รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไมเกรน - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 466 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


โรคไมเกรน (Migraine)
โรคไมเกรนคืออะไร โรคไมเกรนมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ ตัวอย่างเช่น โรคปวดหัวไมเกรน , โรคปวดหัวข้างเดียว , โรคลมตะกัง ฯลฯ  โรคไมเกรนเป็นโรคที่นำไปสู่อาการปวดศีรษะเรื้อรัง ที่มีลักษณะเฉพาะบุคคลที่สำคัญคือ ลักษณะของการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดด้านเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง รวมทั้งแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปๆมาๆหรือย้ายตำแหน่งได้  แต่ว่าบางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งแต่ทีแรก  ลักษณะของอาการปวดชอบปวดตุ๊บๆเป็นช่วงๆแต่ว่าก็มีบางคราวที่ปวดแบบทื่อๆส่วนมากจะปวดร้ายแรงปานกลางถึงร้ายแรงมาก  โดยจะค่อยๆปวดเยอะขึ้นเรื่อยๆที่ละน้อยจวบจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มกำลังแล้วจึงค่อยๆบรรเทาลักษณะของการปวดลงจนหาย  ขณะที่ปวดศีรษะก็ชอบมีลักษณะอาการคลื่นไส้หรือคลื่นไส้ร่วมด้วย   ระยะเวลาปวดชอบนานหลายชั่วโมง แต่ว่าส่วนมากจะนานไม่เกิน 24 ชั่วโมง ในบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการเตือนเอามาก่อนหลายนาที  ดังเช่นว่า สายตาพร่ามัว หรือ เห็นแสงสว่างกระพริบๆลักษณะของการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายบางครั้งก็อาจจะปวดมากยิ่งขึ้นลางมืดค่ำ หรือปวดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกว่าตื่นนอนรุ่งเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
            ลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรนไม่เหมือนกับลักษณะของการปวดหัวธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดหัวธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งยังหัว จำนวนมากเป็นลักษณะของการปวดทื่อๆที่ไม่ร้ายแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น ดังเช่นว่า คลื่นไส้ร่วมด้วย  จำนวนมากจะหายได้เองเมื่อได้นอนสนิทไปพักใหญ่ ผู้เจ็บป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นสตรี โดยเฉลี่ยพบว่า ผู้หญิงโดยประมาณ 15% จะเป็นโรคนี้ ใน ในขณะที่ผู้ชายเจอเป็นโรคนี้เพียงโดยประมาณ 6% โดยมีอัตราการเป็นโรคไมเกรนสูงสุดอีกทั้งในผู้หญิงและก็ในเพศชายอยู่ที่ช่วงอายุ 30 -40 ปี ดังนี้เกือบจะไม่เจอผู้เจ็บป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว
นอกนั้นคนไข้โรคปวดศีรษะไมเกรน มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย แม้กระนั้นเดี๋ยวนี้โรคนี้มียาซึ่งสามารถรักษาบรรเทาอาการ และก็ยาที่ปกป้องอาการไม่ดีขึ้นของโรค มีการประมาณว่าใน 24 ชั่วโมง ทั้งโลกจะมีคนเจ็บที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนประมาณ 3,000 คนต่อราษฎร 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาเป็นคนอเมริกากึ่งกลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และก็แอฟริกา                                                                             
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไมเกรน มูลเหตุที่แท้จริงของไมเกรนยังไม่รู้แจ่มกระจ่าง แม้กระนั้นมีการสันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสำหรับในการทำงานของระบบประสาทแล้วก็เส้นเลือดในสมองมีต้นเหตุจากความเคลื่อนไหวของสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า ซีโรโทนิน หรือ serotonin (ซึ่งพบว่ามีจำนวนต่ำลงระหว่างที่มีอาการกำเริบ) แล้วก็สารเคมีในสมองกลุ่มอื่นๆดังเช่น โดปามีน  นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ ๕ ที่ เลี้ยงบริเวณใบหน้าแล้วก็หัว รวมถึงทำให้หลอดเลือดแดงในแล้วก็นอกกะโหลกศีรษะมีการอักเสบ และมีการหดรวมทั้งขยายตัวไม่ปกติ หลอดเลือดในหัวกะโหลกจะมีการหดตัวทำให้เปลือกสมองมีเลือดไปเลี้ยงลดลง ส่วนหลอดเลือดนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัว ทั้งหมดนี้นำไปสู่อาการแสดงต่างๆของโรคไมเกรน
ปัจจุบันพบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ที่เป็นไมเกรน   มีประวัติว่าพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้ด้วย ส่วนต้นเหตุกำเริบของไมเกรนนั้น ผู้เจ็บป่วยมักพูดได้ว่า แต่ละครั้งที่มีลักษณะปวดศีรษะจะมีสิ่งกระตุ้นหรือเหตุกำเริบเสิบสานกระจ่าง ซึ่งแต่ละคนอาจมีเหตุกำเริบที่นานับประการ แล้วก็ชอบมีได้หลายๆอย่างข้างในการกำเริบครั้งเดียวเหตุกำเริบที่พบบ่อยๆได้แก่

