รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อาการ, สาเหตุ, การรักษา, วิธีป้องกัน-เเละ สมุน  (อ่าน 491 ครั้ง)

BeerCH0212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรความดันโลหิตสูง (Hypertension)

  • โรคความคันโลหิตสูง คืออะไร ความดันเลือดสูง ความดันโลหิตเป็นแรงดันเลือด ที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การวัดความดันเลือดสามารถทำโดยใช้อุปกรณ์หลายชนิด แม้กระนั้นจำพวกที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป ดังเช่นว่า เครื่องตวงความดันโลหิตมาตรฐานจำพวกปรอท เครื่องตวงความดันเลือดดิจิตอลจำพวกอัตโนมัติ ค่าของความดันโลหิตมีหน่วยเป็น มิลลิเมตรปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงดันเลือด ขณะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงดันเลือดขณะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันโลหิตที่จัดว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    โดยเหตุนั้นโรคความดันเลือดสูง ก็เลยหมายถึงโรคหรือภาวการณ์ที่แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงมีค่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐานขึ้นกับวิธีการวัด โดยถ้าหากวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และก็/หรือความดันโลหิตตัวล่างสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท อย่างต่ำ 2 ครั้ง แต่ว่าถ้าเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันเลือดตัวบนสูงยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 135 มม.ปรอทและ/หรือความดันโลหิตตัวด้านล่างสูงยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 85 มม.ปรอทเป็นต้น ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556คนไทยมีอาการป่วยเป็นโรคความดันเลือดแทบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน รวมทั้งพบป่วยราย ใหม่เพิ่มเกือบจะ 1 แสนคน จำนวนร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวด้วยเหตุว่าไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่เจ็บป่วยแล้วพบว่ามีเพียงแต่ 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีพฤติกรรมน่าห่วงองค์การอนามัยโลกรายงานว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ราษฎรอายุสั้น ทั่วทั้งโลกมีผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละแทบ 8 ล้านคน เฉลี่ยโดยประมาณนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 พบในวัย ผู้ใหญ่รวมทั้งคาดว่า ในปีพ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วทั้งโลกจะมีอาการป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • ต้นเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงจัดชนิดและประเภทตามต้นสายปลายเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น 2 ชนิด เป็น
  • ความดันเลือดสูงจำพวกไม่รู้จักปัจจัย (primary or essential hypertension) เจอได้ราวๆปริมาณร้อยละ95 ของจำนวนผู้ใหญ่โรคความดันโลหิตสูงทั้งปวงจำนวนมากพบในผู้ที่แก่ 60 ปีขึ้นไปและก็เจอในเพศหญิงมากกว่าผู้ชาย ปัจจุบันยังไม่ทราบมูลเหตุที่ชัดเจนแต่ว่ายังไง ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการประเมินรวมทั้งรักษาโรคความดันโลหิตสูง ของสหรัฐอเมริกา พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวพันแล้วก็ช่วยเหลือให้กำเนิดโรคความดันโลหิตสูง ยกตัวอย่างเช่น พันธุกรรมความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดการไม่บริหารร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ความตึงเครียดอายุและก็มีประวัติครอบครัวเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือดซึ่งความดันโลหิตสูงชนิดไม่เคยทราบสาเหตุนี้เป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องให้การวินิจฉัยรักษารวมทั้งควบคุมโรคให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความดันเลือดสูงประเภทรู้ต้นเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยโดยประมาณจำนวนร้อยละ5-10 ส่วนใหญ่มีมูลเหตุเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการมีพยาธิภาวะของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายโดยจะมีผลกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดแรงกดดันเลือดสูงโดยมาก อาจกำเนิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความไม่ปกติของระบบประสาทความเปลี่ยนไปจากปกติของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคครรภ์เป็นพิษการเจ็บของหัวยา และก็สารเคมีเป็นต้น ด้วยเหตุนี้เมื่อได้รับการรักษาที่ปัจจัยระดับความดันเลือดจะลดน้อยลงปกติรวมทั้งสามารถรักษาให้หายได้


ด้วยเหตุนั้นจึงสรุปได้ว่า โรคความดันเลือดสูงโดยมากจะไม่มีต้นสายปลายเหตุ การควบคุมระดับความดันเลือดเจริญ จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน แล้วก็การเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจ รวมทั้งหลอดเลือดลงได้

