รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 519 ครั้ง)

กาลครั้งหนึ่ง2560

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 120
    • ดูรายละเอียด


โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก เป็นยังไง  ก่อนจะทราบถึงความหมายของต้อกระจกนั้น เราน่าจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่พวกเราเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วๆไปทั้งยังด้าน หน้ารวมทั้งด้านหลัง มีความครึ้มราวๆ 5 มัธยมม. เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 มัธยมม. มีบทบาททำงานร่วมกับกระจกตาสำหรับการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกจุดโฟกัสที่จอประสาทตา ที่กระตุ้นให้เกิดการมองมองเห็น
นอกนั้นแก้วตายังสามารถเปลี่ยนแปลงกำลังการหักเหได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น นั่นก็คือ ในคนปกติจะแลเห็นชัดทั้งยังไกลและใกล้ เพราะฉะนั้นธรรมชาติจึงสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายใดๆก็ตามแต่แม้ว่าแก้วตาจะมิได้รับอันตรายใดๆจากข้างนอก แม้กระนั้นก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงความเสื่อมโทรมสภาพจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือการถูกต้นเหตุที่จะรีบส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ อาทิเช่น ต้อกระจก ต้อหิน หน้าจอประสาทตาเสื่อม อื่นๆอีกมากมาย สำหรับต้อกระจกนี้
ขั้นแรกต้องขอให้คำอธิบายศัพท์ หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” เสียก่อน ต้อกระจกคือภาวการณ์ที่เลนส์ข้างในดวงตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเพราะว่าสาเหตุอะไรก็ได้ ตามปกติแล้วเลนส์ข้างในลูกตามีภาวการณ์ใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้พวกเราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้กระจ่าง รวมทั้งเมื่อกำเนิด “ต้อกระจก” ก็จะก่อให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยินยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้แน่ชัด ผู้นั้นจึงมองอะไรไม่ชัดเจน ตาฝ้า มัว แล้วในที่สุดถ้าเกิดขาวขุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมืดและ มองอะไรมองไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้มากสำหรับคนชรา ถ้าหากปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด นับว่าเป็นมูลเหตุอันดับแรกๆของสภาวะสายตาทุพพลภาพของคนชรา
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก โดยส่วนมาก (โดยประมาณจำนวนร้อยละ 80) มีสาเหตุมาจากสภาวะเสื่อมตามวัย คนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แต่ว่าอาจเป็นมากน้อยแตกต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนสูงอายุ (senile cataract)  ส่วนน้อย (โดยประมาณร้อยละ 20) อาจเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) ทารกสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ต้นกำเนิด โดยบางทีอาจเกิดได้จากกรรมพันธุ์ การตำหนิดเชื้อ การเกิดอันตรายหรือมีความก้าวหน้าระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแรกเกิดที่ค้นพบว่าเป็นต้อกระจกโดยกำเนิด อย่างเช่น สภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนปมชนิดที่ 2 ก็อาจนำไปสู่การเกิดต้อกระจกชนิดนี้ เด็กเล็กบางคนอาจออกอาการในภายหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง ครั้งคราวต้อกระจกนี้เล็กมากจนกระทั่งไม่ส่งผลต่อการมองมองเห็น แต่ว่าเมื่อพบว่ามีผลกระทบต่อการมองเห็นจึงจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาชนิดอื่นอย่างเช่นต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ บางทีอาจเป็นต้นเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกจากนี้ คนไข้เบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางชนิด ตัวอย่างเช่น สเตียรอยด์ ยาขับฉี่บางตัว ก็นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นเดียวกัน เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากสภาวะแรงชนที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเขพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ทันทีข้างใน 1 วัน หรือถ้าหากโดนวัตถุไม่มีคมชน ก็อาจจะมีการเกิดต้อกระจกตามมาทีหลังได้ ถ้าเกิดความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาแตกสามัคคี เกิดขึ้นจากโดนรังสีเอกซเรย์ บริเวณลูกตาอยู่เสมอๆอย่างเช่น พวกที่มีโรคมะเร็งบริเวณเบ้าตา และก็รักษาโดยใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ และเกิดต้อกระจกตามมา  เว้นเสียแต่ปัจจัยต่างๆดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ของกินพวกที่มีภาวะทุโภชนา หรือพวกของกินผิดสุขอนามัย ขาดโปรตีน และก็วิตามินกระตุ้นให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ
ลักษณะโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะดูได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเริ่ม เนื่องจากว่าจำต้องใช้เวลานานกว่าอาการของต้อกระจกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงกระทบต่อการมองเห็น โดยคนไข้มักมีอาการดังต่อไปนี้