  • มีแสงไฟจ้าเข้าตา ดังเช่นว่า ออกกลางแดดแรงๆแสงสว่างแรง แสงสว่างกะพริบ แสงสีระยิบในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์
  • การใช้สายตาเพ่งดูอะไรนานๆตัวอย่างเช่น หนังสือ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บปักถักร้อย
  • การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ ได้แก่ ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก
  • การสูดดมกลิ่นฉุนๆเช่น กลิ่นสี กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสารเคมี ควันที่เกิดจากบุหรี่
  • การดื่มกาแฟมากมายๆก็อาจกระตุ้นให้ปวดได้
  • ยานอนหลับ เหล้า เบียร์ ไวน์ ถั่วต่างๆกล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล อาหารทอดน้ำมัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม ยากันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
  • การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเกินความจำเป็น ได้แก่ อากาศร้อน หรือหนาวจัด
  • การงดนอน (นอนน้อยเกินไป) หรือนอนมากเหลือเกิน การนอนตื่นสาย
  • การงดเว้นข้าว กินข้าวไม่ถูกเวลา หรือรับประทานอิ่มจัด มั่นใจว่าเกี่ยวกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ บางครั้งพบว่า ผู้เจ็บป่วยไมเกรนเมื่อเป็นโรคโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) ลักษณะของการปวดจะหายไป
  • การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเรือบิน
  • การเป็นไข้ อาทิเช่น ตัวร้อนจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
  • การบริหารร่างกายจนกระทั่งเมื่อยล้าเกินความจำเป็น
  • ร่างกายอ่อนล้า
  • การถูกกระแทกแรงๆที่ศีรษะ (ดังเช่น การใช้ศีรษะโหม่งบอลหรือตะกร้อ) ก็อาจส่งผลให้ปวดศีรษะทันที
  • อิทธิพลของฮอร์โมนเพศสำหรับคนเจ็บหญิง ส่งผลต่อการเกิดอาการไมเกรนอย่างมาก ตัวอย่างเช่น บางรายมีลักษณะอาการปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือมีเมนส์ รวมทั้งมีไม่น้อยที่หายปวดไมเกรนขณะตั้งครรภ์ ๙ เดือน (มีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนสูง) บางรายรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโตรเจน) ทำให้ปวดบ่อยมากขึ้น พอหยุดรับประทานยาก็
  • ความตึงเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์ขุ่นหมอง ตื่นเต้น ตกใจ
ซึ่งในสมัยก่อนมีการศึกษาค้นพบทฤษฏีที่เกี่ยวกับการเกิดอาการของไมเกรนคือ

  • แนวคิดเกี่ยวกับหลอดเลือด (Vascular theory) ทฤษฎีนี้ถูกคิดขึ้นมาในตอนปี พ.ศ. 2483 โดย Wolff (แพทย์คนอเมริกัน) ซึ่งชี้แจงว่า อาการนำก่อนปวดศีรษะชนิดออรา (มีลักษณะอาการนำ) มีต้นเหตุมาจากเส้นโลหิตในสมองมีการหดตัว รวมทั้งเมื่อหลอดเลือดที่หดตัวขยายตัวออก จะทำให้มีลักษณะปวดศีรษะตามมา โดยหลักฐานสนับสนุนคือ เจอหลอดเลือดนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัวรวมทั้งเต้นตุ้บๆและการให้ยาช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้อาการปวดศีรษะ ส่วนการให้ยาที่ขยายเส้นโลหิต ทำให้อาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้น