  • ลักษณะของโรคความดันโลหิตสูง ความสำคัญของโรคความดันโลหิตสูงคือ เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ และที่เป็นโรคเรื้อรังที่ร้ายแรง (หากไม่สามารถควบคุมโรคได้) แม้กระนั้นมักไม่มีอาการ แพทย์บางท่านก็เลยเรียกโรคความดันเลือดสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ทั้งนี้ส่วนใหญ่ของอาการจากโรคความดันเลือดสูง เป็นอาการจากผลกระทบ ดังเช่น จากโรคหัวใจ และก็จากโรคหลอดเลือดในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง อาทิเช่น อาการจากเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นต้นเหตุ ดังเช่นว่า โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง


อาการและอาการแสดงที่พบได้บ่อย ผู้เจ็บป่วยที่มีความดันเลือดสูงน้อยหรือปานกลางไม่เจออาการแสดงเฉพาะที่แสดงว่ามีสภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ การวินิจฉัยพบมากได้จากการที่คนไข้มาตรวจตามนัดหมายหรือพบได้มากร่วมกับสาเหตุของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับผู้ป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงมากมายหรือสูงในระดับร้ายแรงและก็เป็นมานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ยังไม่เคยได้รับการดูแลและรักษาหรือรักษาแม้กระนั้นไม่สม่ำเสมอไหมได้รับการรักษาที่ถูกต้องสมควรพบบ่อยมีลักษณะ ดังนี้

  • ปวดศีรษะพบมากในคนเจ็บที่มีระดับความดันเลือดสูงร้ายแรง โดยลักษณะของอาการปวดศีรษะมักปวด ที่รอบๆท้ายทอยโดยยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ตื่นนอนในช่วงเช้าต่อมาอาการจะเบาๆดีขึ้นจนถึงหายไปเองภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงและก็บางทีอาจเจอมีลักษณะอ้วกคลื่นไส้ตามัวมัวด้วยโดยพบว่าลักษณะของการปวดศีรษะเกิด จากมีการเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะมากในช่วงระยะเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วเพราะในค่ำคืนขณะที่กำลังหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น จึงทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้เส้นเลือดทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองขยายขนาดมากเพิ่มขึ้นจึงเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนศีรษะ (dizziness) พบกำเนิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ
  • เลือดกา เดาไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยขณะทา งานหรืออาการเหนื่อยนอนราบมิได้แสดงถึงการมีภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมยกตัวอย่างเช่นลักษณะของการเจ็บอกสมาคมกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นเลือดหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมานานๆ


โดยเหตุนี้ถ้าหากมีภาวการณ์ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานานๆก็เลยอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเสื่อมถอยภาวะถูกทำลายแล้วก็บางทีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง ในผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูงบางรายอาจไม่พบมีลักษณะอาการหรืออาการแสดงใดๆก็ตามและก็บางรายอาจ พบอาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังต่อไปนี้

  • สมองความดัน เลือดสูงจะทา ให้ฝาผนังหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะครึ้มตัวรวมทั้งแข็งข้างในเส้นโลหิตตีบแคบรูของเส้นโลหิตแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองลดน้อยลงแล้วก็ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วคราวผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์ความดันเลือดสูงก็เลยมีโอกาสกำเนิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลปกติ


นอกเหนือจากนี้ยังทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะไม่ปกติของระบบประสาทการรับทราบความทรงจำต่ำลงและอาจรุนแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงปริมาณร้อยละ50 แล้วก็ส่งผลทำให้ผู้ที่รอดตายเกิดความพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันเลือดสูงเรื้อรังจะส่งผลทา ให้ฝาผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจดกตัวขึ้นปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจลดลงหัวใจห้องข้างล่างซ้ายทำงานมากมาขึ้น ต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต้านแรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่มากขึ้นโดยเหตุนั้น ในช่วงแรกกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับพฤติกรรมจากภาวการณ์ความดันโลหิตสูงโดยหัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถต้านทานกับความต้านทานที่มากขึ้นเรื่อยๆและมีการขยายตัวทำให้เพิ่มความหนาของผนังหัวใจห้องข้างล่างซ้ายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) หากยังมิได้รับการดูแลรักษาและเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถขยายตัวได้อีก จะมีผลให้รูปแบบการทำงานของหัวใจไม่มี
สมรรถนะเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวแล้วก็เสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันโลหิตเรื้อรังมีผลทำให้มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงไตดกตัวแล้วก็แข็งขึ้น เส้นโลหิตตีบแคบลงทำให้เส้นโลหิตแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของจำนวนเลือดไปเลี้ยงไตน้อยลงประสิทธิภาพการกรองของเสียน้อยลงแล้วก็ทา ให้มีการคั่งของเสียไตย่อยสลาย แล้วก็ขายหน้าขายตาที่เกิดสภาวะไตวายและก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ มีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าผู้เจ็บป่วยโรคความดันโลหิตสูงราวๆร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยสภาวะไตวาย
  • ตา คนเจ็บที่มีสภาวะความดันเลือดสูงรุนแรงแล้วก็เรื้อรังจะมีผลให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือดที่ตาดกตัวขึ้นมีแรงดัน ในเส้นเลือดสูงมากขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตาตีบลงเส้นเลือดฝอยตีบแคบอย่างเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่จอตาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นต่ำลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวแล้วก็มีโอกาสตาบอดได้
  • เส้นเลือดภายในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต้านเส้นโลหิตส่วนปลายมากขึ้นฝาผนังหลอดเลือดดกตัวจากเซลล์กล้ามเรียบถูกกระตุ้น ให้รุ่งเรืองมากขึ้นหรืออาจเป็นเพราะเนื่องจากมีไขมัน ไปเกาะผนังหลอดเลือดทำให้เส้นเลือดแดงแข็ง (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังเส้นโลหิตดกรวมทั้งตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตรวมทั้งตาลดลงทา ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะดังที่กล่าวถึงแล้วตามมาไดแก้โรคหัวใจรวมทั้ง
เส้นโลหิตโรคเส้นโลหิตสมองแล้วก็ไตวายฯลฯ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคความดันโลหิต ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง อาทิเช่น กรรมพันธุ์ ช่องทางมีความดันโลหิตสูง จะสูงขึ้นเมื่อมีคนภายในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน เนื่องจากนำมาซึ่งการอักเสบ ตีบแคบของเส้นเลือดต่างๆรวมถึงหลอดเลือดไต โรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน เพราะเหตุว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคเบาหวาน แล้วก็โรคเส้นโลหิตต่างๆตีบจากภาวการณ์ไขมันเกาะผนังหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง เพราะว่าจะส่งผลถึงการสร้างเอ็นไซม์แล้วก็ฮอร์โมนที่ควบคุมความดันเลือดดังกล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว โรคนอนแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) สูบบุหรี่ ด้วยเหตุว่าพิษในควันจากบุหรี่นำมาซึ่งการอักเสบ ตีบของเส้นเลือดต่าง รวมถึงเส้นเลือดไต และเส้นเลือดหัวใจ การติดเหล้า ซึ่งยังไม่เคยรู้แจ่มแจ้งถึงกลไกว่าทำไมดื่มสุราแล้วจึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แต่ว่าการเรียนต่างๆให้ผลตรงกันว่า ผู้ที่ติดเหล้า จะทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดา และก็มีโอกาสเป็นโรคความดันเลือดสูง ถึงราว 50%ของผู้ติดสุราทั้งสิ้น ทานอาหารเค็มบ่อย ต่อเนื่อง ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการบริหารร่างกาย เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวาน ผลกระทบจากยาบางชนิด เช่น ยาในกรุ๊ปสเตียรอยด์
  • กระบวนการรักษาโรคความดันเลือดสูง การวิเคราะห์โรคความดันเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงวินิจฉัยจากการที่มีความดันเลือดสูงตลอดเวลา ซึ่งตรวจพบติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรห่างกัน 1 เดือน แต่ถ้าหากว่าตรวจพบว่าความดันเลือดสูงมาก (ความดันตัวบนสูงยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวด้านล่างสูงยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดธรรมดาของลักษณะการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็จัดว่าวิเคราะห์เป็นโรคความดันเลือดสูง และต้องรีบได้รับการดูแลรักษา หมอวินิจฉัยโรค   ความดันเลือดสูงได้จาก ความเป็นมาอาการ ประวัติป่วยไข้ในอดีตแล้วก็ปัจจุบัน ประวัติการรับประทาน/ใช้ยา การวัดความดันโลหิต (ควรจะวัดที่บ้านร่วมด้วยหากมีเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะบางทีค่าที่วัดพอดีโรงพยาบาลสูงกว่าค่าที่วัดถึงที่เหมาะบ้าน) เมื่อวิเคราะห์ว่าเป็นความดันเลือดสูง ควรจะตรวจร่างกาย รวมทั้งส่งไปตรวจอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยง นอกนั้น จำต้องตรวจค้นผลกระทบของความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆเช่น หัวใจ ตา รวมทั้งไต ยกตัวอย่างเช่น ตรวจเลือดมองค่าน้ำตาลแล้วก็ไขมันในเลือด ดูการทำงานของไต และก็ค่าเกลือแร่ในร่างกาย ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจดูแนวทางการทำงานของหัวใจ รวมทั้งเอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเพิ่มเติมต่างๆจะขึ้นกับอาการคนป่วย แล้วก็ดุลยพินิจของหมอแค่นั้น
