้งลูกได้
  • ควรจะระวังในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านทานการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ดังเช่นว่า แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจจะทำให้เป็นผลข้างๆได้ ได้แก่ มีการระคายกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ประสานงาน
บันทึกการเข้า