แต่ แนวความคิดนี้ไม่อาจจะชี้แจงอาการนำก่อนปวดหัวชนิดไม่มีออรา (ไม่มีอาการนำ) รวมถึงอาการร่วมที่เกิดระหว่างไมเกรนว่ากำเนิดได้อย่างไร นอกจาก ยาบางตัวซึ่งไม่เป็นผลสำหรับการหดตัวของเส้นเลือด แต่ก็สามารถบรรเทาลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรนได้ และก็การตรวจภาพเส้นเลือดสมองก่อนเกิดอาการแล้วก็ระหว่างกำเนิดอาการ ก็ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้ ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันนี้แนวคิดนี้ก็เลยไม่ค่อยเป็นที่ยอบรับ

  • ทฤษฎีเกี่ยวกับเซลล์ประสาท หลอดเลือด และก็สารสื่อประสาทร่วมกัน (Neurovascu lar theory) Leao (แพทย์ชาวบราซิล) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ในปี พุทธศักราช 2487 ซึ่งอธิบายว่า เซลล์ประ สาทในสมองบางตัวมีการตื่นตัว แล้วก็ปล่อยสารสื่อประสาท (สารเคมีที่มีหน้าที่ส่งต่อสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท) กระตุ้นเซลล์ประสาทใกล้เคียงให้ตื่นตัว และส่งต่อสัญญาณไปเรื่อยการที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้นนี้ นำมาชี้แจงการเกิดอาการนำก่อนที่จะมีการปวดศีรษะของผู้เจ็บป่วยได้ ส่วนลักษณะของการปวดศีรษะของผู้ป่วยอธิบายได้จาก เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นไปเรื่อยจนกระทั่งไปกระ ตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทเฉพาะประเภทหนึ่ง เรียกว่า Trigerminal nucleus ซึ่งจะปล่อยสารเคมีหลายประเภทที่มีผลนำไปสู่อาการปวดไปสู่หลอดเลือด เว้นแต่สารเคมีกลุ่มนี้ทำให้เกิดลักษณะของการปวดแล้ว ยังส่งผลทำให้ หลอดเลือดขยายตัวอีกด้วย จากแนวความคิดพวกนี้ มีผู้ค้นพบเสริมเติมถัดไปอีกเพียบเลยในปัจจุบัน


ลักษณะของโรคไมเกรน เมื่อกำเนิดอาการปวดหัวข้างเดียว หลายๆท่านเข้าใจว่าเป็นโรคปวดไมเกรน เพราะว่าเราเคยเรียกโรคปวดไมเกรนกันว่า โรคปวดศีรษะฝ่ายเดียว ก็เลยทำให้หลงผิดมีความคิดว่าถ้าหากมีลักษณะอาการปวดหัวข้างเดียวแสดงว่าเป็นไมเกรน   แท้จริงลักษณะของการปวดไมเกรนนั้นไม่มีความจำเป็นต้องปวดศีรษะเพียงแค่ข้างเดียว อาจปวดสองข้างก็ได้ ในทางกลับกัน ลักษณะของการปวดศีรษะฝ่ายเดียวอาจไม่ใช่ไมเกรนก็ได้   โดยลักษณะของโรคไมเกรนได้ผลสำเร็จจากการขยายแล้วก็หดของเส้นโลหิตที่กะโหลกศีรษะ โดยมักมีลักษณะอาการนำ (aura) ก่อนอาการปวด แม้กระนั้นปัจจุบันพบว่าอาจไม่มีอาการนำก็ได้  ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะโรคไมเกรนเป็น 4 ขั้น เช่น ระยะอาการนำ (Premonitory Symptom และก็ Singn) ระยะอาการเตือน (Aura phase) ระยะปวดศีรษะ (Headache) และก็ระยะหายปวด    (Postdrome) ซึ่งคนเจ็บอาจไม่แสดงอาการในทุกขั้นก็ได้