ชมรมความดันเลือดสูงแห่งประเทศไทย ได้แบ่งระดับความรุนแรงของความดันโลหิตสูง ดังต่อไปนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
คนที่มีความดันเลือดสูงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้น้อยกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทและใน ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท รวมทั้งลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและก็เส้นเลือดคุ้มครองปกป้องความพิกลพิการและลดการเกิดภาวการณ์แทรกซ้อมต่ออวัยวะแผนการที่สำคัญของร่างกายได้แก่สมองหัวใจไตและตารวมทั้งอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับในการรักษาและก็ควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมี 2 วิธีคือการดูแลรักษาใช้ยาแล้วก็การดูแลและรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิต
การรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) วัตถุประสงค์สำหรับการลดความดันเลือดโดยการใช้ยาเป็นการควบคุมระดับความดันเลือดให้ลดต่ำกว่า 140/90 มม.ปรอท โดยลดแรงต่อต้านของหลอดเลือดส่วนปลายรวมทั้งเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก็เลยขึ้นกับความเหมาะสมของคนป่วยแต่ละรายและควรตรึกตรองต้นเหตุต่างๆอาทิเช่นความรุนแรงของระดับความดันเลือดปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้สำหรับในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงสามารถแบ่งได้เป็น 7 กรุ๊ปดังต่อไปนี้
ยาขับเยี่ยว  (diuretics) เป็นกรุ๊ปยาที่นิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตและหัวใจเปลี่ยนไปจากปกติ ยากลุ่มนี้อาทิเช่น ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) เมโทลาโซน (metolazone)
ยาต่อต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่หัวดวงใจรวมทั้งเส้นเลือดแดงเพื่อยับยั้งการตอบสนองต่อประสาทซิมพาธิตำหนิกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงและความดันเลือดลดน้อยลง ยาในกลุ่มนี้ ดังเช่น โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะหนโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์ปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายเส้นโลหิตโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินเพิ่มขึ้นยากลุ่มนี้ อาทิเช่น แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) ฯลฯ
ยาต้านทานแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยับยั้งการเคลื่อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามผนังหลอดเลือดคลายตัวอาจจะเป็นผลให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง อาทิเช่น ยาเวอราขว้างมิวล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิไต่ (nifedipine)
ยาต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต้านโพสไซแนปติเตียนกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) และออกฤทธิ์ขยายเส้นโลหิตส่วนปลายทำให้เส้นเลือดขยายตัว ยาในกลุ่มนี้เป็นต้นว่า พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนสินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนสินในการแปลงแองจิโอเทนสินวันเป็นแองจิโอเทนซินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่นอีนาลาพริล (enalapril)
ยาขยายหลอดเลือด (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเรียบที่อยู่บริเวณเส้นเลือดแดงทำให้กล้ามคลายตัวแล้วก็ยาต่อต้านทางในผนังหลอดเลือดส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำรงชีวิต (lifestylemodification)  เป็นการกระทำสุขภาพที่ต้องปฏิบัติบ่อยๆเป็นประจำเพื่อลดระดับความดันโลหิต รวมทั้งคุ้มครองภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญคนเจ็บโรคความดันเลือดสูงทุกราย ควรจะได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินชีวิตพร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาด้วยยา คนป่วยควรจะมีความประพฤติผลักดันสุขภาพที่ดี ดังนี้ การควบคุมของกินแล้วก็ควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดของกินที่มีเกลือโซเดียม  การออกกำลังกาย การงดดูดบุหรี่ การลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  การจัดการกับความเคร่งเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันเลือดสูงเป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก ภาวการณ์แรงดันเลือดในเส้นเลือดสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรคความดันโลหิตสูงจึงเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านการบริโภค
  • การลดน้ำหนักในคนที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกชี้แนะว่าในตอนแรกควรลดความอ้วน อย่างน้อย 5 โล ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดจำนวนโซเดียม (เกลือ) ในของกิน ลดโซเดียมในอาหาร เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดปริมาณแอลกอฮอล์ หรือจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่กำเนิด 20 – 30 กรัมต่อวันในเพศชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในผู้หญิง


