มะกรูดชื่อสมุนไพร มะกรูดชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะขูด , มะขุน (ภาคเหนือ) , ส้มมั่วผี , ส้มกรูด (ภาคใต้) , โกร้ยเชีด (เขมร) , มะขู (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ Kaffir lime , Mauritius papeda , Leech lime
ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus hystrix DC.
สกุล RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด เป็นพืชเครือญาติส้ม และก็มะนาว เป็นพืชท้องถิ่นในเขตร้อนชื้นแถบประเทศเอเซียอาคเนย์ ตัวอย่างเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา ฯลฯ ซึ่งถูกจัดเป็นไม้ผล สำหรับมะกรูดในประเทศไทยนั้น ชาวไทยคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าเป็นสมุนไพรคู่ห้องครัวไทยมาอย่างยาวนาน เพราะเหตุว่านิยมใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงที่ต้องอย่างห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเลย (ซึ่งปกติแล้วเรามักจะนิยมใช้ใบมะกรูดรวมทั้งผิวมะกรูดมาเป็นส่วนประกอบของพริกแกง) นอกเหนือจากนี้มะกรูดก็ยังมีคุณประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความงดงามและก็ในด้านของยาสมุนไพร ทั้งยังยังนับว่าเป็นไม้มงคลที่นิยมนำมาปลูกไว้บริเวณบ้านอีกด้วย เพราะเหตุว่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้อาศัยสุขสบาย โดยชอบปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน
ลักษณะทั่วไปมะกรูด เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เนื้อไม้เป็นเนื้อแข็ง เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนไม่ใช่น้อยตั้งแต่ระดับล่างของลำต้นทำให้มีลักษณะเป็นพุ่มไม้ ตามลำต้น แล้วก็กิ่งมีหนามแหลมยาว ใบมะกรูด เป็นใบประกอบ ออกเป็นใบโดดเดี่ยว มีก้านใบแบออกเป็นครีบเหมือนแผ่นใบ ใบมีลักษณะดก เรียบ มีผิวมัน สีเขียว แล้วก็เขียวเข้มตามอายุของใบ ใบมีคอดกิ่วที่กึ่งกลางใบทำให้ใบแบ่งออกเป็น 2 ตอน หรือ คล้ายใบไม้ 2 ใบ ต่อกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ยาวราวๆ 5-12 ซม. ใบมีกลิ่นหอมมากมายเพราะว่ามีต่อมน้ำมันอยู่ ดอกมะกรูดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกออกเป็นช่อมีสีขาว แทงออกรอบๆส่วนยอดหรือตามซอกใบ แต่ละช่อมีดอกโดยประมาณ 1-5 ดอก หลีบดอกมีสีขาวครีม 5 กลีบ มีขนปกคลุม ด้านในดอกมีเกสรมีสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมหวนนิดหน่อย และเมื่อแก่จะหล่นง่าย ผลมะกรูดหรือลูกมะกรูด มีลักษณะค่อนข้างกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 ซม. ผลเหมือนผลส้มซ่า ผลมีขนาดใหญ่กว่ามะนาวน้อย รูปแบบของผลมีรูปร่างนาๆประการแล้วแต่ประเภท เปลือกผลค่อนข้างหนา ผิวเปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวตะปุ่มตะป่ำเป็นลูกคลื่นหรือเป็นปุ่มนูน ข้างในเปลือกมีต่อมน้ำมันหอมระเหยจำนวนมาก มีจุกที่หัว แล้วก็ด้านหลังของผล เมื่อสุก ผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ข้างในผลประกอบด้วยเนื้อฉ่ำน้ำ มีเมล็ดแทรกบริเวณกึ่งกลางผล 5-10 เมล็ด เนื้อผลมีรสเปรี้ยวผสมขมบางส่วน
การขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์มะกรูดสามารถทำได้ด้วยหลายแนวทาง ยกตัวอย่างเช่น การทำหมันกิ่ง การทาบกิ่ง การต่อว่าดตา การต่อยอด รวมทั้งการเพาะเม็ด แม้กระนั้นวิธีที่ได้รับความนิยม ดังเช่น การทำหมันกิ่ง การต่อยอด และการเพาะด้วยเม็ด เมื่อได้ต้นกล้าที่จะนำไปปลูกแล้ว ลำดับต่อไป ให้ขุดหลุม ให้ขนาดหลุมกว้าง x ยาว x ลึก ราวๆ 50 x 50 x 50 ซม. รองก้นหลุมด้วยขี้วัวผสมดิน กรีดถุงสีดำออก น้ำต้นกล้าลงปลูก กลบดิน รดน้ำ ปกคลุมฟาง และทำหลักปักกับต้นเพื่อกันโยกเวลาลมพัด โดยปกตินิยมนำมาปลูกมะกรูดระยะติด คือ 2×2 เมตร 1 ไร่จะได้มะกรูด 400 ต้น แม้ปลูกระยะ 1.5 x 1.5 เมตร 1 ไร่จะได้ 1067 ต้น สำหรับเพื่อการปลูกระยะติดนี้จะเป็นการปลูกมะกรูดเพื่อใบ เนื่องมาจากมีการตัดใบจำหน่ายทุกๆ3 – 4 เดือน พุ่มมะกรูดก็จะไม่ชิดกันมาก ถ้าหากอยากได้ปลูกเพื่อขายเป็นลูกมะกรูด ผู้ปลูกอาจปลูกระยะห่าง 4 x 4 เมตร 1 ไร่จะได้ 200 ต้น หรือ 5 x 5 เมตร 1 ไร่จะได้ 65 ต้น เป็นต้น
สำหรับมะกรูดปลูกได้ดีในดินทุกประเภทแล้วก็ระยะปลูกมะกรูดนั้น ปลูกได้หลายระยะขึ้นกับจุดหมายแล้วก็พื้นที่ของผู้ปลูกดังกล่าว
องค์ประกอบทางเคมี นํ้ามันหอมระเหยมะกรูดมี 2 ส่วนมากๆเป็น สารในกรุ๊ปเทอร์พีน ( terpenes) รวมทั้งสารที่ไม่ใช่กลุ่มเทอร์พีน ( non-terpene) หรือ oxygenated compounds เป็นต้นว่า ในผิวมะกรูดมีน้ำมันระเหยง่ายร้อยละ 4 มีองค์ประกอบหลักเป็น “เบตาไพนีน” (beta-pinene) ราวๆจำนวนร้อยละ 30 , “ลิโมนีน” (limonene) ราวๆปริมาณร้อยละ 29 , beta-phellandrene, citronellal นอกเหนือจากนี้ยังพบ linalool, borneol, camphor, sabinene, germacrene D, aviprin
ที่มา : Wikipedia
สารกลุ่มคูมาริน เป็นต้นว่า umbelliferone, bergamottin, oxypeucedanin, psoralen, N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO) น้ำจากผลเจอกรด citric
ส่วนในใบมะกรูดเมื่อกลั่นด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันระเหยง่ายประมาณปริมาณร้อยละ 0.08 มีองค์ประกอบหลักเป็น “แอล-ซิโตรเนลลาล”(l-citronellal) ราวๆร้อยละ 65, citronellol, citronellol acetate ยิ่งไปกว่านี้ยังพบ sabinene, alpha-pinene, beta-pinene, alpha –phellandrene, limonene, terpinene, cymene, linalool รวมทั้งสารอื่นที่เจอเป็นต้นว่า indole alkaloids, rutin, hesperidin, diosmin, alpha-tocopherol ส่วนค่าทางโภชนาการของมะกรูดนั้นสามารถแยกได้ดังนี้
ค่าทางโภชนาการของใบมะกรูด (100 กรัม)
- พลังงาน 171 กิโลแคลอรี่
- โปรตีน 6.8 กรัม
- ไขมัน 3.1 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 29.0 กรัม
- เส้นใย 8.2 กรัม
- แคลเซียม 1672 มิลลิกรัม
- ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
- เหล็ก 3.8 มก.
- วิตามินเอ 303 ไมโครกรัม
- ไทอามีน 0.20 มิลลิกรัม
- ไรโบฟลาวิน 0.35 มก.
- ไนอาสิน 1.0 มก.
- วิตามินซี 20 มิลลิกรัม
- ขี้เถ้า 4.0 กรัม
คุณค่าทางโภชนาการของผิวลูกมะกรูด (100 กรัม)
- คาร์โบไฮเดรต 21.3 กรัม
- โปรตีน 2.8 กรัม
- ไขมัน 1.1 กรัม
- ใยอาหาร 3.4 กรัม
- แคลเซียม 322 มก.
- ฟอสฟอรัส 62 มก.
- เหล็ก 1.7 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 1 0 มก.
- วิตามินบี 2 0.13 มก.
- วิตามินซี 115 มิลลิกรัม
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมะกรูด (100 กรัม)
- คาร์โบไฮเดรต 10.8 กรัม
- โปรตีน 0.6 กรัม
- ไขมัน 0 กรัม
- ใยอาหาร 0 กรัม
- แคลเซียม 20 มก.
- ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
- เหล็ก 0.6 มก.
- วิตามินบี 1 0.02 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 58 มก.
