รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคโรคลมชัก (Epilepsy) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 520 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคลมชัก (Epilepsy)
[url=http://www.disthai.com/16865685/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81-epilepsy]โรคลมชัก[/url]เป็นยังไง โรคลมชัก หรือ โรคลมหวน มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ:  หมายถึง ยึด ครอง หรือ ทำให้ป่วยหนัก โดยเป็นกลุ่มโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันมีต้นเหตุที่เกิดจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากเกินความจำเป็นของเซลล์ประสาท ดังนั้นโรคลมชัก ก็คือโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากความไม่ปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งปฏิบัติภารกิจสำหรับในการควบคุมรูปแบบการทำงานของร่างกาย จนกระทั่งนำไปสู่อาการชัก
                โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบมาก ในรายงานการศึกษาเล่าเรียนโดย World Health Organization (WHO) และ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาด้านสุขภาพ พบว่าร้อยละ 72.5 ของประเทศพวกนี้ระบุว่าโรคลมชักพบบ่อยเป็นอันดับสองรองจากโรคปวดศีรษะ ตอนที่โรคเส้นเลือดสมองเป็นชั้นสามเป็น ร้อยละ 62.7 ประมาณว่าทั่วโลกน่าจะมีผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะพอๆกับจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนคนที่เป็นโรคลมชักทุกอายุ รวมทั้งในทุกๆปี คงจะมีคนที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่เป็นโรคลมชัก ราวๆ 3.5 ล้านคน ซึ่งจำนวนร้อยละ 40 จะเป็นผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และกว่าจำนวนร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังปรับปรุง
                ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงเป็นตอนทารกแรกเกิดและก็เด็กเล็ก มูลเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคลมชักในตอนวัยแรกเกิดชอบเป็นพยาธิภาวะที่เกิดในช่วงการคลอดตัวอย่างเช่นผลของการขาดออกสิเจน การตำหนิดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนแก่เป็นช่วงที่มีโอกาสกำเนิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในขณะนี้น่าจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยชราเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ในตอนวัยทารกลดน้อยลงเนื่องจากความรู้ความเข้าใจทางการแพทย์สำหรับการดูแลผู้เจ็บป่วยดีขึ้น ปัญหาด้านสุขภาพต่างจากเดิม การติดเชื้อที่ระบบประสาทที่บางครั้งก็อาจจะเป็นต้นเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มต่ำลงจากการที่มีวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคเส้นเลือดสมองซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาความประพฤติในการทานอาหารไม่เหมาะสมมากขึ้น ฯลฯ สำหรับประเทศที่กำลังปรับปรุงความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก เนื่องมาจากปัญหาสุขอนามัยโรคติดเชื้อ ความสามารถสำหรับเพื่อการรักษาคนป่วยยังจำกัด มีการคาดการณ์ว่าคนประเทศไทยทั่วราชอาณาจักร เป็นโรคลมชักราวๆ 450,000 คน แล้วก็สามัญชนโดยทั่วไปยังมีความรู้ต่อโรคลมชักไม่มาก
                ทั้งนี้ ผู้เจ็บป่วยโรคลมชัก หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังตลอดมาตลอดตั้งแต่ทีแรกเกิดอาการ ผู้เจ็บป่วยจะสามารถดำรงชีวิตเป็นต้นว่าคนปกติ เรียนหนังสือ ปฏิบัติงาน เล่นกีฬา ออกสังคม และสามารถแต่งงานได้ แม้กระนั้นถ้าไม่มีความเอาใจใส่ไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง ปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจจะส่งผลให้โรคสมองเสื่อม บางรายบางทีอาจพิการหรือตายเพราะว่าอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างชัก อาทิเช่น จมน้ำ ขับรถชน ตกจากที่สูง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นต้น
ต้นเหตุของโรคลมชัก