จากการศึกษาเล่าเรียนของกินสำหรับผู้เป็นโรคความดันเลือดสูงพวกเรามักจะได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน รวมทั้งไขมันอิ่มตัวในของกิน
ตารางแสดงตัวอย่างอาหาร DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน




 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
บริหารร่างกาย การออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ควรจะบริหารร่างกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกสิเจน) คือ การบริหารร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวโดยตลอดในตอนระยะเวลาหนึ่งของกล้ามผูกใหญ่ๆซึ่งได้แก่การใช้ออกสิเจนสำหรับการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นเลือด ดังเช่นว่า เดิน วิ่ง ว่าย ปั่นรถจักรยาน ฯลฯ ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกวัน ขั้นต่ำวันละ 30 นาที ถ้าเกิดว่าไม่มีข้อกำหนด
                บริหารผ่อนคลายความเคลียด การจัดการความเครียดลดลงในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลแล้วก็หลักจิตวิทยามีอยู่ 2 วิธี
-              พากเพียรหลีกเลี่ยงเหตุหรือภาวะที่จะกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความเคร่งเครียดมากมาย
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตน ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
กินยารวมทั้งรับการดูแลและรักษาต่อเนื่อง รับประทานยาตามหมอสั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา และเจอหมอตามนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตัวเอง สำหรับคนเจ็บที่ทานยาขับเยี่ยว ควรกินส้มหรือกล้วยเป็นประจำ เพื่อทดแทนโปตัสเซียมที่สูญเสียไปในเยี่ยวรีบเจอหมอภายใน 24 ชั่วโมง หรือ ฉุกเฉิน มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้  ปวดศีรษะมาก เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่งกว่าปกติมากมาย เท้าบวม (อาการโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลม (อาการจากโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งจำต้องพบหมอเร่งด่วน) แขน โคนขาแรง พูดไม่ชัดเจน ปากเบี้ยว คลื่นไส้ อ้วก (อาการจากโรคเส้นโลหิตสมอง ซึ่งต้องพบแพทย์เร่งด่วน)

  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคความดันเลือดสูง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะคุ้มครองการเกิดโรคความดันเลือดสูง คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอีกทั้งหัวข้อการรับประทาน การออกกำลังกายโดย


-              ควรจะควบคุมน้ำหนัก
-              ทานอาหารที่มีสาระ ครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม เพิ่มผักผลไม้ในมื้อของกินประเภทไม่หวานมากมายให้มากมายๆ
-              บริหารร่างกาย โดยออกเป็นเวลานานกว่า 30 นาที และก็ออกดูเหมือนจะทุกวัน
-              ลดจำนวนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์
-              พักผ่อนให้พอเพียง
-              รักษาสุขภาพจิต และอารมณ์
-              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมถึงวัดความดันเลือด เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี ต่อจากนั้นตรวจสุขภาพหลายครั้งตามหมอ และพยาบาลแนะนำ
-              ลดอาหารเค็ม หรือเกลือแกง น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) รับประทานอาหารจำพวกผัก และก็ผลไม้มากยิ่งขึ้น
ข้อแนะนำสำหรับในการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้และก็เนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนแนวทางในการเลือกซื้ออาหารกระป๋อง ผักดองและก็อาหารสำเร็จรูป
ถ้าจะต้องเลือกซื้ออาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรอ่านฉลากของกินทุกคราว แล้วก็เลือกสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับสามัญชนทั่วๆไปควรจะบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักรวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ใช้ทำกับข้าวให้สะอาด เพื่อชำระล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือและก็เครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศรวมทั้งสมุนไพรที่มีจำนวนโซเดียมต่ำ ตัวอย่างเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหยี แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือรวมถึงเครื่องปรุงรสต่างๆยกตัวอย่างเช่น ซอส  ซีอิ๊วขาวรวมทั้งน้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อลองของกินก่อนกิน ฝึกหัดการทานอาหารที่มีรสชาติเหมาะสม ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ประกอบอาหารกินอาหารเองแทนการทานอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้อ
บันทึกการเข้า