รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี  (อ่าน 644 ครั้ง)

billcudror1122

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 100
    • ดูรายละเอียด

ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น จะไคร (ภาคเหนือ) , ติดอยู่หอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
วงศ์   GRAMINEAE
บ้านเกิดเมืองนอน ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรประเภทหนึ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนประเทศไทยเรามาตั้งแต่อดีตแล้ว ทั้งนี้เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย , พม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , ประเทศอินเดียว , ศรีลังกา ฯลฯและยังสามารถพบได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ ด้วยเหมือนกัน โดยธรรมดา ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกเครือญาติหญ้าและก็สามารถแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดังเช่นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางสิงห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกตระกูลเดียวกับหญ้า มักแก่มากยิ่งกว่า 1 ปี (ขึ้นกับเหตุทางสภาพแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และก็ใบ) ส่วนของลำต้นที่พวกเราแลเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบหุ้มห่อครึ้ม ผิวเรียบ และมีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนน้อย และก็เบาๆเรียวเล็กลงเปลี่ยนเป็นส่วนของใบ ศูนย์กลางเป็นปล้องแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และจำพวก แล้วก็เป็นส่วนที่ประยุกต์ใช้สำหรับเข้าครัว ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ และใบ) และก็ใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบลำพัง มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ แต่คม กึ่งกลางใบมีเส้นกึ่งกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา เห็นต่างกับแผ่นใบกระจ่าง ใบกว้างราวๆ 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 ซม.  ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก ก็เลยไม่ค่อยประสบพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะออกดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และมีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบตกแต่งรองรับ มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ้อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนโดยประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากแตกหน่อออกมา แล้วนำไปลงแปลงดินที่จัดแจงไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินที่ร่วนซุย ให้ไถกลับดินรวมทั้งไถกระพรวนลึกราวๆ 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันราว 0.5 เมตร
  • ลงต้นจำพวกหลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราว 10 เซนติเมตร
  • ตอนแรกรดน้ำทุกวี่วัน แม้กระนั้นระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดครั้งโคนต้นตะไคร้เพียงแค่นั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เป็นอันขาดจำต้องให้น้ำที่โคนเท่านั้น
  • ในช่วง 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแสงอาทิตย์ให้ตะไคร้ด้วย หลังจากตะไคร้ปรับตัวได้แล้วให้เอาสิ่งของบดบังแสงออกเพราะเหตุว่าธรรมชาติของตะไคร้ชอบแดด แล้วก็เติบโตเจริญในที่ที่มีแสงสว่างแรง
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้พินิจที่ต้น ถ้าต้นเจริญเติบโตดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แต่อย่าให้กระเทือนรากที่อยู่ในดินเพราะว่าตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่จำเป็นต้องไปหาต้นประเภทมาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้เต็มกำลัง
  • หลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตสุดกำลังและสามารถตัดได้อีกอยู่ตลอดไปตราบจนกระทั่งต้นจะโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก


ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย แต่ก็สามารถเจริญได้ในดินดูเหมือนจะทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลง่ายดายชอบน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดิบได้ดี รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (น่าจะเกิดขึ้นจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองป้องกันจากแมลงต่างๆได้)
ส่วนประกอบทางเคมี
เจอสาร  citral 80% นอกจากนั้นยังเจอ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้เป็นmenthol, cineole, camphor และ linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  รวมทั้งช่วยขับลม  นอกจากนั้นมี citral, citronellol, geraneol และก็ cineole มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียยกตัวอย่างเช่น E. coli   ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มก.
  • ไนอาสิน 2.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 1 มก.
  • เถ้า 1.4 กรัม


ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
ประโยชน์ / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นรวมทั้งใบของตะไคร้ เป็นส่วนประกอบของของกินที่สำคัญหลายชนิดได้แก่ ต้มยำ และอาหารไทยหลายประเภท และใช้เป็นเครื่องเทศทำกับข้าวสำหรับกำจัดกลิ่นคาว ช่วยทำให้อาหารมีกลิ่นหอมสดชื่น รวมทั้งปรับแต่งรสให้น่าอร่อยมากยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายประเภท เป็นต้นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ ยาสระผม
– ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง
– ใช้ทานวด แก้เมื่อย
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครอง ยุง แล้วก็แมลง
– ใช้เป็นส่วนประกอบของสารป้องกัน และก็กำจัดแมลง
ส่วนคุณประโยชน์ของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคฟุตบาทเยี่ยว แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ฉี่เป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันโลหิต เหง้า แก้เบื่อข้าว บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ฉี่ขัด แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับประจำเดือน ขับระดูขาว ใช้ด้านนอกทาแก้อาการปวดบวมตามข้อ
           ตำราเรียนยาประจำถิ่นอีสาน : ใช้อีกทั้งต้น ลดไข้ โดยนำมาต้มกระทั่งเดือดโดยประมาณ 10 นาที ยกลงดื่มครั้งละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ข้างนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำและก็เอามาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก วัยกลางคน รวมทั้งผู้สูงอายุ โดยในตำรับมีตะไคร้ รวมทั้งสมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ทำให้กระชุ่มกระชวย คลายความเครียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
ส่วนสรรพคุณด้านการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางจำพวกลงได้รวมทั้งพบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้งานในกลุ่มผู้ถูกทดสอบ ถึงแม้ยังคงจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกลิ่นฉุนรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มอีกถัดไป แล้วก็ในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลและรักษาคนป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ประมาณ 60% ในขณะตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงยิ่งกว่าหมายถึงอยู่ที่ 80%  และก็มีการทดสอบคุณภาพของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดลอง แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นจำพวก Culicoides Pachymerus อยู่อย่างเยอะมาก โดยทดสอบบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดสอบประสิทธิผลทางการคุ้มครองปกป้องด้านใน 3-6 ชั่วโมง ผลการทดสอบพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันภัยริ้นจำพวกนี้ได้สูงสุดถึงราว 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดสอบถึงคุณภาพของตะไคร้ในการป้องกันยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดสอบเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพสำหรับการป้องกันยุงได้ช้านานที่ราว 3 ชั่วโมง  ส่วนในประเด็นการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในสินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 และก็ 15% โดยมีอาสาสมัครทดลองเป็นคนประเทศไทยในวัย 20-60 ปี ปริมาณ 30 คน ผลของการทดสอบพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดปริมาณรังแคลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้ารวมทั้งลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอสมควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  มิลิลิตร) ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆเพียงพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งไว้  5-10  นาที  ดื่มแม้กระนั้นน้ำ 3 ครั้ง ทีละ  1  ถ้วยชา  ก่อนกินอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้าและก็ลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ตีเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  ครั้งหลังของกิน     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)

  • นำตะไคร้อีกทั้งต้นรวมทั้งรากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เพิ่มเติมน้ำต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ติดต่อกัน 3 วัน จะหายเจ็บท้อง
  • นำลำต้นแก่ใหม่ๆทุบพอแหลกโดยประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ


                ใช้รักษาอาการเมาค้าง ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำกินแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยทำให้หายเร็ว
การศึกษาทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียปัจจัยอาการแน่นจุกเสียดและก็ท้องร่วง เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นร้อยละ 0.3) มาทดสอบ พบว่าสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการท้องเดินได้ปานกลาง   มีการพัฒนาสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย พบว่าตำรับที่มีคุณภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ดีที่สุดหมายถึงตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก และมีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนผสมในยา ของกิน หรือเครื่องสำอาง โดยบอกว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต้านเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต้านเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของโรคผิวหนัง ดังเช่นว่า กลาก โรคเกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral รวมทั้ง myrcene เป็นส่วนประกอบหลักจะมีฤทธ์ยั้งเชื้อราดังกล่าว แล้วก็เมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปพัฒนาเป็นครีมต้านทานเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 2.5 แล้วก็ 3.0 จะได้ผลต้านทานเชื้อราเจริญที่สุดและเหมาะที่จะปรับปรุงเป็นตำรับยาถัดไป


เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย และสารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และก็น้ำ มาทดสอบฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยรวมทั้งสารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต่อต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้น้อย ตอนที่สารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา รวมทั้งจากผลการทดสอบยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย และในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ดิบได้ดีหมายถึงสาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตะไคร้ในรูปของ emulsion และก็ nanocapsule ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และก็  T.  rubrum โดยไปยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังที่กล่าวถึงแล้ว

  • ฤทธิ์ต้านยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต่อต้านยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถทุเลาอาการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเจ็บด้วยความร้อน  หรือแม้ป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเท่าเดิมทางปากจะสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine


ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทานตรงเวลา 30 นาที ก่อนจะเหนี่ยวนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  และ dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดจากการที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนน และก็ prostaglandin E2 ได้  แม้กระนั้นไม่ได้ผลถ้าเกิดเหนี่ยวนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  ยิ่งไปกว่านี้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้  และก็สาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดลักษณะของการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยั้งอาการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มิลลิลิตร/กก. ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แต่เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มล./กก. พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มล./กิโลกรัม ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นเวลา 8 อาทิตย์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยในการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยหมายถึงborneol, fenchone และก็ cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้รับประทานไม่เป็นผลขับลม แต่ถ้าหากให้โดยฉีดทางท้องจะให้ผลดี


เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะอาหาร หรือฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มิลลิกรัม/กก. พบว่าสามารถบรรเทาลักษณะของการปวดได้ รวมทั้งเมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าด้านในกระเพาะหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาลักษณะของการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์หมายถึงmyrcene (1) นอกจากนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร ขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม พบว่าไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและก็การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากยิ่งกว่า 5 กรัม/กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่ชัดแจ้ง รวมทั้งเมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์รวมทั้งน้ำ (1:1) ขนาด 460 มิลลิกรัม/กก. เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แต่สารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กิโลกรัม เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้เล่าเรียนพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ
          การศึกษาพิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากรุ๊ปควบคุม แม้กระนั้นค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และก็ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคก./จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 และเมื่อนำน้ำสุกใบตะไคร้กับเนื้อ (วัว ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และ 16 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ ทดลองกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้ง TA100 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และสารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่เป็นผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มิลลิกรัม/ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) รวมทั้ง b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษเหมือนกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคก./มล. แต่เมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคกรัม/มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่สารสกัดหยาบคายแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคก./ มล. ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของมะเร็ง CA-9KB แม้กระนั้นในขนาด 20 มคกรัม/ มิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดลองพิษของชาที่จัดแจงจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพดีรับประทานเกิดไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งตรงเวลา 2 อาทิตย์ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดและก็ปัสสาวะ มีบางรายเท่านั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน และ amylase สูงขึ้น จึงถือว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 0.8 พบว่ามีอาการแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้นี้อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะสารอื่นได้ รวมทั้งมีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อดมกลิ่นน้ำมันตะไคร้
ข้อเสนอ / ข้อควรระวัง

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อวัตถุประสงค์ทางการรักษาโรค บางทีก็อาจจะไม่เป็นอันตรายแม้ใช้ตะไคร้ในระยะเวลาสั้นๆภายใต้การดูแลและข้อเสนอจากแพทย์
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจจะทำให้เป็นผลใกล้กันที่เป็นอันตรายและก็เป็นพิษต่อร่างกายได้ในคนเจ็บบางราย ดังเช่นว่า ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • ขอความเห็นหมอ เภสัชกร และเรียนรู้ข้อมูลบนฉลากอย่างรอบคอบก่อนใช้สินค้าใดๆก็ตามที่มีสารสกัดมาจากตะไคร้ก่อนเสมอ เพื่อเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่บางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพข้างหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้แล้วก็สินค้าจากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) เนื่องด้วย citral จะมีผลให้ความดันในดวงตามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon   citr
บันทึกการเข้า