อาการและอาการแสดงของ ไมเกรน แบ่งได้ระยะต่างๆดังต่อไปนี้

  • ระยะอาการนำ (Premonitory symptom รวมทั้ง singn) มีลักษณะอาการและก็อาการแสดงทางสมอง ซึ่งแสดงออกในรูปของความแตกต่างจากปกติของหลักการทำงานของสมองแบบปกติ ความแปลกของระบบทางเดินอาหาร เท่ากันของน้ำภายในร่างกาย และอาการทางกล้าม ซึ่งปรากฎการณ์นี้ เจอโดยประมาณ 40% ของคนไข้ไมเกรน อาการพวกนี้มักนำมาก่อนประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนกำเนิดอาการปวดหัวและอาจกำเนิดเร็วใน 1 ชั่วโมง หรือกำเนิดก่อนนานถึง 2 วัน อาการพวกนี้มีอีกทั้งอาการแสดงทางด้านจิตใจ อาการทางระบบประสาทและความเคลื่อนไหวในระบบอื่นๆของร่างกาย เป็นต้นว่า สมาชิเสีย อารมณ์หงุดหงิด เก็บเนื้อเก็บตัว ทำอะไรว่องไว ทำอะไรซ้ำซากจำเจ คิดช้าทำช้า หรือทำอะไรงุ่มสวย บางคราวอารมณ์ไม่ดี คนป่วยอาจมีหาวบ่อยมาก ง่วงมากทนต่อแสงเสียงไม่ค่อยได้ ผิวหนังบางทีอาจไวต่อความรู้สึกทนต่อการสัมผัสไม่ได้ นอนมาก อิดโรยง่าย พูดไม่ชัดเจน คิดคำพูดไม่ออก พูดน้องลง กล้ามเนื้อคออาจตึง มีลักษณะเหน็ดเหนื่อยทั่วไป รู้สึกหนาวจำต้องคลุมผ้าที่มีไว้เพื่อห่ม หน้าซีด ขอบตาคล้ำ หนังตาหนักๆหรือตาลึก อาการทางเดินอาหารก็มีได้ทั้งยังต้องการอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่มีรสหวาน เบื่ออาหาร อึบ่อยมาก ท้องผูก ท้องเฟ้อ เจ็บท้อง อาการอื่นๆอย่างเช่น เยี่ยวบ่อยมาก อยากดื่มน้ำ บวมก็เลยทำให้เชื่อว่าไมเกรน น่าจะเป็นปรากฎการณ์ของการเปลื่ยนแปลงทางวิชาชีวเคมีในเซลล์ประสาทและก็ความเคลื่อนไหวทางเส้นเลือดในระยะปวดหัวเป็นปรากฎการณ์ที่ตามมาภายหลัง
  • ระยะอาการเตือน (Aura phase) เป็นอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่ซึ่งเกิดก่อนอาการปวดหัวราวๆ 30 นาที แล้วก็ส่วนใหญ่จะมีลักษณะอยู่นาน 20-30 นาที โดยปกติจะหายเมื่อกำเนิดลักษณะของการปวดหัวขึ้นมาแล้ว ซึ่งอาการที่พบได้มากเป็น อาการไม่ปกติทางทางเห็น ยกตัวอย่างเช่น การเห็นแสงสี เห็นแสงระยิบ มองเห็นแสงดาวกระพริบ และอาจมีอาการชาบริเวณนิ้วมือ แขนแล้วก็บริเวณใบหน้า แล้วก็บางทีอาจพบภาวการณ์กล่าวตรากตรำร่วมด้วย
