รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 504 ครั้ง)

กาลครั้งหนึ่ง2560

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 120
    • ดูรายละเอียด


โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

  • โรคไตเป็นยังไง "ไต" มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่ว ขนาดเท่าหมัด ๒ ข้าง อยู่ด้านหลังช่องท้องข้างละ ๑ อัน ไตทำหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย ผ่านทางฉี่ ข้างละราว 1 ล้านหน่วย แล้วก็ยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ รวมทั้งสมดุลกรด-ด่างภายในร่างกาย สร้างฮอร์โมน ดังเช่นว่า ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม และฟอสเฟต (คือ วิตามินดี นั่นเอง) และฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความเฉลี่ยวฉลาดของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราบางครั้งก็อาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง และยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามเดิม ด้วยเหตุว่าไตข้างที่เหลือจะดำเนินการแทนได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็หากไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับตัวไปได้เรื่อยก็ยังไม่เกิดอาการอะไรเช่นเดียวกัน จนเมื่อไตเสียไปมาก ปฏิบัติงานได้เพียงแค่โดยประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ จึงจะเกิดมีลักษณะอาการของโรคไต

    โรคไตเรื้อรังคือปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วๆไป มีผลต่อต่อพลเมืองทุกอายุ เชื้อชาติ แล้วก็ทุกสถานะทางด้านเศรษฐกิจ ความชุกแล้วก็อุบัติการณ์ของโรคที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง และโรคอ้วน ในอเมริกามีสามัญชนมากกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง และมีพลเมืองกว่า 20 ล้านคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง ด้วยเหตุว่าผู้ปั่นป่วนจะไม่มีอาการในระยะต้น อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการดำเนินการไปมากกว่าร้อยละ 70 – 80  โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่มีการเสื่อมแนวทางการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวบ่งชี้ว่าไตถูกทำลายจากความไม่ปกติของเลือดหรือฉี่หรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตต่ำลงน้อยกว่า 60 มิลลิลิตร/นาที/ผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร เป็นเวลา 3 เดือน หรือมากกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคส่วนมากมักจะทำให้ไตเสื่อมลงอย่างถาวร ไม่สมารถยนต์กลับมาปฏิบัติงานอย่างปกติได้ แล้วก็ปัจจุบันพบได้มากขึ้นในประชาชนไทยแล้วก็อาจจะรุนแรงไปจนถึงการเกิดภาวะไตวายและเสียชีวิตได้ท้ายที่สุด
    การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง  โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรงดังนี้
    ระยะที่ 1 เจอมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยพบความผิดแปลกจากการพิสูจน์เลือดเยี่ยวเอกซเรย์ หรือพยาธิภาวะของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในมาตรฐานธรรมดา พูดอีกนัยหนึ่ง มากยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตนิดหน่อยเป็นอยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 3 มีการน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 30 – 59 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
    ระยะที่ 4 มีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในช่วง 15 – 29 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 5 มีสภาวะไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.)