  • อาการเด่นของต้อกระจกเป็น ตาค่อยๆมัวลงอย่างช้าๆโดยไม่มีลักษณะของการเจ็บปวด หรือ ตาแดงแต่อย่างใด อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงสว่างจ้า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อออกแดด แต่กลับมองเห็นแทบเป็นปกติในที่มืดมัวๆหรือเวลาพลบค่ำ เพราะเหตุว่าเมื่ออยู่ในที่โล่งม่านตาจะหดแคบลง ทำให้แสงไฟที่จะเข้าตาเข้ายากขึ้น ตรงกันข้ามกับเมื่ออยู่ในที่มืด ซึ่งม่านตาจะขยายทำให้แสงเข้าตาได้มากขึ้น จึงเห็นกระจ่างขึ้นในที่มืด
  • ในคนวัยแก่เวลาอ่านหนังสือจะต้องใช้แว่นตาช่วยเป็นปกติอยู่แล้ว แต่อยู่ๆกับพบว่าอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องใส่แว่น โน่นเป็นเพราะว่าอาการจากเริ่มมีการเสื่อมของแก้วตาทำให้การเบี่ยงเบนแสงสว่างเปลี่ยน จึงกลับมาเป็นคนสายตาสั้นเมื่อแก่ (Secondary myopia)
  • ในเด็กๆที่เป็นต้อกระจกบางครั้งอาจจะกล่าวหรือบอกไม่ได้ถึงการมองมองเห็นเพียงจะพินิจได้ว่าเด็กจะมอง จับหรือเล่นของเล่นไม่ถนัด ตาบางทีอาจส่ายไปๆมาๆ หรือเฉไปทางไปทางใดทางหนึ่งได้
  • แลเห็นภาพซ้อน หรือ มองเห็นแสงไฟกระจาย
  • แลเห็นภาพเป็นสีเหลืองหรือซีดเซียวจางลงกว่าที่สายตาคนปกติเห็น
  • จำต้องใช้แสงสว่างเยอะขึ้นเรื่อยๆสำหรับในการอ่านหนังสือหรือกิจกรรมที่จำเป็นต้องใช้สายตา
ภาวะแทรกซ้อนของต้อกระจก

  • เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัดจะมีผลให้ตาบอดสนิท
  • ในบางรายแก้วตาอาจบวมหรือเลยไปอุดกันทางระบายของเหลวในลูกตา นำมาซึ่งความดันด้านในดวงตาสูงขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นต้อหินได้
  • ผู้เจ็บป่วยจะสามารถมีอาการปวดตาอย่างรุนแรงได้


แนวทางการรักษาโรคต้อกระจก แพทย์จะวิเคราะห์เบื้องต้นด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาคนไข้จะรู้สึกตาฝ้า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่เจอปฏิกิริยาย้อนกลับสีแดง (red reflex)
แม้ยังไม่มั่นใจ แพทย์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษตรวจอย่างละเอียดลออ อาจจำต้องวัดความดันดวงตา (เพื่อแยกออกมาจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงยิ่งกว่าปกติ) รวมทั้งตรวจพิเศษอื่นๆดังเช่น

  • การตรวจวัดสายตา (Visual Acuity Test) การประเมินความสามารถการมองมองเห็นในระยะต่างๆโดยให้อ่านชุดตัวอักษร เมื่อทดลองตาข้างอะไรก็แล้วแต่อีกข้างจะถูกปิดไว้ วิธีการแบบนี้เป็นการประเมินว่าคนเจ็บมีความผิดธรรมดาทางสายตาให้เห็นไหม
  • การทดลองโดยขยายรูม่านตา (Retinal Eye Exam) ทำได้ด้วยการหยดยาลงที่ตาเพื่อให้รูม่านตาเปิดกว้างขึ้น แล้วใช้เลนส์ขยายแบบพิเศษตรวจดูจอประสาทตาและเส้นประสาทตาเพื่อกล่าวโทษผิดปกติของตา ข้างหลังการตรวจนี้ ดวงตาของคนไข้แลเห็นในระยะใกล้ขุ่นมัวตรงเวลาหลายชั่วโมง
  • การตรวจโดยใช้กล้องถ่ายรูปตาจุลทรรศน์จำพวกลำแสงแคบ (Slit Lamp Examination) ได้แก่การใช้กล้องถ่ายรูปที่มีความเข้มของลำแสงสูงและก็บางพอที่จะส่องกระจกตา ม่านตา เลนส์แก้วตา รวมถึงพื้นที่ว่างระหว่างม่านตาและก็กระจกตา ช่วยให้หมอสามารถมองเห็นส่วนประกอบที่เป็นส่วนเล็กได้อย่างสะดวก