  • ระยะปวดหัว (Headache) มักจะเริ่มเป็นช้าๆในเวลา 30-60 นาที ก่อนจะปวดศีรษะมากมายสุด แต่บางรายบางทีอาจสังเกตว่าปวดศีรษะหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว ซึ่งทำให้ไม่เคยทราบว่าโดยความเป็นจริงอาการปวดหัวเริ่มเป็นเมื่อใดและก็รวดเร็วเท่าใด บางรายความร้ายแรงของลักษณะของการปวดศีรษะก็ดำเนินไปอย่างช้าๆใช้เวลาครึ่งวันหรือทั้งวัน แล้วก็มักจะเบาๆหายไป แต่ในเด็กอาการกลุ่มนี้จะหายอย่างรวดเร็ว วันหลังอ้วก ลักษณะปวดศีรษะนี้มีไม่ถึง 50% ที่ปวดแบบตุ๊บๆที่เหลือมักปวดทื่อๆหรือปวดเหมือนมีอะไรมารัด ลักษณะปวดที่สำคัญในไมเกรนเป็นลักษณะของการปวดในตำแหน่งต่างๆจะย้ายที่ได้แล้วก็ย้ายข้างได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นสำหรับเพื่อการเป็นแต่ละครั้งหรือสำหรับในการปวดครั้งเดียวกัน แล้วก็อาการปวดเหล่านี้จะเป็นมากเมื่อมีการขยับเขยื้อนศีรษะ อาการร่วมขณะปวดหัวมักเป็นอาการทางระบบประสาทและก็อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งในบางรายอาการพวกนี้จะเกิดในระยะอาการนำซึ่งในแต่ละคนอาการจะแตกต่างกันและก็อาการในคนๆเดียวกันการปวดหัวแต่ละครั้งก็อาจไม่เหมือนกันได้ด้วย อาการกลุ่มนี้อย่างเช่น ไม่อยากอาหาร อาเจียน อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย รู้สึกเย็นปลายมือ ปลายเท้า กลัวแสงกลัวเสียง เกลียดให้ผู้ใดกันมาแตะต้องตัว ไม่อาจจะทนต่อการเขย่าสั่นสะเทือน บางบุคคลไวต่อกลิ่น หงุดหงิด ปวดก้านคอ เหน็ดเหนื่อย คัดจมูก เดินตุปัดตุเป๋ หรือคล้ายจะเป็นลม ลักษณะของการปวดหัวจะหายไปภายหลังได้นอน 45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หรือภายหลังดื่มเครื่องดื่มร้อนๆหรือ วันหลังอาเจียนหรือได้ยาพารา
  • ระยะหายปวด (Postdromes) อาการที่สำคัญ คือ อ่อนแรง ซึ่งบางรายจะมีลักษณะอ่อนกำลังของกล้ามและปวดกล้าม มีลักษณะอาการเคลิ้ม หรือมีอารมณ์ไม่แจ่มใส ขาดสมาธิ รำคาญ หาวมากมายไม่ดีเหมือนปกติรับประทานอาหารได้น้อย ปัสสาวะมากหรืออยากดื่มน้ำ อาการพวกนี้จะเป็นอยู่นาน 1 ชั่วโมง ถึง 4 วัน โดยเฉลี่ยโดยประมาณ 2 วัน


