รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรพิมเสน มีวิธีรักษาโรคพร้อมทั้งสรรพคุณ-ประโยชน์ดีๆ  (อ่าน 435 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


พิมเสน (Bomed Camphor)
พิมเสนคืออะไร พิมเสนมีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ภิมเสน น่ากลัวเสน พิมเสนเกล็ด พิมเสนจังหวัดตรังกานู ประพรมแสน มีชื่อสามัญว่า “Borneo Camphor” แขกอินเดียในบอมเบย์เรียก “Bhimseni” หรือ “Boras” ชาวฮินดูเรียก “Bhimsaini-kapur” หรือ “Barus kapur”  โดยทั่วไปแล้วพิมเสนแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกหมายถึงพิมเสนที่ได้จากธรรมชาติหรือพิมเสนแท้ ชื่อสามัญ Borneol camphorและพิมเสนสังเคราะห์ หรือพิมเสนเทียม ชื่อสามัญ Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนจะมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆแบนๆมีสีขาวขุ่นหรือออกแดงเรื่อๆ(แม้เป็นพิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นผลึกรูปแผ่นหกเหลี่ยม) มีเนื้อแน่นกว่าการบูร ระเหิดได้ช้ากว่าการบูร ติดไฟให้แสงสว่างจ้าและก็มีควันมากมาย ไม่มีเถ้า ละลายได้ยากในน้ำ ละลายเจริญในตัวทำละลายจำพวกขั้วต่ำ พิมเสนมีกลิ่นหอมเย็น ฉุน รสหอม เย็นปากเย็นคอ สมัยก่อนชาวไทยนิยมใช้ใส่ด้านในหมากพลูบด
สูตรทางเคมีรวมทั้งสูตรโครงสร้าง พิมเสนแท้ (Borneo Camphor) เป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทไบไซคิก  และก็เป็นสารกรุ๊ปเทอร์พีน มีสูตรเคมีเป็น C10H18O มีชื่อทางเคมีว่า(+)-borneol หรือ endo-2-camphanol หรือ endo-2-hydroxycamphane  มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว 6 เหลี่ยม มีกลิ่นหอมยวนใจฉุนเหมือนการบูร ติดไฟให้แสงสว่างจ้าและก็มีควันมากมาย ไม่มีเถ้า มีมวลโมเลกุล 154.25                gmd -1 และก็มีความถ่วงจำเพาะพอๆกับ 1.011 มีจุดหลอมละลาย 208 องศาเซลเซียส เกือบไม่ละลายน้ำ ละลายได้ในตัวทำละลายประเภทขั้วต่ำ อาทิเช่น ปิโตรเลียมอีเธอ(1:6) ในเบนซีน (1:5)
 