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังเป็น โรคไตเรื้อรังมีสาเหตุการเกิดโรคได้หลายกรณี ซึ่งแบ่งต้นเหตุการเกิดได้ดังนี้ มูลเหตุนอกไต ตัวอย่างเช่น เบาหวาน พบว่ามีคนป่วยที่เป็นเบาหวานจำพวกที่ 1 ที่พึ่งอินสุลิน 20-50% ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายภายในระยะเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยการใช้การให้อินสุลิน รวมทั้งเบาหวานยังส่งผลให้กำเนิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงร้อยละ 30-40 และกระตุ้นให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุดได้ถึงจำนวนร้อยละ 45 ยิ่งไปกว่านี้เบาหวานยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง และก็ไขมันในเลือดสูงได้ โรคเบาหวานทำให้มีความผิดธรรมดาของเส้นเลือดหลอดฝอยไต ทำให้เส้นเลือดแข็งเพิ่มแรงต้านทานของเส้นโลหิตที่ไต และระบบความดันเลือดสูงขึ้น ไตได้รับเลือดลดลง และขาดเลือด จึงส่งผลให้เกิดไตล้มเหลวตามมา  โรคความดันโลหิตสูง พบว่าความดันโลหิตสูงเป็นต้นเหตุที่ทำให้มีการเกิดโรคไตเรื้องรังได้ถึงจำนวนร้อยละ 28 เนื่องด้วยไตจำเป็นที่จะต้องได้รับเลือดมาเลี้ยงเยอะมากๆจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการกรองและก็กระบวนการทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตน้อยลงจึงทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตผิดปกติเช่นเดียวกัน ความดันดลหิตสูงกำเนิดด้วยเหตุว่าเส้นเลือดแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตลดลง แล้วก็กระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนซิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มความดันดลหิต นอกนั้น ความดันเลือดสูงยังเกี่ยวโยงกับโรคของเนื้อไต ตัวอย่างเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis เป็นต้น ทำให้ไตขับน้ำ และเกลือได้น้อยลง มีการคั่งของน้ำและก็เกลือเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตต่ำ สภาวะช็อคจากหัวใจและเส้นโลหิต หรือความดันโลหิตต่ำมีผลต่อแนวทางการทำหน้าที่ของไต ทำให้เส้นเลือดที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง  โรคระบบหัวใจแล้วก็เส้นเลือด ส่งผลต่อจำนวนเลือดที่ออกจากหัวใจ แล้วก็ระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำและก็โซเดียม มีการคั่งของน้ำในเส้นเลือด ทำให้มีการเกิดอาการบวม โรคของเส้นโลหิตส่วนปลาย ดังเช่น การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นโลหิต (Thromboembolic) ภาวะ Disseminated Intravascular Coagulopathy ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือดที่ไต เป็นต้นเหตุให้ไตขาดเลือด การต่อว่าดเชื้อในกระแสโลหิต อาจมีผลต่อการทำหน้าที่ของไต ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำแล้วก็จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายส่งผลให้เกิดGlomerulonepritis การมีครรภ์ มีผลต่อวิธีการทำหน้าที่ขอบงไต การตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะดำรงอยู่ 9 -1 2 สัปดาห์ ทำให้อัตราการกรองของไตมากขึ้น 30 – 50 % ระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้ Creatinine Clearance เพิ่มขึ้น การขับกรดยูริกลดน้อยลง การมีท้องอาจจะเป็นผลให้โปรตีนในปัสสาวะเพิ่มขึ้น ฉี่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ฉี่บ่อยครั้งในตอนการคืน


สารที่มีพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก ตัวอย่างเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองคำลิเทียม พิษต่างๆอาทิเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสง ยาพารา ตัวอย่างเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID เป็นต้น
โรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนมาตันได้ในระบบฟุตบาทฉี่ แล้วก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวมากขึ้น ขั้นตอนการอักเสบกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการรักษาก็จะมีผลให้เกิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับและก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตต่ำลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต รวมทั้ง Calices ทำให้มีการอุดกั้นของเยี่ยว การสั่งสมของน้ำเยี่ยว ส่งผลให้เกิดแรงกดดันในกรวยไตเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย โรคมะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างเร็วนำมาซึ่งการอุดกันของระบบฟุตบาทปัสสาวะ และก่อให้เกิดไตบวมน้ำตามมา

  • อาการโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้องรังส่วนใหญ่ทำให้ไตแตกต่างจากปกติทั้งสองข้าง ในระยะเริ่มต้นคนป่วยมักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปๆมาๆกขึ้น อาจมีอาการต่างๆเนื่องมาจากไตปฏิบัติงานผิดปกตินำมาซึ่งการคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินและของเสียในเลือด เป็นต้นว่า ปริมาณฉี่ต่ำลง ความดันโลหิตสูงขึ้น ซีด อิดโรยง่ายมากยิ่งขึ้น เบื่อข้าว คลื่นไส้อ้วก นอนไม่หลับ คันตามตัว มีลักษณะอาการบวมที่หน้า ขา รวมทั้งลำตัว ความรู้สึกตัวลดลง หรือมีอาการชัก เป็นต้น