เว้นแต่โรคไมเกรนแล้ว โรคปวดศีรษะยังมีอีกหลายหมวดหมู่ อาทิเช่น โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นมาจากความตึงเครียด (tension headache) โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (cluster headache) และ โรคปวดศีรษะเนื่องจากว่ามีแรงกดดันในสมองสูง(increase intracranial pressure) ฯลฯ ซึ่งโรคพวกนี้นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการปวดศีรษะเพียงแต่ฝ่ายเดียวได้
ซึ่งโรคปวดหัวที่อาจจะส่งผลให้หลงผิดมีความรู้สึกว่าเป็นไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะที่เกิดจากความเคร่งเครียด ซึ่งเป็นสภาวะที่มักพบโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน มีความไม่สบายใจและเครียดตลอดระยะเวลา จำเป็นต้องปฏิบัติงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันวันละหลายๆชั่วโมง ทำให้กล้ามบริเวณบ่าและก็แขนมีการเกร็งตึง เป็นเหตุให้เกิดอาการปวดตึงบริเวณท้ายทอย ร้าวขึ้นไปที่ขมับข้างที่มีการตึงของกล้าม หรือกำเนิดอาการปวดรอบหัวคล้ายถูกรัด ซึ่งหากมีอาการไม่มากมาย เมื่อพัก นวดเพื่อคลายกล้ามที่เกร็งรวมทั้งตึง อาการจะหายไปเอง แม้กระนั้นในรายที่มีอาการหนักบางทีอาจปวดตลอด อย่างไรก็ตาม โรคปวดหัวที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดจะไม่เกิดร่วมกับอาการอ้วก คลื่นไส้ ตาฝ้า หรือเห็นแสงสี
โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ก็มีลักษณะปวดศีรษะฝ่ายเดียวได้เช่นกัน แม้กระนั้นจะปวดรุนแรง ปวดบ่อยครั้ง มักปวดรอบตาและขมับ มีตาแดง น้ำตาไหล และก็คัดจมูกในด้านเดียวกัน จะไม่มีคลื่นใส้อ้วก ส่วนโรคปวดหัวที่เกิดเนื่องจากมีแรงดันในสมองสูงนั้น มีต้นเหตุที่เกิดจากมีสิ่งผิดปกติในสมอง ได้แก่ มีเนื้อมึนอกในสมอง เลือดออกในสมอง น้ำคั่งในสมอง เป็นต้น ซึ่งจำต้องปรับปรุงแก้ไขที่มูลเหตุ
ด้วยเหตุดังกล่าวก่อนจะสรุปว่าเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน ควรจะไปพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์ให้เด่นชัดก่อน ไม่ควรคิดเอาเองว่ามีลักษณะปวดหัวฝ่ายเดียว มีความหมายว่าเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนแน่ๆแล้วไปหาซื้อยาแก้ไมเกรนมารับประทาน เพราะ การกินยาไมเกรนไม่ถูกจะต้องมีอันตรายอย่างยิ่ง
วิธีการรักษาโรคไมเกรน แนวทางการวิเคราะห์ไมเกรนใช้หลักเกณฑ์ของ International Headche Society (IHS) ซึ่งแยกประเภทออกเป็น 2 กรุ๊ป เช่น
ซึ่งปัจจุบันนี้แพทย์มักจะวินิจฉัยจากอาการชี้แจงของผู้เจ็บป่วย เช่น อาการปวดตุบๆที่ขมับ รวมทั้งคลำได้เส้น (หลอดเลือด) ที่ขมับ เป็นๆหายๆเป็นบางครั้งบางคราว รวมทั้งมีเหตุกำเริบแจ่มกระจ่าง โดยที่ตรวจร่างกายด้านอื่นๆ ให้ถี่ถ้วนแล้วไม่เจอสิ่งผิดปกติที่จะทำให้มีการเกิดลักษณะของการปวดหัว
ด้วยเหตุดังกล่าว  การที่จะรู้ว่าอาการปวดศีรษะนั้นมีต้นเหตุที่เกิดจากโรคไมเกรนแพทย์จำเป็นต้องกระทำวิเคราะห์จากลักษณะจำเพาะของลักษณะของการปวดศีรษะ  อาการที่เกิดร่วมด้วย และก็ผลของการตรวจร่างกายระบบต่างๆแล้วก็รูปแบบการทำงานของสมองที่ปกติ  แต่อย่างไรก็แล้วแต่ โรคไมเกรนบางชนิดก็อาจส่งผลให้สมองดำเนินการไม่ปกติไปชั่วครั้งคราวในขณะที่เกิดลักษณะของการปวดขึ้นได้ หมอจะต้องทำวินิจฉัยแยกโรคให้ได้ โดยมีหลักสำหรับการวินิจฉัย จากลักษณะจำเพาะเป็น