ที่มา : Wikiperdia
ที่มาที่ไป พิมเสนธรรมชาติ หรือ พิมเสนแท้ คือ พิมเสนที่ได้มาจากการระเหิด (การกลั่นของแก่นไม้โดยธรรมชาติ) ของยางจากต้นไม้ชนิด (รู้เรื่องว่าตัวต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติชื่อไทยไว้ ซึ่งในหนังสือเรียนยาแผนโบราณส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงแม้กระนั้นสิ่งที่สกัดได้จากเจ้าพืชต้นใหญ่นี้ว่า พิมเสน ด้วยเหตุว่าถ้าเรียกว่าต้นพิมเสนอาจกำเนิดความสับสน เพราะเหตุว่าต้นพิมเสน นั้นยังหมายความว่าพืชอีกจำพวก เป็นไม้เนื้ออ่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ Pogostemon cablin (Blanco) Benth. ตระกูล Labiatae ซึ่งเจ้าต้นนี้ สกัดได้น้ำมันหอมระเหย ที่ฝรั่งเรียกว่า Patchouli) ซึ่งมีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Dryobalanops aromatica Gaertn. จัดอยู่ในสกุลยางทุ่งนา (DIPTEROCARPACEAE) (ภาษาจีนกลางเรียกว่า “หลงเหน่าเซียงสู้”) ซึ่งพบได้ทั่วไปในรัฐจังหวัดตรังกานู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งพืชจำพวกนี้(Dryobalanops aromatic Gaertn.) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ดังเช่นว่า Borneo Camphor Tree, Pokok Kapur Barus (มลายู), Pokok Kapurum (อินโดนีเซีย-สุมาตรา), Mahoborn Teak(อินโดนีเซีย-บอร์เนียว) เป็นไม้ขนาดใหญ่ อาจสูงได้ถึง 70 เมตร มีพูพอนใหญ่มาก วัดโดยรอบลำต้นได้ 2-10 เมตร เปลาตรง เรือนยอดเป็นรูปฉัตร มีแขนงใหญ่ ปลายกิ่งตก ยอดทรงแหลม ใบเป็นใบโดดเดี่ยว ใบที่อยู่ตอนบนของต้นเรียงสลับกัน ส่วนใบที่อยู่ตอนล่างของต้นออกตรงกันข้าม รูปไข่ เบาๆเรียวแหลมสู่ปลายใบ ขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 7.5-17.8 ซม. ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ ก้านใบสั้น ใบอ่อนสีแดงรวมทั้งห้อย ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือที่ซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมยวนใจ กลีบชั้นนอกมี 5 กลีบ ขนาดเท่าๆกัน แข็ง กลีบชั้นในห่อตามแนวยาว เกสรตัวผู้มีเป็นจำนวนมาก ก้านเกสรติดกันเป็น 2 แถว รวมกันเป็นหลอดยาวกว่าเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียมีรังไข่อยู่เหนือกลีบ มี 3 ห้อง ผลได้ผลแห้ง ไม่แตก กลีบนอกจะแผ่ขยายออกเป็นปีก มี 1 เม็ด
พิมเสนสังเคราะห์ หรือ พิมเสนเทียม คือ พิมเสนที่ได้จากสารสกัดจากต้นการบูร (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) Presl. จัดอยู่ในจัดอยู่ในตระกูลอบเชย (LAURACEAE), แล้วก็ต้นหนาด (หนาดหลวง หนาดใหญ่ หรือพิมเสนหนาด ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Blumea balsamifera (L.) DC. จัดอยู่ในตระกูลทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) โดยผ่านวิธีทางเคมีวิทยา  ซึ่งพิมเสนที่ได้จากผู้กระทำลั่นพืชชนิดนี้ จีน(แต้จิ๋ว) เรียก “ไหง่เผี่ยง” ก็เลยเรียกกันว่า “Ngai Camphor” หรือ “Blumea Camphor” นิยมใช้กันมากมายในเกาะไหหลำ
ประโยชน์/คุณประโยชน์ แม้พิมเสนจะสกัดได้มาจากต้นไม้แต่ว่า ตามตำรายาแผนโบราณ จัดพิมเสน เป็นจำพวกธาตุวัตถุ ไม่ใข่พืชวัตถุ หมอแผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมองบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยายับยั้งความกระวนกระวาย ทำให้ง่วงซึมแก้กลยุทธ์ขัดยอกคลายเส้นการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นองค์ประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่นหอมสดชื่น ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัดยิ่งไปกว่านี้ยังผสมอยู่ในยาหม่อง น้ำอบไทย
                ในหนังสือเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: ระบุ “ตำรับยาทรงจมูก”  เข้าเครื่องยา 17 สิ่ง ใช้ปริมาณเท่าๆกัน และก็ พิมเสนด้วย ผสมกัน บดเป็นผงละเอียด ใช้จมูกแก้ลมทั้งหลาย ตลอดจนโรคที่เกิดในศีรษะ ตา รวมทั้งจมูก อีกขนานหนึ่งเข้าเครื่องยา 15 สิ่ง รวมถึงพิมเสนด้วย บดเป็นผุยผงละเอียด ห่อผ้าบาง ทำเป็นยาดม แก้ปวดศรีษะ ตาลาย แก้สลบ แก้ริดสีดวงจมูก คอ รวมทั้งตา นอกเหนือจากนี้พิมเสนยังคงใช้เป็นส่วนผสมใน “ตำรับยาสีปากบี้พระเส้น” ใช้เช็ดนวดเส้นที่แข็งให้หย่อนยานได้ แล้วก็ในตำรับ “สีปากขาวแก้พิษแสบร้อนให้เย็น”
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา คนไทยเราจะรู้จักพิมเสนกันมานาน แม้กระนั้นเนื้อหาสาระเกี่ยวกับพิมเสนกลับไม่มีให้ค้นคว้าเท่าไรนัก เพราะเหตุว่าต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ เป็นพืชที่มีเฉพาะถิ่นที่ขึ้นกับเฉพาะในเขตป่าของ เกาะเกะสุมาตรา บอร์เนียว และก็คาบสมุทรมลายู ก็เลยทำให้การศึกษาวิจัยในต้นไม้ประเภทนี้เป็นไปแบบแคบๆไม่กว้างใหญ่แต่ว่าก็ยังมีตัวอย่างข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพิมเสนบางฉบับที่มีการเผยแพร่กัน ตัวอย่างเช่น