- วิตามินซี 55 มก.
ประโยชน์/คุณประโยชน์ใบมะกรูดและก็น้ำมะกรูดสามารถใช้กำจัดกลิ่นคาวในของกินแล้วก็ใช้สำหรับการเตรียมอาหารรวมทั้งแต่งกลิ่นคาวหวานของอาหาร ตัวอย่างเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก อื่นๆอีกมากมาย มีการนำเปลือกของมะกรูดมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องแต่งตัวบางจำพวก ตัวอย่างเช่น สบู่ แชมพูมะกรูดหรือแชมพูมะกรูด สินค้าคุ้มครองยุงรวมทั้งแมลง เป็นต้น ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของมะกรูดนั้นมีดังนี้
แบบเรียนยาไทย: ใบมะกรูด มีรสปร่า หอม แก้ไอ แก้คลื่นไส้เป็นโลหิต แก้ช้ำใน กัดเสลดในคอ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้เมนส์เสียฟอกโลหิตเมนส์ ขับรอบเดือน ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ผิว มีรสปร่าหอม ร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับประจำเดือน ขับผายลม เป็นยาบำรุงหัวใจ ผล ดองเป็นยาฟอกโลหิตในสตรี ช่วยขับประจำเดือน ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ลักปิดลักเปิด น้ำมันจากผิวช่วยคุ้มครองป้องกันรังแค แล้วก็ทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงาสวย ผล รสเปรี้ยว กัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้รอบเดือนเสีย ฟอกโลหิตประจำเดือน ขับเมนส์ ขับลมในไส้ ทำลายพิษผิดสำแดง ผล ปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งลูก เอาเช็ดฟอกสระผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม นุ่มสลวย แก้คัน แก้รังแค แก้ชันนะตุ ทำให้ผมสะอาดแพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ผลเอาไส้ออก ใส่มหาหิงคุ์แทน สุมไฟให้ไหม้เกรียม บดปัดกวาดปากลิ้นเด็กทารก ขับขี้เทา ขับลม แก้ปวดท้องในเด็ก หรือใช้ผลสดนำมาผิงไฟให้เกรียม แล้วละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ ยาท้องถิ่นบางถิ่นใช้น้ำมันมะกรูดดองยาที่เรียกว่า “ยาดองเปรี้ยวเค็ม” ที่ใช้รับประทานเป็นยาฟอกเลือดในสตรี น้ำผลมะกรูด มีรสเปรี้ยว แก้เสลดในคอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิตประจำเดือน ขับลมในไส้ และใช้ถนอมยาไม่ให้บูดเน่า แก้อาการท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร ใช้สระผมกันรังแค เนื้อของผล แก้ปวดหัว
หนังสือเรียนยาไทย: ผิวมะกรูดจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” ประกอบด้วย ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะนาว หรือผิวส้มโอมือ แล้วก็ผิวมะกรูด มีคุณประโยชน์แก้ลมกองละเอียด กองหยาบ แก้เสลดโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม ในตำราเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: เจาะจงตำรับ “น้ำมันมหาจักร” ตระเตรียมได้ง่าย ใช้เครื่องยาน้อยสิ่ง หาซื้อได้ง่าย ในตำรับให้ใช้น้ำมันงา 1 ทะนาน (ขนาดทะนาน 600) มะกรูดสด 30 ลูก ปอกมัวแต่ผิว ตระเตรียมโดยการเอาน้ำมันงาตั้งไฟให้ร้อน เอาผิวมะกรูดใส่ลง ทอดจนถึงเหลืองเกรียมก็ดีแล้วให้ชูน้ำมันลง กรองเอากากออก ทิ้งเอาไว้ให้เย็น แล้วเอาเครื่องยาอีก 7 สิ่ง บดให้เป็นผงละเอียด ใส่ลงในน้ำมันที่ได้ เครื่องยาที่ใช้มี เทียนทั้ง 5 (เทียนตาตั๊กแตน เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนแดง รวมทั้งเทียนดำ) หนักสิ่งละ 2 สลึง ดีปลีหนัก 1 บาท แล้วก็การบูรหนัก 2 บาท สรรพคุณ ใช้ยอนหู แก้ลม แก้ริดสีดวง แก้ยุ่ยคันก็ได้ ทาแก้เมื่อยขบ รวมทั้งใส่บาดแผล ที่มีอาการปวด ที่เกิดจากเศษไม้ จากหนาม จากหอกดาบ ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ จะไม่เป็นหนอง
นอกเหนือจากนั้นบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะกรูด ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณในการแก้ลมเวียนหัว แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียน คลื่นไส้ แก้ลมจุกแน่นในท้อง ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ ใช้ในสตรีที่รอบเดือนมาไม่บ่อยนัก หรือมาน้อยกว่าปกติ แล้วก็ขับน้ำคาวปลาในสตรีข้างหลังคลอด