  • ลักษณะต่างๆของลักษณะของการปวด : ตำแหน่ง ความร้ายแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
  • อาการที่เกิดร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น อาเจียน มึนหัว
  • ความผิดแปลกของลักษณะการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่างๆที่อาจส่งผลให้เกิดลักษณะของการปวด ได้แก่ ความคิดอ่านเฉื่อยชา มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนกำลัง ต้นเหตุกระตุ้นอาการปวด เช่น ความเครียด แสงจ้าๆของกินบางประเภท
  • ปัจจัยดีขึ้นกว่าเดิมอาการปวด ได้แก่ การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ ยา


ในบางรายแพทย์อาจแนะนำการตรวจอื่นๆเพื่อจำกัดวงของปัจจัยที่ทำให้เกิดลักษณะของการปวด โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่มีอาการมากไม่ดีเหมือนปกติ อาการซับซ้อน หรือมีลักษณะอาการที่ร้ายแรงฉับพลัน ได้แก่

  • การตรวจเลือด หมอบางทีอาจให้มีการตรวจเลือดด้วยเหตุว่าอาจมีการติดเชื้อที่เส้นประสาทไขสันหลัง หรือสมอง และก็เกิดพิษในระบบร่างกายของคนเจ็บ
  • การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) แพทย์จะให้มีการตรวจวิธีการแบบนี้แม้สงสัยว่าคนป่วยมีการติดโรค มีเลือดออกในสมอง
  • การใช้งานเครื่อง CT scan (Computerized Tomography) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบปกติ เป็นการหาความแตกต่างจากปกติต่างๆในร่างกาย โดยทำให้เห็นภาพของสมอง ให้หมอสามารถวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆได้มากขึ้น
  • การใช้งานเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นครื่องตรวจร่างกายโดยการผลิตภาพเสมือนจริงของอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย โดยอาศัยหลักการของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยเนื้องอก การอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ดูอาการการเลือดออกในสมอง การต่อว่าดเชื้อ และก็ภาวะอื่นๆในสมองและระบบประสาท


การดูแลและรักษาคนป่วยเป็นโรคไมเกรน    วิธีการรักษาคนเจ็บที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญอาทิเช่น การบรรเทาลักษณะของการปวดศีรษะ   และการป้องกันไม่ให้กำเนิดหรือลดความถี่ ความร้ายแรงของอาการปวดศีรษะ  เมื่อตรวจเจอว่าเป็นไมเกรน หมอจะเสนอแนะข้อบังคับตัวต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลีกเลี่ยงเหตุกำเริบ และก็จะให้ยารักษาดังต่อไปนี้

  • ความเคลื่อนไหววิถีการดำนงชีพ เช่น การหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นต่างๆดังเช่น การนอนน้อยเกินไป หรือการนอนมากเกินความจำเป็น ความตึงเครียดการเช็ดกแดดมากจนเกินไป การได้รับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น กาแฟ ชอคโกแลต ฯลฯ อาจก่อให้เกิดอาการปวดหัวได้ ส่วนมากสาเหตุกระตุ้นกลุ่มนี้มักเกิดด้วยกันหลายๆอย่าง และก็บางคราวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ การออกกำลังกายที่เป็นประจำเป็นทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับคนที่ไม่สามารถเลี่ยงต้นสายปลายเหตุต่างๆเหล่านี้ได้
  • การใช้ยารักษา การใช้ยารักษาควรจะใช้เวลาที่เกิดความจำเป็นยาสุดที่รักษาเพียงพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
ยาสำหรับเพื่อการรักษาลักษณะของการปวดไมเกรนแบบกระทันหัน  อย่างเช่น

  • ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) อย่างเช่น ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) อย่างเช่น Ibuprofen, Naproxen sodium, Paracetamol, Aspirin เป็นต้น
  • กลไกการออกฤทธิ์ : ยับยั้งเอมไซม์ cyclooxygenase (COX) ทำให้ไม่สามารถสร้างสาร prostaglandins จึงลดอาการอักเสบได้
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาลักษณะของการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง
  • ขนาดยาที่ใช้
  • Ibuprofen รับประทานทีละ 200-600 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 3.2 กรัมต่อวัน
  • Naproxen sodium กินทีละ 275-550 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 1.65 กรัมต่อวัน
  • Paracetamol รับประทานทีละ 500-1000 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน
  • Aspirin รับประทานทีละ 650-1300 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน
  • อาการใกล้กัน: แผลในกระเพาะอาหาร
  • Ergot alkaloid ดังเช่น ergotamine+caffeine tablet (Cafergot?)
  • กลไกการออกฤทธิ์: nonselective 5-HT receptor agonists โดยผลที่ต้องการเป็นทำให้เส้นโลหิตที่สมองหดตัว
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาลักษณะของการปวดรุนแรง โดยเป็นยา first line สำหรับรักษาลักษณะของการปวดศีรษะไมเกรนกระทันหัน
  • ขนาดยาที่ใช้: Cafergot? (ergotamine 1 มก. รวมทั้ง caffeine 100 มิลลิกรัม) กินทีแรก 2 มิลลิกรัม ซ้ำได้ทุก 30 นาที ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 6 เม็ดต่อวันหรือ 10 เม็ดต่ออาทิตย์
  • อาการข้างๆ: อาเจียน คลื่นไส้
  • Triptans เช่น Sumatriptan, Naratriptan
  • กลไกการออกฤทธิ์: selective 5-HT receptor agonists โดยทำให้หลอดเลือดที่สมองหดตัวแต่เนื่องจากว่าเป็น selective ก็เลยไม่ได้ไปกระตุ้น receptor อื่นที่ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ คลื่นไส้ ราวกับใน ergot alkaloid นำมาซึ่งการทำให้ไม่เกิดอาการอาเจียน อาเจียน
  • ข้อบ่งใช้: บรรเทาอาการปวดร้ายแรงรวมทั้งทันควันรวมทั้งอาการที่ซุกซนต่อยาแก้ปวดขนานอื่นๆโดยจัดเป็นยา first line สำหรับรักษาอาการปวดหัว ไมเกรนเฉียบพลัน
  • ปริมาณยาที่ใช้:
  • Sumatriptan รับประทานทีละ 25-100 มก. และก็สามารถกินซ้ำในชั่วโมงที่ 2 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน
  • Naratriptan รับประทานทีละ 2.5 มก.รวมทั้งสามารถกินซ้ำในชั่วโมงที่ 4 ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อวัน
  • อาการข้างๆ: อาการแน่นหน้าอก, ใบหน้าร้อนแดง, อ้วกคลื่นไส้
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไมเกรน[/url]  เป็น[/color]

  • พันธุกรรม ราว 70% ของคนไข้จะมีประวัติเครือญาติสายตรงเป็นโรคปวดหัวไมเกรน และก็ถ้าหากมีญาติที่เป็นโรคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแบบมีลักษณะอาการนำประเภทออรา (Aura คือ อาการที่เกี่ยวกับความรู้สึก เป็นต้นว่า มองเห็นแสงวาบ มองเห็นจุดดำๆหรือรู้สึกซ่าในบริเวณใบหน้ารวมทั้งมือ) โอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีราวๆ 4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วไป โดยส่วนใหญ่ยังไม่เคยทราบว่ามีการถ่ายทอดผ่านยีน ตัวไหนชัดเจน แต่ว่าพบว่าบางทีอาจสามารถถ่าย ทอดผ่านทางจีนจากแม่สู่ลูกได้


แม้กระนั้น บางประเภทของโรคปวดศีรษะไมเกรน ทราบตำแหน่งยีนที่แตกต่างจากปกติแจ่มแจ้งหมายถึงโรคไมเกรนจำพวกมีอัมพาตครึ่งส่วนร่วมด้วย (Familial hemiplegic migraine) มีต้นเหตุที่เกิดจากมีความผิด ปกติที่บางตำแหน่งบนหน่วยพันธุกรรม (โครโมโซม/chromosome) คู่ที่ 1 หรือ 19 ซึ่งถ่าย ทอดทางพันธุกรรมได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะปวดศีรษะแบบมีลักษณะอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งส่วนชั่วช้า คราวร่วมด้วย

  • การเป็นโรคบางประเภท บุคคลที่มีโรคอะไรบางอย่างจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น โรคลมชักบางจำพวก โรคไขมันในเลือดสูงแบบที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคหืด คนที่มีผนังกั้น ห้องหัวใจห้องบนรั่ว โรคซึมเซา ไม่สบายใจ รวมทั้งโรคพันธุกรรมอีกหลากหลายประเภท


การติดต่อของโรคไมเกรน  โรคไมเกรนเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากความผิดปกติของระดับสารเคมีในสมอง รวมทั้งการสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานผิดปกติของเส้นโลหิตสมอง ซึ่
บันทึกการเข้า