  • สารที่เจอในพิเสนแท้ อย่างเช่น d-Borneol, Humulene, Caryophyllene, Asiatic acid, Dryobalanon Erythrodiol, Dipterocarpol, Hydroxydammarenone2
  • จากการวิจัยทางเภสัชวิทยาฉบับหนึ่งบอกว่า พิมเสนมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อโรคได้หลายแบบ เช่น เชื้อในลำไส้ใหญ่, เชื้อราบนผิวหนัง, Staphelo coccus, Steptro coccus แล้วก็ยังใช้ในการรักษาอาการปวดเส้นประสาทหรืออาการอักเสบได้เป็นอย่างดี
  • กลไกสำหรับการออกฤทธิ์ของพิมเสนสำหรับเพื่อการลดการอักเสบคือ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตรอบๆใต้ผิวหนังรอบๆที่ทา ยั้งสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบจากกลไกของร่างกาย อย่างเช่น prostaglandin E2,interleukin ฯลฯ ซึ่งการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดนี้ จะช่วยทำให้ลดอาการปวดได้เร็วขึ้น


การเล่าเรียนทางพิษวิทยา เช่นเดียวกับการศึกษาทางเภสัชวิทยาพิมเสนกับการศึกษาทางพิษวิทยานี้ก็ไม่มีการศึกษากันอย่างมากมาย ซึ่งอาจจะเพราะว่าการที่ต้นไม้ที่ให้พิมเสนนี้ฯลฯไม้เฉพาะถิ่น แต่ก็มีการกำหนดข้อจำกัดสำหรับการใช้พิมเสนไว้ว่า แม้ดมกลิ่นต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจเกิดอันตรายได้ เพราะสารนี้นำมาซึ่งอาการระคายรอบๆทางเดินหายใจ นอกจากนี้สารนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นและสงบระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งรวมถึงการใช้เกิดขนาดด้วย
ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ ในหนังสือเรียนยาไทยกำหนดไว้ว่า การใช้พิมเสนสำหรับรับประทาน ให้ใช้ทีละ 0.15-0.3 กรัมเอามาบดเป็นผุยผงกับตำรายาอื่น หรือใช้ทำเป็นยาเม็ด และไม่ควรจะปรุงยาด้วยวิธีการต้ม ถ้าเกิดใช้ภายนอกให้นำมาบดเป็นผงใช้โรยแผลจากที่ต้องการ ส่วนขนาด/ปริมาณของพิมเสนที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยอนุญาตให้ใช้เป็นองค์ประกอบกับตัวยาอื่นๆนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดให้ใช้เป็นตำรับๆไป

ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • ห้ามดมพิมเสนตอดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานด้วยเหตุว่าจะมีผลให้เกิดอาการระคายบริเวณทางเท้าหายใจ
  • พิมเสนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางจึงไม่สมควรใช้เกินขนาดที่ระบุ
  • สตรีท้องห้ามรับประทานพิมเสน
  • การเก็บพิมเสนจำเป็นต้องเก็บไว้ภายในภาชนะที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด ควรที่จะทำการเก็บรักษาเอาไว้ข้างในที่แห้งและมีอุณหภูมิต่ำ


อนึ่งในปัจจุบันพิมเสนแท้แทบจะไม่มีแล้ว เพราะว่าราคาแพงแพง โดยมากก็เลยใช้พิมเสนสังเคราะห์ ซึ่งได้มาจากปฏิกิริยารีดักชันของการบูร (dl-camphor) ได้เป็น (dl-borneol) ก็คือ พิมเสนเกล็ดขาวๆที่เห็นกันโดยทั่วไป ก็เลยเรียก พิมเสนเทียมนี้ ว่า "พิมเสนเกล็ด" Borneolum Syntheticum (Borneol) ซึ่งพิมเสนสังเคราะห์ (หรือพิมเสนเทียม)นี้มักจะมีรสเผ็ดกัดลิ้น ถ้าเป็นของแม้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่จะมีผลให้เย็นปากเย็นคอ จำเป็นจะต้องต้องระวังสำหรับการใช้พิมเสนสังเคราะห์นี้ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ชยันต์ พิเชียรสุนทร และคณะ, ตำราพระโอสถพระนารายณ์, หน้า 499, พ.ศ. 2544, สำนักพิมพ์อมรินทร์ กรุงเทพฯ
  • ผศ.สุปรียา ยืนยงสวัสดิ์.พิมเสน.ภาควิชา เภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.หน้า1-3
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  “พิมเสน”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 386.
  • ชัยนต์ พิเชียรสุนทร และวิเชียร จีรวงส์ 2545 คู่มือเภสัชกรรมแผนไทยเล่ม 2 เครื่องยาพฤกษวัตถุ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) http://www.disthai.com/
  • พิมเสน.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก.
  • เภสัชจุลศาสตร์ของยาหม่องน้ำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • นันทวัน กลิ่นจำปา 2545 เครื่องหอมไทย ภูมิปัญญาไทย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชัน จำกัด (มหาชน)
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดม อันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์ Drug Tips.ฉบับที่5กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า6-7

บันทึกการเข้า