เนื่องจากว่าโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้รับประทาน หรือหยอดใดๆก็ตามที่ช่วยแก้อาการของต้อกระจกได้ ระยะต้นๆของโรคต้อกระจกสามารถบรรเทาได้ด้วยการตัดแว่นตาใหม่ สวมแว่นกันแดดร้องไห้สะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายตราบจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำการผ่าตัด ในอดีตกาลมักคอยให้ต้อกระจกสุกจึงทำการผ่าตัดแปลงเลนส์ แต่ตอนนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่เนิ่นๆเป็นเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำรงชีวิตของคนไข้ก็ควรจะรับการรักษา เนื่องจากการรอคอยต้อกระจกสุก จะมีผลให้การดูแลและรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจจะทำให้กำเนิดโรคตาอื่นสอดแทรก อาทิเช่น ต้อหิน ซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายมากยิ่งขึ้นได้
ในปัจจุบันการรักษาต้อกระจกมีเพียงแต่แนวทางเดียว คือ การผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกแล้วก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในขณะนี้การผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับการผ่าตัดไม่นาน และไม่จำต้องนอนโรงพยาบาลข้างหลังผ่าตัด
กรรมวิธีผ่าตัดที่นิยมในปัจจุบันมี 3 วิธี

  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
  • การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เฟมโตเชคเคินเลเซอร์ (Femtosecond Laser assisted Cataract Surgery)
  • การผ่าตัดนำเลนส์ตาออกอีกทั้งก้อน (Extracapsular cataract extraction) ซึ่งแนวทางแบบนี้ใช้ในเรื่องที่เลนส์นอนไม่หลับมากๆ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก

  • อายุ – เป็นสาเหตุหลักจำนวนมากที่ส่งผลให้เกิดโรคต้อกระจกมากกว่า 80% โดยเฉพาะในคนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากากรเสื่อมตามวัย เพราะเลนส์ที่อยู่ในตาเรานั้นต้องถูกใช้งานรับแสงมานานพอๆกับอายุของตัวเราจึงเกิดการหมดสภาพได้
  • แสงสว่าง UV – การทำงานบางประเภทโดยไม่ใส่หน้ากากปกป้องแสงหรือรังสีเข้าตา ดังเช่นเวลาเชื่อมเหล็ก ก็สามารถทใด้เกิดโรคต้อกระจกได้
  • โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตา – การต่อว่าดเชื้อในตา ม่านตาอักเสบ ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุหนึ่งของโรคต้อกระจก
  • การถูกกระทบกระแทกบริเวณตาอย่างรุนแรง
  • โรคประจำตัวบางชนิดอาทิเช่น โรคเบาหวาน ที่ทำให้เป็นโรคต้อกระจกเร็ววกว่าธรรมดา
  • การทานยาจำพวก ateroid
  • เด็กอ่อนที่ติดเชื้อโรคจาก มีมารดามีการติดเชื้อหัดเยอรมันในตอน 3 เดือนแรกของการมีครรภ์


การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกมีสาเหตุจากเลนส์ตาหรือแก้วตา ย่อยสลายจากนานัปการต้นสายปลายเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงได้ผลให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย ก็เลยทำให้เกิดการมองเห็นภาพฝ้าฟางเยอะขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมองไม่เห็นท้ายที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ขาดการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก

  • ถนอมสายตาด้วยการใส่ใส่แว่นตากันแดดเลี่ยงการโดนแสงอาทิตย์จ้า
  • เข้ารับการตรวจรักษาจากจักษุแพทย์แม้กระนั้นเนิ่นๆเพื่อจะได้ทำแขนรักษาได้อย่างทันท่วงทีไม่ให้อาการเกิดขึ้นอีกจนกระทั่งไม่อาจจะรักษาได้
  • กระทำตามแพทย์สั่งและไปตรวจตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด
  • รักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง หมั่นบริหารร่างกาย พักผ่อนให้พอเพียง กินอาหารที่เป็นประโยชน์ครบอีกทั้ง 5 กลุ่ม
  • ภายหลังผ่าตัดแปลงเลนส์ตาแล้วผู้เจ็บป่วยควรจะนอนพักให้สูงที่สุด แล้วก็ลุกขึ้นเดินเท่าที่จำเป็นเพียงแค่นั้นแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก การยกของหนักหรือกระเทือนมากมาย การออกกำลังกายอย่างหนัก รวมทั้งการไอหรือจามแรงๆเป็นเวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือจนกว่าแผลจะหายดี
การคุ้มครองตัวเองจากโรคต้อกระจก