ซึ่งอาการของโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งได้ 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไหร่ โดยในคนทั่วไปจะมีค่านี้อยู่ราวๆ 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบอกให้เห็นแน่ชัด แม้กระนั้นรู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา เช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในระยะแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ราวๆ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แม้กระนั้นบางทีอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตลดน้อยลง แต่ว่ายังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่แสดงให้เห็นนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียง 60-89 มล./นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่แสดงออกมาให้มองเห็น เว้นแต่ค่า eGFR ที่น้อยลงโดยตลอด โดยในเวลานี้จะแบ่งได้เป็น 2 ระยะย่อยเป็นระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มล./นาที และก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มล./นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของคนไข้จะค่อยแสดงในเวลานี้ เว้นเสียแต่ค่า eGFR จะลดลงเหลือเพียงแค่ 15-29 มิลลิลิตร/นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีเยี่ยวออกมากแล้วก็ปัสสาวะบ่อยมากยามค่ำคืน ผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อยล้า อ่อนล้าง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดน้อยลง คลื่นไส้ คลื่นไส้ นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดหัว ตามัว ท้องเดินหลายครั้ง ชะตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุส่งผลให้เกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งนำมาซึ่งการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย สะอึก กล้ามเนื้อเป็นตะคิวบ่อยมาก ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก มีลักษณะอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา และเท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออ้วกเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวตลอดระยะเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะในที่สุดของสภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกจากคนไข้จะมีลักษณะคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวการณ์โลหิตจางที่ร้ายแรงขึ้น และก็อาจตรวจเจอการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่ภาวการณ์กระดูกบางและเปราะหักง่าย ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันเวลาก็บางครั้งก็อาจจะเสียชีวิตได้

  • กลุ่มบุคคลที่เสี่ยงที่จะเกิดโรคไตเรื้อรัง
  • คนที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจ
  • คนที่รับประทานยาบางชนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆเหลือเกิน อย่างเช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด ตัวอย่างเช่น Tetacyclines, Amphoteracin B ฯลฯ และก็ยาแก้ปวด อาทิเช่น ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates เป็นต้น
  • แนวทางการรักษาโรคไตเรื้อรัง การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังมีดังต่อไปนี้  การวัดอัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร  Cockcroft-gault หรือสูตร Modification  of Diet in Renal Disease (MDRD) การคาดคะเนปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ โดยใช้แถบตรวจเยี่ยว  (Dipstick  Test) เมื่อแถบตรวจตรวจวัดผลได้ 1 บวกขึ้นไป ควรตรวจฉี่ยืนยันปริมาณโปรตีนด้วยการประเมินค่ารูปทรงของโปรตีนต่อครีเอตำหนินิน  การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจขี้ตะกอนปัสสาวะ  (Urine Sediment)

หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการตัน มีนิ่ว แล้วก็มี Polycystic Kidney Disease แล้วก็ยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำเป็นทางคลินิกจากอาการแล้วก็อาการแสดงของโรค และตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และก็ระดับฮอร์โมนไทรอยด์อื่นๆแนวทางการทำงานของตับ รวมถึง X-ray หัวใจ แล้วก็ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
                การรักษาไตวายเรื้อรัง หากสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรส่งคนไข้ไปโรงหมอเพื่อกระทำตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆรวมทั้งบางรายบางทีอาจจำต้องกระทำเจาะเก็บเยื่อจากไตเพื่อส่งตรวจด้วย โดยการรักษานั้นจะแบ่งได้ 2 ช่วงใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วยหมายถึงโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำการรักษา แต่จำเป็นที่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจสอบค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์อาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรืออาจนัดมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าหากค่าประเมินอัตราการกรองของไตต่ำลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) แล้วก็โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตปฏิบัติงานลดลงอย่างยิ่ง คนเจ็บจำต้องได้รับการดูแลและรักษาหลายๆวิธีด้วยกันเพื่อจุนเจืออาการให้อยู่ในระดับคงเดิมเพื่อรอคอยการปลูกถ่ายไต แล้วก็การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งออกเป็น
การรักษาที่ต้นสายปลายเหตุ หากคนป่วยมีปัจจัยแจ่มชัด หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต เป็นต้น นอกนั้นยังจำต้องรักษาสภาวะไม่ปกติต่างๆที่มีเหตุที่เกิดจากภาวการณ์ไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับผู้เจ็บป่วยไตวายเรื้อระยะด้านหลัง (มักมีระดับยูเรียไนโตรเจนแล้วก็ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 แล้วก็ 10 มก./ดล. เป็นลำดับ) การดูแลรักษาด้วยยาจะไม่ได้ผล ผู้เจ็บป่วยจำต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยฟอกล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายแนวทาง ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้เจ็บป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพงอยู่ ดังนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เพราะการล้างไตจะมีผลใกล้กันหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อ้วก อีกทั้งการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนเจ็บอีกด้วย โดยเหตุนี้ จึงจะต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยและตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด)
การปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะด้านหลังบางราย หมอบางทีอาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการใช้การผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งแนวทางแบบนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะเหตุว่าหากการเปลี่ยนถ่ายไตได้ประสิทธิภาพที่ดีก็จะช่วยให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนธรรมดาแล้วก็มีอายุได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป แต่ การปลูกถ่ายไตก็เป็นกรรมวิธีการรักษาที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนหลายประการ ราคาแพงแพง และจะต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้บริจาคที่มีไตกับเยื่อของผู้ป่วยได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งปริมาณของไตที่ได้รับการบริจาคก็ยังมีน้อยกว่าคนที่คอยรับการบริจาค คนเจ็บก็เลยบางทีอาจจำต้องทำการล้างไตถัดไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แต่ว่าอาการของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไตเพียงแค่นั้น) นอกจาก ตอนหลังการเปลี่ยนถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องกินยากดภูมิต้านทานทุกวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่

  • การติดต่อของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดจากสภาวะที่ไตทำงานไม่ดีเหมือนปกติรวมทั้งเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง คนเจ็บที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะติดตามการรักษากับหมออย่าได้ขาด ควรจะกินยาแล้วก็กระทำตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่สมควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยากินเอง เพราะเหตุว่ายาบางอปิ้งอาจมีพิษต่อไตได้ นอกจากนี้ คนไข้ควรปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้
  • จำกัดปริมาณโปรตีนที่กินไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดปริมาณของ ไข่ นม แล้วก็เนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) รวมทั้งทานข้าว เมล็ดธัญพืช ผักรวมทั้งผลไม้ให้เยอะขึ้น
  • จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณปัสสาวะต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ราว ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน) เป็นต้นว่า ถ้าหากคนเจ็บมีฉี่ ๖๐๐ มิลลิลิตร/วัน น้ำที่ควรได้รับพอๆกับ ๖๐๐ มล. + ๘๐๐ มล. (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มล./วัน)
  • จำกัดจำนวนโซเดียมที่กิน ถ้ามีลักษณะอาการบวมหรือมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรงดเว้นของกินเค็ม งดเว้นใช้เครื่องปรุง (ดังเช่นว่า น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกชนิด) ผงชูรส ยากันบูด ของกินที่ใส่ผงฟู (ดังเช่น ขนมปังสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดอง หนำเลี๊ยบ)
  • จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้าหากมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เป็นต้นว่า ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะโคน มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ เป็นต้น