แบบอย่าง/ขนาดการใช้ ใช้ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้เสมหะ ฝานผิว
มะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือพิมเสน 1 จับมือ ชงด้วยน้ำเดือดแช่ทิ้งเอาไว้ ดื่มแต่ว่าน้ำรับประทาน 1-2 ครั้ง หากยังไม่ดีขึ้นกว่าเดิมกินติดต่อกัน 2-3 วัน ใช้สระผม ให้ดกดำ เงางาม รักษาชันนะตุ ให้ผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เอามะกรูดมาสระซ้ำโดยยีไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดจะก่อให้ผมสะอาด แล้วล้างเอาสมุนไพรออกให้หมด หรือใช้ผลเผาไฟ นำมาผ่าซีกใช้สระผม ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้ผิวมะกรูด รากชะเอม ไพล เฉียงมีดพร้า ขมิ้นอ้อย ในจำนวนเสมอกัน นำมาบดเป็นผง นำมาชงละลายน้ำร้อนหรือต้มเป็นน้ำดื่ม ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำผลมะกรูดสดมาผ่าเป็น 2 ด้านแล้วนำไปดองกับเกลือหรือน้ำผึ้งราวๆ 1 เดือน แล้วรินเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยฟอกเลือดได้อย่างดีเยี่ยม
การเรียนทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สาร coumarins 2 ชนิดที่ได้จากผลมะกรูด เช่น bergamottin และก็ N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO) มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ (NO) ในหลอดทดสอบ ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบ ซึ่งหลั่งจาก macrophage ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS) และ interferon-g (IFN- g) โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 14.0 µM แล้วก็ 7.9 µM เป็นลำดับ
สารคูมาริน 3 ประเภท ยกตัวอย่างเช่น bergamottin, oxypeucedanin รวมทั้ง psoralen สามารถยับยั้งการผลิตไนตริกออกไซด์ เมื่อทดลองในเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 ของหนู ที่ถูกกระตุ้นด้วยลิโปพอลิแซ็กคาร์ไรด์ (LPS) รวมทั้งอินเตอร์เฟอรอน (interferon)
ฤทธิ์คุ้มครองตับ ศึกษาฤทธิ์คุ้มครองตับของใบมะกรูดในหนูขาว โดยให้สารสกัด 80% เมทานอล จากใบมะกรูด ขนาด 200 mg/kg ตรงเวลา 7 วัน ก่อนให้ยา paracetamol ขนาด 2 g/kg เป็นเวลา 5 วัน เพื่อกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษต่อตับ ซึ่งยา paracetamol จะทำการกระตุ้นให้ตับของหนูกำเนิดพิษในวันที่ 5 ใช้สาร Silymarin ขนาด 100 mg/kg เป็นสารมาตรฐาน ในวันที่ 7 จะมีการตรวจประเมินลักษณะการทำงานของตับ ดังเช่น ระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST, ALP), total bilirubin, total protein,blood serums แล้วก็ hepatic antioxidants (SOD, CAT, GSH and GPx) จากการทดสอบพบว่าสารสกัดใบมะกรูดจะช่วยฟื้นฟูตับ โดยทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ และเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระของตับกลับมาอยู่ในระดับธรรมดาได้อย่งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ซึ่งการศึกษาชิ้นนี้สรุปได้ว่าสารสกัดใบมะกรูดมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันตับไม่ให้เกิดพิษจากยา paracetamol ได้
การทดลองพิษกะทันหันของสารสกัดใบด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล (คิดเป็น 357 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
มีการทดสอบความเป็นพิษอีกฉบับหนึ่งบอกว่า สารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) เมื่อป้อนให้หนูกินเพื่อเรียนรู้ความเป็นพิษทันควัน พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายเป็นจำนวนครึ่งเดียว (LD50) มีค่ามากกว่า 100 ก./กก.