  • ควรจะสวมแว่นดำเมื่ออยู่ที่โล่งแจ้ง คุ้มครองปกป้องแสง UV ที่เป็นต้นเหตุกระตุ้น
  • ควรจะเจอจักษุแพทย์เมื่อมีลักษณะผิดปกติทางตาและไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง โดยเฉพาะยาที่มีส่วนประกอบของ Steroids
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือ เมื่อท่านมีอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • คนเจ็บเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลบให้อยู่ในระดับธรรมดา
  • เลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุกับดวงตา หรือใส่เครื่องคุ้มครองเวลาทำงานที่เสี่ยงตอการกระทบชนดวงตา
  • เมื่อมีการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรมีการพักสายตา
  • ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยค่าทางโภชนาการ มีวิตามิน และก็มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีในผักและผลไม้หลากสี เป็นต้นว่า มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง กล้วย ผลไม้เชื้อสายเบอปรี่
  • หลบหลีกการสูบยาสูบ และดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์
  • นอนพักให้เพียงพอ


สมุนไพรที่ช่วยปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก  จากการศึกษาเล่าเรียนค้นคว้าข้อมูลงานศึกษาเรียนรู้พบว่า สมุนไพรไทยหลายประเภทสามารถคุ้มครองโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน รวมทั้งฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) แล้วก็อุดมไปด้วยวิตามินและธาตุหลายประเภท ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และก็เกลือแร่ต่างๆรวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตแล้วก็โปรตีน เป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ขมิ้นชันจึงมีคุณประโยชน์สำหรับในการช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย รวมทั้งสามารถรักษาอาการแล้วก็โรคต่างๆได้หลายประเภท
ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านทานอนุมูลอิสระสำคัญหมายถึงไลวัวตะกาย (lycopene) โดยในเยื่อห่อเมล็ดของฟักข้าวมีไลโคพีนสูงกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ซึ่งสามารถช่วยสำหรับการบำรุงและก็รักษาสายตา คุ้มครองปกป้องโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก รวมทั้งประสาทตาเสื่อม รวมทั้งตาบอดช่วงเวลากลางคืนได้ ทั้ง ยังมีการวิจัยพบว่า ไลโคไต่แล้วก็เคอร์คิวมินอยด์ ยังช่วยป้องกันต้อกระจกที่เกิดขึ้นจากโรคเบาหวานได้อีกด้วยนอกจากนั้นยังมีสมุนไพรอีกหลายแบบซึ่งสามารถคุ้มครองป้องกันโรคต้อกระจกได้ อาทิเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีหน้าที่สำหรับเพื่อการปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา นอกเหนือจากมะขามป้อมแล้ว ยังมีผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า เป็นต้น เว้นเสียแต่สมุนไพรพนาแล้ว สมุนไพรต่างแดนที่มีการสรรพคุณบำรุงรวมทั้งคุ้มครองปกป้องโรคเกี่ยวกับตาได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น
Ginseng หรือโสม คือรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญเป็น ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดลองทางคลินิกในผู้เจ็บป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปยังจอตา จึงน่าจะเป็นผลดีในลักษณะการป้องกันโรคต้อหิน นอกจากนั้นสาร Rb1 แล้วก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นผลดีสำหรับการปกป้องโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เนื่องด้วยการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดสอบในหนูแสดงว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของเรตินาในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นโรคเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับในการคุ้มครองปกป้องโรคตาทั้ง 4เป็นโรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม และก็ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา
Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกรุ๊ปเป็น เฟลโม้นอยด์และก็เทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปและอเมริกามีฤทธิ์ปกป้องการทำลายจากอนุมูลอิสระ และคุ้มครองป้องกัน lipid peroxidation จากการทดลองพบว่า GBE สามารถคุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ mitochondria คุ้มครองป้องกันการเสื่อมของ optic nerve ก็เลยสามารถป้องกันตาบอดในผู้เจ็บป่วยโรคต้อหิน แล้วก็ คนไข้จอตาเสื่อมได้ รวมทั้งสามารถลดการหลุดของจอตา (retinal detachment) ได้ GBE จึงมีประโยชน์ในกรณีปกป้องและรักษาโรคต้อหินและโรคที่เกี่ยวข้องกับเรตินา
Danshen ชื่อสามัญคือ Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้เป็นราก ในตำรายาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนเลือด ใช้รักษาฝี สารสำคัญเป็น salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำและเป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงแล้วก็ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเป็นโรคเบาหวานจะเกิดอาการอักเสบรวมทั้งหนาขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่อาจจะถูกกำจัดออกไปได้ก็เลยไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดลองฉีดตังเซียมเข้าไปที่เยื่อจอตาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถคุ้มครองป้องกันการสูญเสียการมองมองเห็นได้ การทดสอบทางคลินิกในคนป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถคงสภาพลานสายตา (visual field) ในคนป่วยระยะกลางและระยะปลายได้ ด้วยเหตุนั้น ตังเซียมก็เลยมีคุณประโยชน์กับคนเจ็บโรคตาที่เกี่ยวโยงกับ oxidative stress อาทิเช่น จอประสาทตาเสื่อม ภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก รวมทั้งมีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) กรรมการเกษตรประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า คนประเทศอเมริกาที่รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำมีโอกาสกำเนิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักและผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง รวมทั้งคนที่ไม่รับประทานผักแล้วก็ผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเพิ่มมากขึ้นถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่หรูหราวิตามินซีในเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่หรูหราสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า
เอกสารอ้างอิง

