รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 498 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง[/url][/u],โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)

  • โรค SLE เป็นยังไง โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวง คือ โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disease) ชนิดหนึ่ง มีต้นเหตุจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันขัดขวาง หรืออิมมูน (Immune) แตกต่างจากปกติ โดยจะต้านทานเยื่อเกี่ยวพันของเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ ได้ผลสำเร็จให้มีการอักเสบเรื้อรัง (ชนิดไม่ใช่จากการตำหนิดเชื้อ) ของเนื้อเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อยครั้งอย่างเช่น ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะเหนือกว่าเนื่องจนถึงเป็น โรคเรื้อรังประเภทหนึ่ง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อจริงในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกง่ายๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกรุ๊ปโรคภูมิต้านทานบ้า มีต้นเหตุมาจากการที่ร่างกายผู้ป่วยผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินธรรมดา ก่อปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม เช่น จากธรรมดาภูมิต้านทานภายในร่างกายจะต้านทานเชื้อโรคแล้วก็สิ่งเจือปน อาทิเช่น แบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสจากข้างนอกร่างกาย กลับต่อต้านร่างกายของตัวเอง จนถึงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆและเกิดเป็นโรค SLE สุดท้าย
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน แสดงว่า หมาป่า ซึ่งคาดการณ์ว่า มาจากการที่ผื่นที่ใบหน้าที่เกิดขึ้นมาจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งคล้ายลักษณะขนบนใบหน้าของหมาป่า หรือคล้ายถูกหมาป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่หญิงฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปกปิดบริเวณใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/หมาป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune disease) ที่พบบ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (ร้อยละ 90) โดยพบได้มากในผู้หญิงอายุตอน 20-30 ปี พบในผู้หญิงเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยครั้งที่สุด รองลงไปตามลำดับเป็นสตรีเอเชีย แล้วก็สตรีผิวขาว

  • ต้นเหตุของโรค SLE พยาธิกำเนิดยังไม่เคยทราบชัดเจน แต่ว่าสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีการสนองตอบอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีบางสิ่ง ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเนื้อเยื่อต่างๆจึงจัดเป็นโรคภูเขาไม่ต่อต้านตนเอง (autoimmune) ชนิดหนึ่ง บางทีอาจเจอต้นสายปลายเหตุที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ ตัวอย่างเช่น ยาบางประเภท (ยกตัวอย่างเช่น ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราสิล) การเช็ดกแดด การกระทบสะเทือนทางด้านจิตใจ ภาวการณ์มีครรภ์ เป็นต้น


นอกจากนี้  ยังคาดการณ์ว่า บางทีอาจเกี่ยวกับฮอร์โมนผู้หญิง (เนื่องจากว่าพบบ่อยในหญิงวัยหลังมีเมนส์รวมทั้งก่อนวัยหมดระดูและพบได้มากกว่าเพศ 7-10 เท่า)   รวมทั้งกรรมพันธุ์ (พบได้มากในผู้ที่มีพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากมีความผิดธรรมดาของระบบภูมิคุ้มกัน เกิดภาวะภูเขาไม่ไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวประเภท T แล้วก็ B lymphocyte นำไปสู่การสร้าง autoantibodies ต้านทานเยื่อของตนรวมทั้งเกิด immune complex ลอยละล่องไปตามกระแสเลือดไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกจากยังมีความผิดธรรมดาของการกาจัด immune complex เป็นสาเหตุของการเกิดการอักเสบของอวัยวะแล้วก็เส้นโลหิตนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการเกิดพยาธิภาวะในหลายอวัยวะ

  • อาการโรค SLE โรคนี้พบได้บ่อยในวัยเอ๊าะๆ อายุ 15-40 ปี เพศหญิงมากกว่าเพศชาย อาการแล้วก็อาการแสดงอาจต่างกันได้มาก ผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยได้แก่ มีไข้ อ่อนแรง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามบริเวณใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมตก มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีดเซียว ติดเชื้อง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ นิ้วซีดเซียวเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม ฉี่ไม่ดีเหมือนปกติ มีความผิดปกติทางไต เหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ และก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีลักษณะเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการกลุ่มนี้เกิดขึ้นพร้อมเพียงกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งครั้งละระบบ