ในรายที่หรูหราความดันโลหิตสูง ควรจะลดความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการรับประทานอาหารที่ไม่เค็ม ออกกำลังกาย และก็กินยาจากที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงธรรมดา โดยยิ่งไปกว่านั้นในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะต้นๆจึงจะสามารถปกป้องหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนไข้ควรได้รับการรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เป็นต้นว่า รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินฉี่ รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นคนป่วยโรคไตเรื้อรังควรจะได้รับการวิเคราะห์เลือดแล้วก็เยี่ยวเป็นระยะ เพื่อประเมินหลักการทำงานของไต รวมทั้งรักษาผลแทรกฝึกที่เกิดขึ้นมาจากโรคไตเรื้อรัง

  • การปกป้องตนเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กดูว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน รวมทั้งโรคเกาต์ หรือเปล่า ถ้าเกิดเป็นจะต้องรักษาอย่างเป็นจริงเป็นจังและต่อเนื่องกระทั่งสามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลแล้วก็กรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ธรรมดา  เมื่อเป็นโรคติดเชื้อโรคทางเดินฉี่ (อย่างเช่น) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวมไตอับเสบ) หรือมีภาวะอุดกั้นฟุตบาทฉี่ (ยกตัวอย่างเช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) ต้องกระทำการรักษาให้หายขาด ควรจะรับการตรวจสุขภาพขั้นต่ำปีละครั้ง รวมถึงการวิเคราะห์เลือดแล้วก็ฉี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง หลบหลีกการทานอาหารรสเค็ม หลบหลีกการใช้ยาแล้วก็สารที่เป็นพิษต่อไต ติดต่อกันนาน ไตจะเสื่อมสมรรถนะจนกระทั่งเป็นไตวายได้ อาทิเช่น ยาพาราข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ รวมทั้งยาปฏิชีวนะบางประเภท เลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนานๆเพราะเหตุว่าทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ แล้วก็เกิดการอักเสบ หลีกเลี่ยงการสูบยาสูบ
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นสมุนไพรฟอกเลือดบำรุงไตให้เน้นไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับเยี่ยว บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก    ใบบัวบกถือว่ามีสาระโดยตรงสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต เพราะมีสารสำคัญหลายอย่างที่เกี่ยวกับระบบโลหิตโดยตรง ดังเช่นว่า สามเตอพีนอยด์(อะซิเอติเตียนโคไซ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ทำให้ฝาผนังเส้นเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มมากขึ้น ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูง       ใบบัวบกจึงมีคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในคนไข้โรคไตได้เป็นอย่างดี คนที่ดื่มน้ำใบบัวบกนอกเหนือจากที่จะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายหลอดเลือดทำให้มีการเกิดการแลกเปลี่ยนออกสิเจนในเส้นเลือดฝอยเยอะขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายจะสามารถจับออกซิเจนอิสระได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกโลหิตไปในตัว เห็ดหลินจือ คุณครูแผนกแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือมาทดสอบรักษาคนเจ็บโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดปริมาณไข่ขาวในเยี่ยวได้ แล้วก็ช่วยชะลออาการไตเสื่อมเจริญ    ปัญหาของคนป่วยโรคไต คือจะมีสารที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบจะลดลดลง จากการเรียนรู้พบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อภายในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างยอดเยี่ยม  สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตดื่มเป็นประจำจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เนื่องจากช่วยลดการอักเสบด้านใน ตลอดจนเป็นยาขับเยี่ยวอ่อนๆช่วยขับปัสสาวะที่คั่งค้างอยู่ข้างใน สลายนิ่วและสิ่งตัน ช่วยลดไขมันในเส้นโลหิต ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างได้ เก๋ากี้ฉ่าย    คนที่มีความดันเลือดสูงดื่มเสมอๆจะช่วยลดระดับความดันโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับคนป่วยโรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระหน้าที่ให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสโลหิต ช่วยดูดซับน้ำตาล ช่วยขับฉี่ ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง

  • Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
  • K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
  • ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
  • Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
  • National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/
  • Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure: The JNC 7 Report. JAMA 2003; 289:2560.
  • ผศ.นพ.สุชาติ อินทรประสิทธิ์.โรคไต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 9.คอลัมน์โรคน่ารู้.มกราคม.2523
  • Whale
บันทึกการเข้า