โรคลมชักจำนวนมากเกิดขึ้นโดยตรวจไม่พบต้นสายปลายเหตุกระจ่าง (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) เชื่อว่ามีความ พร่องของสารเคมีบางสิ่งสำหรับเพื่อการควบคุมไฟฟ้าในสมอง (โดยที่ส่วนประกอบของสมองปกติดี) ทำให้วิธีการทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยไฟฟ้าอย่างไม่ปกติของเซลล์สมอง กระตุ้นให้เกิดอาการชัก และสลบชั่วประเดี๋ยว ผู้เจ็บป่วยกลุ่มนี้มักจะมีอาการคราวแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี แล้วก็อาจมีประวัติความเป็นมาว่ามีพ่อแม่หรือญาติเป็นโรคนี้ด้วย  แล้วก็มีส่วนน้อยซึ่งสามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ (Symptomatic หรือ Secondary  Epilepsy)  อาจเกิดจากความแตกต่างจากปกติของโครงสร้างสมอง เป็นต้นว่า สมองพิการแต่กำเนิด สมองได้รับกระเทือนระหว่างคลอด สมองทุพพลภาพภายหลังการติดเชื้อ แผลเป็นในสมองข้างหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี) ภาวการณ์น้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษเหล้า สิ่งเสพติด (ดังเช่น การเสพยาม้าเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางจำพวกที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบได้บ่อยในมีอายุ 25 ปีขึ้นไป)
ทั้งนี้ อาการในคนไข้โรคลมชักบางทีอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการ แม้กระนั้นก็มีในบางครั้งบางคราว หรือการใช้สารบางสิ่งที่ส่งผลให้เกิดอาการชักได้ ตัวอย่างเช่น ความเคร่งเครียด การพักผ่อนหย่อนใจน้อยเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางชนิดหรือกการใช้ยาเสพติด ภาวะมีประจำเดือนของเพศหญิง นอกเหนือจากนี้ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งแต่ว่าเป็นปริมาณน้อยที่สามารถเกิดอาการชักได้ถ้าเห็นแสงแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดจากปัจจัยนี้เรียกว่า โรคลมชักที่คนเจ็บไวต่อแสงสว่างกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
อาการของผู้เจ็บป่วยลมชัก โรคลมชัก แตกต่างจากการชักจากโรคอื่นๆคือ อาการชักจากโรคลมชัก ควรจะมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งดังนี้ ในความเป็นจริงแล้ว โรคลมชักเอง มีอาการชักได้ 3 รูปแบบ ดังเช่นว่า
1.อาการชักที่ส่งผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองทั้งยัง 2 ส่วน แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อยๆคือ
   อาการชักแบบเหม่อ (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่โดดเด่นเป็นการใจลอย หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงนิดหน่อย เป็นต้นว่า การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักประเภทนี้อาจเป็นสาเหตุนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้นๆได้
   อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่ส่งผลให้เกิดอาการเกร็งของกล้าม โดยมักจะเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณข้างหลัง แขนแล้วก็ขา กระทั่งทำให้คนเจ็บล้มลงได้
             อาการชักแบบกล้ามเมื่อยล้า (Atonic Seizures) อาการชักที่ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าลง คนป่วยที่มีลักษณะชักชนิดนี้จะไม่สามารถที่จะควบคุมกล้ามเนื้อขณะกำเนิดอาการได้ จนถึงทำให้คนไข้ล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างเฉียบพลัน
   อาการชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามที่เปลี่ยนไปจากปกติ โดยอาจก่อให้มีการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามบริเวณคอ ใบหน้า และแขน
             อาการชักแบบชักกระตุกและก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ส่งผลต่อกล้ามในร่างกายทุกส่วน นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการกล้ามเกร็งรวมทั้งกระตุก มีผลทำให้ผู้ป่วยล้มลง และก็สลบ บางรายบางทีอาจร้องไห้ตอนที่ชักด้วย รวมทั้งภายหลังอาการทุเลาลง ผู้เจ็บป่วยอาจรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากอาการชัก
   อาการชักแบบชักตกใจ (Myoclonic Seizures) อาการชักจำพวกนี้มักเกิดขึ้นแบบกะทันหัน โดยจะเกิดอาการชักของแขนและขาคล้ายกับการโดนไฟฟ้าช็อต ส่วนใหญ่ชอบเกิดหลังจากตื่น บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกรุ๊ปเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักประเภทนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแค่นั้น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักชนิดนี้ ในช่วงเวลาที่กำเนิดอาการ คนเจ็บจะยังคงมีสติครบบริบรูณ์ โดยคนไข้อาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆภายในท้อง บ้างก็อาจรู้สึกราวกับมีลักษณะอาการเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกดุจว่าเคยพบเห็นหรือเกิดเหตุการณ์ที่เจออยู่มาก่อน ทั้งที่ไม่เคย บางทีอาจกำเนิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวอย่างกะทันหัน รวมทั้งได้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขนและก็ขา หรือมีลักษณะชักกระตุกที่แขนและมือ ฯลฯ ทั้งนี้ อาการชักดังที่กล่าวถึงมาแล้วบางทีอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักประเภทอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เจ็บป่วยและก็คนรอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
    อาการชักแบบไม่ทันรู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่คนป่วยอาจไม่รู้ตัวและไม่สามารถจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในเวลาที่เกิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักจำพวกนี้ไม่อาจจะคาดคะเนได้โดยอาจมีอาการเป็นต้นว่า ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปรอบๆจับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในท่าทางแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนบางอย่าง นอกเหนือจากนั้น ในขณะที่เกิดอาการ คนป่วยจะไม่อาจจะรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายได้เลย
3.อาการชักตลอด (Status Epilepticus) อาการชักจำพวกนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักต่อเนื่องที่ผู้ป่วยไม่สามารถได้สติในขณะที่ชัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการดูแลและรักษาโดยด่วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทั้งนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกประเภทเป็น การที่ผู้เจ็บป่วยมีอาการไม่ปกติทางระบบประสาทดังที่กล่าวมาแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่ว่าอาการเหล่านั้นจะเกิดบ่อยๆรวมทั้งอาการเปลี่ยนไปจากปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ก่อนจะชัก บางคนอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน ตัวอย่างเช่น หงุดหงิด เครียด ซึมเซา เวียนศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก ฯลฯ และก่อนที่จะหมดสติเพียงแค่ไม่กี่วินาที คนไข้อาจมีอาการเตือน ดังเช่นว่า ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีอาการชะตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุๆก เป็นต้น ถ้าเกิดไม่ได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบเสิบสานซ้ำได้ปีละบ่อยมาก โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งกระตุ้น (มองหัวข้อ “การรักษาตนเอง”) ผู้ป่วยจะไม่มีลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะของการเกิดอาการดังที่กล่าวมาข้างต้นค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ของโรคลมชัก ถ้าหากเคยเห็นเพียงครั้งเดียวก็จะคิดออกตลอดไป
ส่วนอาการชักซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคลมชัก มีต้นเหตุมีเหตุที่เกิดจากการที่กลุ่มของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในจำนวนสูงอย่างแตกต่างจากปกติ และก็สอดคล้องต้องกัน ผลสรุปทำให้มีการเกิดคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ โดยธรรมดาหลังจากเซลล์ประสาทที่ได้รับการกระตุ้น ดำเนินการหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะทนทานต่อการผลิตศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ต้นเหตุส่วนหนึ่งส่วนใดอาจสำเร็จของการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยับยั้ง ความเคลื่อนไหวไฟฟ้าภายในเซลล์ประสาทที่ได้รับการปลุกเร้า แล้วก็ผลกระทบของอะดีโนซีน