ซึ่งจะมีลักษณะอาการที่เกิดสังกัดอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนไข้มักมีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้า รอบๆดั้ง รวมทั้งโหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปเหมือนผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามบริเวณใบหน้า หนังหัว หรือบริเวณใบหู มีแผลในปาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณเพดานปาก นอกนั้นยังมีผมหล่นมากขึ้น
อาการทางข้อรวมทั้งกล้ามเนื้อ คนป่วยส่วนมากจะมีอาการปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อหัวเข่า หรือข้อเท้า ครั้งคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต คนเจ็บมักมีอาการบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เนื่องมาจากมีลักษณะอักเสบที่ไต รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันโลหิตสูงขึ้น เยี่ยวออกลดลง ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด คนเจ็บอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีลักษณะอ่อนเพลีย มีภาวการณ์ติดเชื้อโรคง่าย หรือมีจุดเลือดออกเรียกตัวได้
อาการทางระบบประสาท คนเจ็บบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีลักษณะพล่ามไม่รู้เรื่อง หรือเหมือนคนโรคทางจิตจำพี่น้องไม่ได้ เนื่องจากว่ามีการอักเสบของสมองหรือเส้นเลือดในสมอง
นอกนั้น ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย ดังเช่น จับไข้ อ่อนแรง ไม่อยากกินอาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ จิตใจหมดกำลังใจ ร่วมได้ อาการของโรคมักจะแสดงความร้ายแรงมากหรือน้อยภายในช่วงเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีลักษณะอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อยๆแต่อาจมีอาการเกิดขึ้นอีกร้ายแรงได้เป็นครั้งๆ  ในตอนนี้โรคเอสแอลอียังมีแนวทางที่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ แม้กระนั้นสามารถควบคุมอาการโรคให้สงบ และดำเนินชีวิตได้ตามปกติแม้รักษาได้ทันเวลา

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค SLE
  • เพศ เนื่องจากว่าพบโรคได้สูงในสตรี ซึ่งพบมากกว่าผู้ชายถึง 7 เท่า
  • การตำหนิดเชื้อบางจำพวกทั้งจากแบคทีเรีย แล้วก็ไวรัส บางประเภท
  • การถูกแสงอาทิตย์จัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆและของกินบางชนิด
  • การสูบยาสูบ
  • ฮอร์โมนผู้หญิง (เพราะว่าโรคนี้เกิดในสตรีสูงกว่าในเพศชาย ถึงราว 7-10 เท่า) รวมทั้งการตั้งครรภ์
  • จากผลกระทบของยาบางชนิด ได้แก่ ยาคุ้มครองป้องกันการชัก ยาคุมกำเนิด และยาลดความอ้วนบางชนิด ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากยา หลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก รวมทั้ง การออกกำลังกายเกินไป
  • ชนิดกรรม โดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่ครอบครัวมีประวัติป่วยด้วยโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย)

  • จับไข้ต่ำๆไม่รู้มูลเหตุเป็นระยะเวลานาน
  • มีลักษณะอาการปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแดด
  • มีผมตกมากแตกต่างจากปกติ
  • มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • แนวทางอาการรักษาโรค SLE