ฤทธิ์เสริมการเกิดโรคมะเร็งตับ จากการทบทวนงานค้นคว้าพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์ต่อต้านฤทธิ์ของสารเสริมการเกิดโรคมะเร็ง (tumor promoter) สำหรับในการทดสอบแบบ tumor promoter-induced Epstein-Barr virus activation ได้ งานศึกษาเรียนรู้วิจัยนี้มีจุดประสงค์ที่จะเรียนฤทธิ์ของมะกรูดต่อการเกิดโรคมะเร็งตับของหนูขาว สายพันธุ์ F344 ที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo 4,5-ƒ quinoxaline (MeIQx) สำหรับในการทดลองแบบ medium-term bioassay ผลการวิจัยพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์เสริมฤทธิ์ของ MelQx ในการทําให้เกิดโรคมะเร็งตับ (preneoplastic liver foci) อย่างมีความนัยสําคัญทางสถิติ
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ เมื่อป้อนสารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) ให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 1 และ 2.5 กรัม/กก. ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง พบว่าสามารถต้านการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 42.5 ±14.8 แล้วก็ 86.1±8.1% ตามลำดับ รวมทั้งมีผลทำให้แท้งได้ 86.3±9.6 และ 96.9±3.1% ตามลำดับ และสารสกัดผิวมะกรูดด้วยคลอโรฟอร์มเมื่อป้อนให้กับหนูที่ตั้งครรภ์ในขนาด 0.5 และ 1.0 กรัม/กก. ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกัน พบว่าสามารถต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 34.4±14.3 และก็ 62.2±14.5% เป็นลำดับ และส่งผลทำให้แท้งได้ 62.2±14.5 รวมทั้ง 91.9± 5.5%
พิษต่อเซลล์สารสกัดใบด้วยเมทานอล กระทำทดลองกับเซลล์ ด้วยความเข้มข้น 20 มคก./มิลลิลิตร พบว่ามีพิษต่อ Cells-Raji (9) น้ำมันหอมระเหย (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้และก็ขนาด) เป็นพิษต่อเซลล์ CEM-SS
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดใบด้วยน้ำ และน้ำร้อน กระทำการทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ ด้วยความเข้มข้น 0.5 มล./จาน พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Bacillus subtilis H-17 (Rec+) รวมทั้ง B. subtilis M-45 (Rec-)
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรระวัง การใช้น้ำมันหอมระเหยกับผิวหนังในปริมาณที่มาก จำต้องเลี่ยงการสัมผัสแสงสว่างเนื่องมาจากน้ำมันที่ได้จากการบีบผิวผล อาจจะทำให้เกิดพิษเมื่อสัมผัสกับแสงได้ แล้วก็เกิดมีสารสีเกินที่ผิวหนัง ใบหน้า แล้วก็ลำคอ เนื่องจากว่ามีสารกรุ๊ปคูมาริน แม้กระนั้นน้ำมันจากผิวผลที่ได้จากการกลั่นจะไม่มีสารนี้ น้ำมะกรูดมีความเป็นกรดสูง จึงควรระมัดระวังการรับประทานขณะท้องว่าง เพราะว่าอาจจะก่อให้มีการเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
เอกสารอ้างอิง- ดนัย ทิวาเวช, Hirose M, Futakuchi M, วิทยา ธรรมวิทย์, Ito N, Shirai T. ฤทธิ์เสริมการเกิดมะเร็งตับของข่า กระชาย และมะกรูด ในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo(4,5-ƒ)quinoxaline (MeIQx). การประชุมวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 11 “ วิทยาศาสตร์การแพทย์ไทยกับกติกาใหม่ของโลก ” กรุงเทพฯ, 9-11 ตุลาคม 2543:33
- มะกรูด (ผิวผล).ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.2546.ประมวลผลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร. http://www.disthai.com/
- Murakami A, Gao G, Kim OK, Omura M, Yano M, Ito C, et al. Identification of coumarins from the fruit of Citrus hystrix DC as inhibitors of nitric oxide generation in mouse macrophage RAW 264.7 cells. J Agric food chem. 1999;47:333-339.
- กอบกุล เฉลิมพันธ์ชัย ดวงชัย บำเพ็ญบุญ ธิดา โตจิราการ และคณะ. ตำรับยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์. รวมบทคัดย่องานวิจัยการแพทย์แผนไทยและทิศทางการวิจัยในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
- คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
- มะกรูด/ใบมะกรูดประโยชน์และสรรพคุณมะกรูด.พืชเกษตรดอทคอม
- Tangyuenyongwatana P, Gritsanapan W. Prasaplai: An essential Thai traditional formulation for primary dysmenorrhea treatment. TANG. 2014;4(2):10-11.
- ชนิพรรณ บุตรยี่. การศึกษาชีวภาพความพร้อมและคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของฟลาโวนอยด์จากใบมะกรูดในหลอดทดลองและศักยภาพในการป้องกันการแตกหักของโครโมโซมในหนูเม้าส์โดยวิธีการตรวจไมโครนิวเคลียสในเม็ดเลือดแดง [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล;2551.
- มะกรูด(ใบ).ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
Tags : มะกรูด