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคลมชัก

  • กินยาคุ้มครองโรคลมชักตามขนาดที่หมอสั่งบ่อยๆ อย่าให้หยุดยาเอง หรือกินๆหยุดๆจวบจนกระทั่งหมอจะพิจารณาให้หยุด ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 ปี
  • ไปตรวจกับหมอประจำตามนัดหมาย อย่าเปลี่ยนแปลงแพทย์เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น
  • หลบหลีกสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการชัก เป็นต้นว่า อย่าอดนอน หรือนอนไม่ตรงเวลา หรือพักไม่พอ  อย่าทำงานตรากตรำคร่ำคร่าเครียดหรืออ่อนล้าเหลือเกิน  อย่าอดอาหารหรือทานอาหารไม่เป็นเวลา  อย่าดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  อย่าเข้าไปในที่ๆมีเสียงอื้ออึง หรือมีแสงจ้า หรือแสงวอบแวบ  เมื่อเป็นไข้สูง จำเป็นต้องรีบรับประทานยาลดไข้และเช็ดตัวให้ไข้ลดลง ไม่งั้นอาจกระตุ้นให้ชักได้
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงอันตราย ดังเช่นว่า ว่าย ปีนขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ปฏิบัติงานกับเครื่องจักร ขับรถ ขับเรือ เดินข้ามถนนเพียงลำพัง ฯลฯ ด้วยเหตุว่าถ้าหากว่ากำเนิดอาการชักขึ้นมา อาจได้รับอันตรายได้
  • ควรเผยให้เพื่อนพ้องสถานที่สำหรับทำงานหรือที่โรงเรียนได้รู้ถึงโรคที่เป็น รวมถึงควรจะพกบัตรที่บันทึกเนื้อความเกี่ยวกับโรคที่เป็นและก็แนวทางดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้นเพื่อว่าเมื่อกำเนิดอาการชัก ผู้ที่พบเจอจะได้ไม่ตระหนกตกใจ และก็หาทางช่วยเหลือให้ไม่มีอันตรายได้
  • บริหารร่างกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะควรจะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังช่วยลดอาการภาวะหม่นหมองได้ แต่ก็ควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอ และควรจะพักถ้ารู้สึกเหนื่อย
  • คุ้มครองปกป้องการเจ็บที่สมอง ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
  • ขับขี่รถอย่างปลอดภัย ใช้เครื่องมือปกป้อง คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกกันน็อก ถ้าเกิดผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กๆควรจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อให้มีความปลอดภัย
  • เดินให้ถี่ถ้วน เพื่อป้องกันการหกล้ม โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กรวมทั้งคนวัยชราที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะพลัดหล่นหกล้มได้ง่าย ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรจะมีคนรอดูแลอยู่เสมอ

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคลมชัก แม้ว่าการกำเนิดโรคลมชักในหลายกรณีนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายต้นสายปลายเหตุแล้วก็จะไม่สามารถที่จะคุ้มครองป้องกันได้ แต่ว่าความอุตสาหะที่จะลดการบาดเจ็บแถวๆศีรษะ การดูแลเด็กแบเบาะที่ดีในระยะเวลาหลังคลอด บางทีอาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีต้นสายปลายเหตุ)ได้ รวมทั้งเมื่อมีอาการชักเกิดขึ้นแล้ว ควรจะหาทางปกป้องไม่ให้อาการเกิดขึ้นอีกขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่แพทย์เสนอแนะ แล้วก็คนไข้ต้องหลบหลีกต้นเหตุที่กระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีก
ดังนี้ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้คุ้มครองการเกิดโรคลมชักได้ผลลัพธ์ที่ดี 100% แล้วก็หมอไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองป้องกันการชัก แพทย์จะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีอาการชักเกิด ขึ้นแล้ว เพื่อคุ้มครอง/ลดจังหวะเกิดการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคลมชัก ขณะนี้ยังมิได้รับแถลงการณ์ว่าสมุนไพรชนิดไหนซึ่งสามารถคุ้มครอง/รักษาโรคลมชักได้แต่ว่ามีการนำสมุนไพรของไทยไปทำการวิจัยแล้วก็ทดสอบในสัตว์ทดสอบและก็ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจแต่ว่ายังไม่ได้มีการนำไปทดสอบในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรพวกนี้ อย่างเช่น