การวินิจฉัยโรค เนื่องจากว่าโรค SLE มีความมากมายหลายในอาการแล้วก็อาการแสดงด้วยเหตุนี้ก็เลยมีการตั้งหลักเกณฑ์สำหรับในการวินิจฉัย ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจพบ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวินิจฉัย จำเป็นจะต้องอาศัยอาการทางสถานพยาบาลร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวิเคราะห์มักไม่คือปัญหาเนื่องจากว่าผู้ป่วยจำนวนมากจะมีอาการแจ่มแจ้ง อาทิเช่น เพศหญิงอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ อ่อนล้า เป็นไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แม้กระนั้นการวินิจฉัยจะมีความลำบากในผู้เจ็บป่วยบางครั้งอย่างเช่น ผู้ชาย, ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย ที่มีอาการแสดงเพียงแต่ระบบเดียวจำเป็นที่จะต้อง อาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการซึ่งตัวอย่างเช่น CBC, UA, CXR และ ANA ช่วยสำหรับในการวินิจฉัยแยกโรคจากโรคอื่น
ยิ่งไปกว่านี้หมอจะทำวิเคราะห์โดยอาศัยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆอีกเช่น ตรวจเลือด พบแอนติปรมาณูแฟกเตอร์ (antinuclear factor) รวมทั้งแอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจฉี่บางทีอาจพบสารไข่ขาวรวมทั้งเม็ดเลือดแดง  ยิ่งไปกว่านี้ บางทีอาจจำต้องกระทำตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจแล้วก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  เดี๋ยวนี้ยังไม่มียา หรือวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แต่เป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นตอนๆแล้วก็การดูแลรักษาประคับประคองตามอาการ   การดูแลและรักษาโรคเอสแอลอีจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวโรคของผู้เจ็บป่วย การกระทำตัวอย่างถูกต้องของผู้เจ็บป่วย  รวมทั้งการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้ที่ทำการดูแลและรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่รุนแรง (ดังเช่นว่า มีเพียงแค่ไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) หมออาจเริ่มให้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าเกิดไม่เป็นผลอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการกลุ่มนี้
ในรายที่เป็นร้ายแรง แพทย์จะให้สตีรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นสัปดาห์หรือยาวนานหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อแล้วก็ค่อยๆลดขนาดยาลง รวมทั้งให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยบางทีอาจนานเป็นนานเป็นปีๆหรือจนกว่าจะมีความคิดเห็นว่าไม่มีอันตราย ถ้าหากให้ยาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วไม่เป็นผล แพทย์จะให้ยากดภูมิคุ้มกัน ยกตัวอย่างเช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) เป็นต้น
ในรายที่มีอาการร้ายแรง เป็นต้นว่า บวม หายใจหอบ มีลักษณะอาการแตกต่างจากปกติทางสมอง เป็นต้น จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ กระทั่งจะปลอดภัย จึงให้ผู้เจ็บป่วยกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วก็นัดมาตรวจกับหมอเป็นช่วงๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากความเปลี่ยนไปจากปกติของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สร้างภูมิคุ้มกันต่อเยื่อของตัวเอง จึงก่อให้เกิดอาการต่างๆของโรค SLE จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แม้กระนั้นมีแถลงการณ์ว่าอาจเจอการถ่ายทอดทางด้านกรรมพันธุ์ได้)
  • การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรค SLE
  • คนเจ็บควรจะรู้ว่า โรคนี้มีความร้ายแรงไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีอาการนิดหน่อย แต่บางบุคคลอาจมีอาการรุนแรงได้ ถึงแม้ว่าคนไข้มีอาการนิดหน่อย ถ้าหากมิได้รับการดูแลและรักษา อาการบางทีอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้นได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะอาการกำเริบและก็สงบสลับกันไป ด้วยเหตุนี้ควรจะมารับการตรวจรักษาจากหมอโดยสม่ำเสมอ รับประทานยาตามสั่งโดยเข้มงวด ไม่สมควรหยุดยาหรือลดยาเอง เพราะว่าอาจทำให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เวลาป่วยหนักไม่ควรซื้อยากินเอง ควรพบแพทย์และก็บอกหมอเพราะว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการรักษาที่เหมาะสม และก็แพทย์จะได้หลบหลีกยาบางตัวที่อาจจะส่งผลให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เลี่ยงการสนิทสนมกับคนไข้ที่เป็นโรคติดเชื้อ ด้วยเหตุว่าคนไข้โรคเอสแอลอีบางทีอาจติดเชื้อได้ง่าย และโรคเอสแอลอีอาจกำเริบขึ้นได้
  • ถ้าเกิดมีลักษณะอาการที่บ่งถึงการต่อว่าดเชื้อ เช่น ไข้สูง ไอ
  • ควรตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ การทำฟัน ถอนฟัน ควรกินยาปฏิชีวนะก่อนและหลังทำ เพื่อคุ้มครองการติดเชื้อ ดังนี้ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของแพทย์
  • ถ้าเกิดมีอาการผิดปกติ ที่บางทีอาจบ่งว่าโรคกำเริบเสิบสาน ยกตัวอย่างเช่น ไข้ เหน็ดเหนื่อย ผมตก ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรมาเจอหมอก่อนนัดหมายได้
  • หลีกเลี่ยงแดด โดยเฉพาะระหว่าง 10.00-16.00 น. เนื่องด้วยแสงอาทิตย์จะก่อให้โรคกำเริบเสิบสานได้ คนไข้ที่แพ้แสงมาก ควรจะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าเกิดต้องออกไปถูกแดด
  • เลี่ยงภาวการณ์เครียดทั้งกายใจ
  • ควรพักให้พอเพียง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ไม่รับประทานของกินสุกๆดิบๆไหมสะอาด สถานที่แออัด เพราะว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อ
  • ถ้าหากโรคยังไม่สงบ ไม่สมควรมีครรภ์ เนื่องด้วยโรคบางทีอาจกำเริบเสิบสานขณะมีท้องได้ อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและเด็กแบเบาะ ยิ่งกว่านั้นยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคในคนไข้บางรายอาจมีผลต่อทารกในท้อง หากโรคสงบแล้ว สามารถตั้งครรภ์ได้แต่ควรปรึกษาหมอก่อน แล้วก็ขณะตั้งครรภ์ควรจะมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะครั้งคราวโรคอาจกำเริบเสิบสาน
  • การคุมกำเนิด ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด เพราะอาจจะเป็นผลให้โรคกำเริบ ในการใส่ห่วงคุมกำเนิดอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการตำหนิดเชื้อ ชี้แนะว่าให้ใช้ถุงยาง
  • คนไข้ที่ได้รับยาลดอาการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้าเกิดมีลักษณะปวดท้อง ควรแจ้งให้หมอรู้
  • ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงคุ้มครองกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE


พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.

บันทึกการเข้า