  • โรคต่อกระจก.แผ่นพับประชาสัมพันธ์.หน่วยตรวจโรคจักษุฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช.2560.
  • ต้อกระจก (Cataract) . บทความเผยแพร่.ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • นพ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่70.คอลัมน์โรคตา.กุมภาพันธ์2529
  • Sastre J, Lloret A, Borris C et al, Ginkgo biloba extract EGb 761 protects against mitochondrial aging in the brain and in the liver, Cell and Molecular Biology, 2002;48(6):685-692.
  • รศ.ดร.ภญ.อ้อมบุญ วัลลิสุต สมุนไพรและสารธรรมชาติบำรุงตา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • ต้อกรระจก-อาการ.สาเหตุ.การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ต้อกระจก (Cataract)” .(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า950-952.
  • Kim NR, KimJH, and Kim CY, Effect of Korean red ginseng supplementation on ocular blood flow in patients with glaucoma, Journal of Ginseng Research, 2010;34(3);237- 245.
  • Janssens D, Delaive E, Remacle J, and Michiels C, Protection by bilobalide of the ischaemia-induced alterations of the mitochondrial respiratory activity, Fundamental and Clinical Pharmacology, 2000;14(3):193-201.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์2553
  • Cho JY, Yoo ES, Baik KU, Park MH, and Han BH, In vitro inhibitory effect of protopanaxadiol ginsenosides on tumor necrosis factor (TNF)-alpha production and its modulation by known TNF-a antagonists, Planta Medica, 2001;67(3):213-218.
  • ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงค์กิตติรักษ์.ต้อกระจก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่390.คอลัมน์รักษ์”ดวงตา”.ตุลาคม.2554
  • Sen S, Chen S, Wu Y, Feng B, Lui EK, and Chakrabarti S, Preventive effects of North American ginseng (Panax quinquefolius) on diabetic retinopathy and cardiomyopathy, Phytotherapy Research, 2012;27(2):290-298.
  • Wu ZZ, Jiang JY, Yi YM, and Xia MT, Radix Salvia miltiorrhizae in middle and late stage glaucoma, Chinese Medical Journal, 1983;96(6):445-447.
  • Zhang L, Dai SZ, Nie XD, Zhu L, Xing F, and Wang LY, Effect of Salvia miltiorrhiza on retinopathy, Asian Pacific Journal of Tropical Medicine, 2013;6(2):145-149.
  • Lee SM, Sun JM, Jeong JH et al, Analysis of the effective fraction of sun ginseng extract in selenite induced cataract rat model, Journal of the Korean Ophthalmological Society, 2010;51:733-739.
  • Chen Y, Lin S, Ku H et al, Salvianolic acid B attenuates VCAM-1 and ICAM-1 expression in TNF-alpha-treated human aortic endothelial cells, Journal of Cellular Biochemistry,2001;82(3):512-521.



Tags : โรคต้อกระจก
บันทึกการเข้า