  • พริกไทยดำ ชื่อด้านวิทยาศาสตร์ piper nigrum Linn. อยู่ในสกุล Piperraceae เมื่อเร็วๆนี้มีกล่าวว่าสารสกัดพริกไทยดำมีฤทธิ์ยั้งการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษามะเร็ง ต้านโรคลมชัก โดยต้านการกระตุ้นสมองของสารสื่อประสาทกลุ่มกลูตาเมตผ่านตัวรับจำพวก NMDA ซึ่งฤทธิ์โต้ลมชักนี้จะสอดคล้องกับคุณประโยชน์ของพริกไทยดำที่มีการกล่าวอ้างไว้ทั้งยังในตำราหมอแผนไทยรวมทั้งหมอแผนจีน นอกจากนี้ยังมีแถลงการณ์ว่าหนูอ้วนที่ถูกรั้งนำด้วยการให้กินอาหารที่มีไขมันสูงที่ได้รับพริกไทยดำจะหรูหราความตึงเครียดขบวนการออกซิเดชัน (oxidation stress) น้อยกล่ากรุ๊ปที่ไม่ได้รับพริกไทยดำ
  • พรมไม่ มีชื่อสามัญว่า Thyme-leaf Gratiola และก็ชื่ออังกฤษว่า Dwarf bacopa มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bacopa monnieri Wettst อยู่ในสกุล Scrophulariaceae ในประพรมมิมีสารสำคัญในกลุ่มแอลค้างลอยด์ ได้แก่ บราไม่น (brahmine), นิโคติน และสารกรุ๊ปซาโปนิน มีคุณลักษณะช่วยสำหรับในการศึกษาแล้วก็จำ ช่วยลดอาการตื่นตระหนก ลดอาการหม่นหมอง รวมทั้งต้านทานอาการชัก ซึ่งมีการทดลองที่สำคัญ ได้ดังนี้
  • ฤทธิ์ต่อต้านอาการชัก (Anticonvulsive action)การแพทย์แผนไทย มีการนำประพรมไม่มาใช้เป็นสมุนไพรแก้ลมเหียน ซึ่งในขณะนี้ มีการนำประพรมไม่มาทดสอบในสัตว์ทดสอบ (หนูถีบจักร) พบว่า สารสกัดน้ำจากพรมมิขนาด 1-30 กรัม/โล (น้ำหนักตัว) สามารถควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ได้อย่างดีเยี่ยมโดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทศูนย์กลาง
เอกสารอ้างอิง

  • Magiorkinis E, Kalliopi S, Diamantis A (January 2010). "Hallmarks in the history of epilepsy: epilepsy in antiquity". Epilepsy & behavior : E&B 17 (1): 103– PMID 19963440. doi:10.1016/j.yebeh.2009.10.023.
  • รศ.นพ.อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์ . อาการชัก และโรคลมชัก. บทความประกอบการบรรยายในการประชุมวิชาการ วิทยาการก้าวหน้าทางการพยาบาลเด็ก.2555
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคลมชัก-ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่166.คอลัมน์แนะยา-แจงโรค.กุมภาพันธ์ 2536
  • Liu Y, Yadev VR, Aggarwal BB, Nair MG. Inhibitory effects of black pepper (Piper nigrum) extracts and compounds on human tumor cell proliferation, cyclooxygenase enzymes, lipid peroxidation and nuclear transcription factor-kappa-B. Nat Prod Commun. 2010 ;5(8):1253-7
  • โรคลมชัก.ความหมาย,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • ชาญชัย สาดแสงจันทร์.พรมมิ สมุนไพรที่คนแก่ต้องกิน.วารสารธรรมศาสตร์เวชสาร.ปีที่13.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม.2556
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่363.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2553
  • Hi RA, Davies JW. Effects of Piper nigrum L. on epileptiform activity in cortical wedges prepared from DBA/2 mice. Brother Res 1997; 11(3): 222-225
  • Hammer, edited by Stephen J. McPhee, Gary D. (2010). "7". Pathophysiology of disease : an introduction to clinical medicine (6th ed. ed.). New York: McGraw-Hill Medical. ISBN 978-0-07-162167-0.
  • Nisha P, Singhal RS, Pandit AB. The degradation kinetics of flavor in black pepper (Piper nigrum L.).Journal of Food Engineering 2009; 92: 44-49.
  • Chang BS, Lowenstein DH (2003). "Epilepsy". N. Engl. J. Med. 349 (13): 1257–66. PMID 14507951. doi:10.1056/NEJMra022308.



Tags : โรคลมชัก
บันทึกการเข้า